บทที่ 1141 สารภาพรัก
พูดตามตรง ตอนนี้ในใจของเธอยังไม่สามารถปล่อยวางได้ทั้งหมด แต่เธอก็ทำได้แค่ปล่อยมันไป และทำได้เพียงเผชิญหน้ากับเป่หมิงโม่เหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะผ่อนคลายและสบายใจ
เพียงแต่ กู้ฮอนที่อยู่ไม่ไกลได้มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในใจรู้สึกขมขื่นอยู่หวิวๆ ตนเองอาจจะทำอาหารให้เขาและคนในครอบครัวเกือบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยถูกประเมินเหมือนวันนี้
“เฮ้ เป่หมิงโม่ คุณอย่าชวนทะเลาะสิ เมื่อกี้นี้คุณซูเองก็พูดแล้วว่าที่นี่มีแอนนิคอยช่วยเหลืออยู่” ยังไม่ทันที่ลั่วเฉียวจะลุกขึ้นมาต่อสู้ความอยุติธรรม หยินปู้ฝันก็ลุกขึ้นก่อน
พูดพร้อมกับเดินมาข้างๆแอนนิ แล้วดึงเก้าอี้ออกมาให้เธอนั่งลง โดยนวดไหล่เธอพร้อมกับพูดว่า : “วันนี้คุณภรรยาลำบากมากเลย”
เหมือนเป็นทาสที่คอยปรนนิบัติจริงๆ
ทำเอาแอนนิหน้าแดง : “อย่าทำแบบนี้ตรงนี้สิคะ ปกติไม่เห็นคุณจะทำตัวอี๋อ๋อแบบนี้เลย” พูดพร้อมกับหันหลังกลับและผลักเขาออก
เนื่องจากซูยิ่งหวั่นได้พูดไปจนหมดแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องการพูดอย่างสุภาพว่า : “ฉันเพียงแค่ช่วยนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเองค่ะ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคุณซูที่ทำค่ะ”
“ทุกคน ทุกคนไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ได้หรือเปล่า ยังไงอาหารและเครื่องดื่มก็พร้อมแล้ว พวกเรานั่งลงกันเถอะ” ตอนนี้เป็นชูหยุนเฟิงทำหน้าที่เป็นพิธีกร
“ท่านนายเป่หมิง คุณโม้ คุณเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ นั่งที่หัวโต๊ะเลยนะ เด็กน้อยทั้งสามคนไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นโอเคไหม…”
ทุกคนเองก็เห็นด้วยกับชูหยุนเฟิง จากนั้นไม่นานก็นั่งลงทั้งหมด
“ป่ายมู่ซี คุณเลือกโต๊ะขนาดใหญ่เกินไปหรือเปล่า ยังมีที่ว่างอยู่อีกหลายที่ ถ้างั้นทุกคนอย่านั่งชิดกันมากเกินไปจะได้ผ่อนคลาย” ชูหยุนเฟิงพูดพร้อมกับให้ทุกคนนั่งห่างกันอีกหน่อย
“ไม่ต้องกังวล คนยังไม่ครบ ยังต้องรออยู่…” ป่ายมู่ซีเพิ่งจะพูดจบ ก็มองเห็นบริกรเดินนำคนในชุดสูทสีดำสองคนเข้ามา ยังมีอีกสองสามคนตามมาด้านหลัง
“อารอง อาไม่จริงใจเอาเสียเลย ทำไมถึงไม่โทรหาเราในวันสำคัญขนาดนี้ล่ะครับ?”
สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงของเป่หมิงยี่เฟิง
ด้านหลังของเขาคือเป่หมิงเฟยหย่วน หลันเนี่ยนภรรยา เป่หมิงยันและยังมีแม่ของหยินปู้ฝัน
“น้องรองเนี่ย ปกติไม่ว่านายจะทำอะไร จะทำยังไงฉันไม่เคยจะตัดเหตุผลของนายทิ้งเลย แต่ว่าเรื่องที่ทำในวันนี้ ทำให้ฉันในฐานะพี่คนโตก็อยากจะพูดอะไรกับนายสักสองคำ” เป่หมิงเฟยหย่วนพูดพร้อมกับเดินมาด้านหน้าเป่หมิงโม่แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ของเขา
“ใช่แล้วล่ะพี่รอง นายทำเกินไปแล้ว” เป่หมิงยันทำหน้าตำหนิ
“ที่จริงแล้วฉัน…”
“โอเค ถึงอธิบายก็คือการปิดบังนั่นแหละ โชคยังดีที่นายยังมีพี่น้องที่คอยกระซิบข่าวอยู่ ถึงได้ไม่พลาด”
ตอนนี้ทั้งญาติและเพื่อนของทั้งสองฝ่ายมาจนครบแล้ว
คนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เป่หมิงโม่รู้สึกจิตใจสงบมากขึ้น
แกะตัวหนึ่งถูกไล่ต้อนไป แล้วแกะสองตัวก็ถูกปล่อย
แต่กลับเป็นกู้ฮอนที่เริ่มกังวลและไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่ามันเป็นเพียงวันเกิดเท่านั้น แต่ทำให้มันเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เป่หมิงโม่จะต้องมีแผนการชั่วร้ายอย่างแน่นอน
ภายในใจกู้ฮอนรู้สึกกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้มีคนมากันมากมาย เดิมทีเป็นการนัดพบปะกันของครอบครัวเล็กๆ ตอนนี้ขยายวงกว้างอย่างเห็นได้ชัด
เป็นไปได้ไหมว่า…
เธอคิดมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกร้อนฉ่าที่แก้ม
ตอนนี้ ญาติและเพื่อนๆของทั้งสองฝ่ายมาครบแล้ว สิ่งนี้ช่วยบรรเทาให้เป่หมิงโม่พ้นจากปัญหาเล็กๆได้
อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้กับพวกเขาที่อยู่ข้างๆอีกภายหลัง เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของตนเอง แทบจะไม่มีอะไรต้องอธิบาย แต่ตอนนี้ต่างจากอดีต นี่อาจจะเป็นข้อแตกต่างของการมีครอบครัวกับไม่มี
เขาไม่ใช่คนที่คนภายนอกมองว่าเป็นคนเย็นชาอีกต่อไป คนที่เคยดูถูกความสัมพันธ์ผู้นี้ได้เปลี่ยนไปเป็นคนที่ใช้หัวใจของตนเองคอยเฝ้าดูแล
แน่นอนว่ายังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เขาต้องจัดการ และต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าการดำเนินงานของบริษัทเป่หมิงเสียอีก
“อะแฮ่ม…”
ในตอนนี้เอง ชูหยุนเฟิงกระแอมในลำคออีกครั้ง
คนถือว่าไม่มากแต่ก็นับว่าไม่น้อยเลย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กลับเงียบสงบมาโดยตลอด ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นงานแต่งงานเลยสักนิด เหมือนกับเป็นการบรรลุข้อตกลงกันมากกว่า
ในฐานะพิธีกร ชูหยุนเฟิงไม่อาจปล่อยให้มีบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ได้
“ตอนนี้ญาติและเพื่อนๆของทั้งสองฝ่ายได้มากันครบแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอประกาศเริ่มพิธีอย่างเป็นทางการ บรรเลงเพลง?”
บรรเลงเพลง…
สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอยู่ในรายการที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเลย
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่นี่มีอุปกรณ์อะไรในใจของตนเองรู้ดีที่สุด จะมีเครื่องเสียงได้อย่างไรกันล่ะ
ดูเหมือนว่าเขาจะมีลางสังหรณ์อยู่ลางๆว่า วันนี้จะถูกพวกเขาทำให้เสียงาน
จริงๆเลยนะ…
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นตัวเองเป็นบ้าอะไร ถึงได้เอาเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปบอกพวกเขา
ตอนนี้ ตัวเองเลยต้องมาพบกับปัญหาที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องจบลงด้วยน้ำตา
เป่หมิงโม่ถือแก้วไวน์ ทั้งตัวเปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อเล็กน้อย และการแสดงออกทางสีหน้าก็แข็งกระด้างเช่นกัน
แน่นอนว่าจะต้องได้รับความสนใจจากทุกคนในฐานะตัวเอกของงาน
“อารองครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้หรอกนะครับ” เป่หมิงยี่เฟิงพูดหยอก แต่ทั้งหมดนี้เป็นการพูดล้อเล่นที่มีเจตนาที่ดี เพราะต้องการให้เขาผ่อนคลายสักหน่อย
สำหรับกู้ฮอน ตอนนี้จิตใจของเธอยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อยๆ
…
ห้านาทีผ่านไป ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแม้แต่น้อย
ชูหยุนเฟิงขยิบตาไปทางป่ายมูซี โดยตอนแรกความสนใจทั้งหมดของป่ายมูซีอยู่ที่เป่หมิงโม่ที่อยู่ด้านข้าง จนกระทั่งเขามองเห็นสายตาของชูเอ้อ จึงดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นได้
“โอ้ ฉันสะเพร่าเอง” เขาตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที แล้วลุกขึ้นวิ่งไปกลางห้องสีขาว จากนั้นก็ได้ยินเสียงสิ่งของหนักๆถูกเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นไม่นานมีเสียงเพลงมาร์ชเดินแถวของนักกีฬาที่ผู้คนต่างรู้จักดีดังขึ้น
สองคนนี้มาร่วมแสดงความยินดีกับเขาในวันนี้งั้นเหรอ เห็นอยู่ชัดๆว่ามาเพื่อสร้างปัญหา
เพลงมาร์ชของนักกีฬา…
หรือว่าทุกคนมาที่นี่เพื่อร่วมงานกีฬาอย่างนั้นเหรอ?
สีหน้าของเป่หมิงโม่แย่ยิ่งกว่าเดิม
“พ่อครับ พวกเราต้องวิ่งหรือเปล่าครับ?” คำถามในตอนนี้ของหยางหยาง เป็นเหมือนกับชนวนเล็กๆ ทันใดนั้นก็ดึงดูดให้กลุ่มคนที่นั่งอยู่ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ
นี่อาจเป็นวันที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตของเป่หมิงโม่ก็ว่าได้
แต่ที่แน่ๆวันนี้ก็เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของตนเองด้วย
ประโยคนี้เป็นการยืนยันถึงคำพูดที่ว่า : ไม่ต้องกลัวคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ แต่ให้กลัวเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ได้เรื่อง
มีการจุดไฟที่สวนหลังบ้าน พวกเขาเป็นมืออาชีพและจริงจัง
ป่ายมู่ซีคนนี้ กำลังทำอะไร…
ชูหยุนเฟิงที่เป็นพิธีกรแอบด่าอยู่ในใจ ทำไมเขาจะไม่รู้สึกว่า ถึงแม้ว่าตอนนี้ภาพนั้นจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่คลื่นใต้น้ำก็รุนแรงมากเช่นกัน
สิ่งที่พวกเขาคุยกันมาโดยตลอดในตอนแรกคือให้เล่นเพลงงานแต่งงานตามมา แล้วเป็นสิ่งนี้ที่พุ่งออกมาได้ยังไง
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังสามารถหาวิธีในยามคับขันได้
“ท่านสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี พวกเราใส่บทเพลงนี้ นั่นก็เป็นเพราะชีวิตของสองคนนี้เป็นเหมือนกับเกมส์ แต่อย่างไรก็ตามตัวตนของพวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่เป็นเพื่อนร่วมทีม พวกเขาต้องแข่งขันกับชีวิตที่ยาวนานนี้ หากต้องการคว้าชัยชนะ ก็จะต้องพึ่งพาความร่วมมือทั้งสองฝ่าย”
“อ้อ สิ่งที่ หยุนเฟิง พูดนั้นเป็นเช่นนี้เอง ชีวิตจะดีหรือไม่ ให้ดูที่ความร่วมมือของคู่สามีภรรยา ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นไร ก็ไม่สามารถใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการแยกแยะว่าอะไรถูกหรือใครผิด ในความเป็นจริงเป้าหมายของทั้งสองฝ่ายนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าวิธีการไม่เหมือนกันเท่านั้น”
โม้จิ่งเฉิงพยักหน้าซ้ำๆ
เสียงหัวเราะของทุกคนค่อยๆเบาลงและหายไป
ในที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือยังไม่แต่งก็ตาม เว้นแต่เด็กน้อยทั้งสามคนที่ยังไม่ประสีประสา คนอื่นๆกำลังทำความเข้าใจในความหมายของแต่ละประโยคอย่างรอบคอบ
ครอบครัวที่มีความสุขล้วนแต่สุขเหมือนกัน แต่ครอบครัวที่ไม่มีความสุขนั้นมีความทุกข์ที่ต่างกันไป
แต่นอกเหนือจากภัยธรรมชาติ และ “ความทุกข์” ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์แล้ว ไม่ใช่เพราะคู่สามีภรรยาที่ไม่ยอมเปิดเผยความอ่อนแองั้นหรือ?
การใช้ชีวิตร่วมกันนั้นไม่มีแพ้หรือชนะ
หลังจากคลี่คลายบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนใจได้สำเร็จแล้ว ชูหยุนเฟิงก็ถอนใจยาว แน่นอนว่าเขาก็ตื่นเต้นเช่นกันกับคำพูดที่ยอดเยี่ยมของตนเอง
ทำไมตัวเองถึงได้มีความสามารถขนาดนี้เนี่ย บางทีเขาอาจจะเปิดบริษัทรับจัดงานแต่งงาน แล้วเป็นพิธีกรเองเลยก็ไม่เลวนะ
“คุณเป่หมิงโม่ มาถึงตรงนี้แล้วคุณไม่อยากจะพูดอะไรสักหน่อยเหรอครับ?” ในขณะที่ชูหยุนเฟิงกำลังภาคภูมิใจในตัวเองก็ไม่ลืมว่าจุดประสงค์ในวันนี้ของตัวเองคืออะไร ใครถึงจะเป็นตัวเอกตัวจริงในวันนี้
ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เป่หมิงโม่อีกครั้ง
ความเคร่งเครียดของเขา และบรรยากาศที่อยู่ในคำพูดสั้นๆเมื่อสักครู่นี้ได้หายไปแล้ว บางทีอาจจะเป็นตนเองที่คิดผิดไป เพื่อนกลุ่มนี้ดีกับตัวเองอย่างจริงใจ เพียงแต่ว่าความคิดที่ทำตามอำเภอใจของพวกเขาเป็นเรื่องที่ทำให้คนทั่วไปรับไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้ดูเหมือนว่า แผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้จะยุ่งเหยิงไปหมด ถ้าอย่างนั้นยกเลิกมันไปเสียเฉยๆก็เรียบร้อยแล้ว
เป่หมิงโม่ไม่เชื่อว่า แม้ว่าตนเองไม่ยอมทำตามประเพณีนิยมไม่ว่าวิธีไหนก็ตามเขาจะไม่สามารถยืนยงคงกระพันอยู่ได้
เขาวางแก้วไวน์ในมือลง แล้วเดินไปด้านข้างของกู้ฮอนช้าๆ
ยื่นมืออกมาแล้วประคองเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้
จับสองมือไว้แน่น
ดวงตาทั้งสองคู่สบตากัน
กู้ฮอนมองเห็นความอ่อนโยนของเขา ดวงตานั้นมองตนเองด้วยความรักอันลึกซึ้ง
แล้วเริ่มหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย
ทุกคนเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เสียงเพลงหยุดลงแล้ว สภาพแวดล้อมรอบๆก็เงียบสงบ
ในเวลานี้ ราวกับมีพวกเขาเพียงแค่สองคน
“กู้ฮอน ตั้งแต่พวกเราพบกันมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลานานแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ระหว่างพวกเราจะมีความขัดแย้งและเข้าใจผิดมากมาย แต่ผมกลับพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปผมกลับชอบคุณมากขึ้นทุกที ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมไม่เคยมีความรู้สึกอยากใช้ชีวิตร่วมกับคนๆหนึ่งเหมือนเช่นตอนนี้ สิ่งที่คุณมอบให้ผม ผมหวงแหนอย่างมาก เพียงแค่เพราะเหตุผลส่วนตัว กลับทำให้ผมไม่เคยแสดงออกกับคุณ…”
น้ำเสียงของเป่หมิงโม่นั้นนุ่มนวลและอ่อนละมุนอย่างมาก และราวกับเป็นคำสารภาพรัก เหมือนกับคำอธิบายที่รื่นรมย์
ได้เผชิญหน้ากับคำสารภาพเช่นนี้ของเป่หมิงโม่แล้ว
กู้ฮอนไม่ได้รู้สึกในทันที
แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นั่นคือการหวนนึกถึงตอนที่อยู่ที่อังกฤษ หรือบางทีในตอนที่ตนเองมองเห็นแหวนบนนิ้ว ก็เกิดความรู้สึกเช่นนี้อยู่แล้ว
มันไม่เพียงแค่ยังคงอยู่ แต่เธอเริ่มจะจินตนาการว่าอนาคตของพวกเขาจะเป็นเช่นไร
และเพราะในอดีตเขาเคยมีอิทธิพลแง่ลบค่อนข้างมาก จึงทำให้เธอมักจะรู้สึกกระสับกระส่าย
***
และวันนี้เป็นวันพิเศษของเธอ เขาใช้วิธีนี้อีกครั้ง แสดงออกกับตนเองอย่างเป็นทางการพอประมาณ จะต้องปรับตัวเล็กน้อยสำหรับสิ่งนี้จริงๆ
หัวใจของเธอเต้นเร็วกว่าปกติมาก
“หม่าม้าหน้าแดงแล้ว เหมือนแอปเปิ้ลลูกโตเลย!” จิ่วจิ่วที่นั่งอยู่ข้างเธอกระพริบตาโตมองดูแม่ของตัวเอง
คำพูดระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กวัยขนาดเธอนั้นดูเหมือนว่า มันช่างยากแก่การทำความเข้าใจจริงๆ
แม้ลึกๆภายในใจของเธอที่ยังเยาว์วัยจะคิดมาตลอดว่าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันและไม่เคยแยกจากกัน