บทที่ 1149 อานุภาพที่หลงเหลืออยู่
“แล้วไม่ใช่เรื่องดีที่ ‘ผู้ติดตามราชินี’ ของคุณทำเหรอ จนถึงตอนนี้นอกจากพาเด็กๆมาที่บ้านแล้ว เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกอีกเลย เธอคิดว่าอาชีพนักแสดงของเธอได้เดินมาถึงจุดจบเช่นนี้แล้ว มีคำพูดที่บอกว่า : ตัดรายได้ของคน ก็เหมือนกับการฆ่าบุพการี…”
“กู้ฮอนผมรู้ว่าคุณอยู่ฝั่งเธอ แต่ก็ไม่ต้องลำเอียงขนาดนี้ก็ได้ มันคนละเรื่องกันนะ คนที่ตัดเงินเธอคือฉิงฮัวสามีของเธอไม่ใช่ผม ยิ่งไปกว่านั้นรายได้ของฉิงฮัวในตอนนี้สูงกว่าคนทั่วไปมาก หักเงินที่ไหนกันล่ะ? นับว่าผมทำดีที่สุดกับพวกเขาแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเธอกลับจะมาตอบแทนกันด้วยความแค้น”
เป่หมิงโม่กล่าวพร้อมกับถอนใจยาว : “ใจคนทุกวันนี้ไม่ซื่อจริงๆ…”
“ฉันรู้ว่าจุดเริ่มต้นของคุณล้วนมาจากความหวังดีต่อพวกเขา คุณเองก็รู้ว่าเด็กสาวลั่วเฉียวนั้นเคยชินกับการอยู่ข้างนอก ‘ป่า’ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเธอคอยดูแล ไม่ช้าจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีวงการบันเทิงที่ให้ออกฤทธิ์ออกเดชได้ แต่ว่าตอนนี้ต้องตามดูลูกที่โตขึ้นทุกวันๆ แม้แต่เส้นทางของเธอก็ถูกตัดขาด เธอเองก็แค่พร่ำบ่นไม่พอใจ คุณอย่าเอามาใส่ใจเลย…”
เป่หมิงโม่ผู้ชายคนนี้ การก่อให้เกิดกบฏเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะ ‘ถอนตัวจากการเป็นผู้นำ’ แล้ว แต่ยังไงอำนาจก็ยังหลงเหลืออยู่
ด้านหนึ่งเขาผู้เป็นพ่อของลูก
ด้านหนึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของตนเอง…
ฉันติดหนี้พวกเขาไปชั่วชีวิตแล้วจริงๆ
สิ่งที่ตนเองพอจะทำได้คือสร้างสันติระหว่างพวกเขา
*
“พี่ชาย พี่รีบลงมาเถอะค่ะ ถ้าหากป่าป๊าหม่าหม๊าเห็นเข้า กลับไปก้นพี่จะบานนะคะ…” จิ่วจิ่วที่อยู่ใต้ต้นไม้มองขึ้นไปอย่างกระสับกระส่าย
หยางหยางที่ปีนอยู่บนต้นไม้ทำหน้าเฉยเมย : “ไม่เป็นไรไม่เป็นไร ฉันจะลงแล้วล่ะ”
ตอนนี้ในมือถือของเอาไว้ พูดว่าลงมันง่าย ในความเป็นจริงไม่ง่ายสักนิดเลย
อาศัยมือเดียวสองเท้าจับเอาไว้ง่ายๆ
แน่นอนว่ายังไม่ทันลงไปถึงสิบเซนติเมตร มือก็ลื่นและร่วงตกจากต้นไม้
“อ้า…”
จิ่วจิ่วตะโกนด้วยความตกใจ เอามือน้อยปิดตาไม่ส่งเสียงตอบและไม่กล้ามอง
แล้วก็ได้ยินเสียง ‘ปึง’
หยางหยางร่วงลงจอด
ในตอนที่เธอหันไปมองอีกรอบ หยางหยางก็ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว
เขาบิดตัวและปัดดินที่ก้นของเขา
ปากก็เอาแต่บ่นไม่หยุดว่า : “จิ่วจิ่ว เธอนี่มันปากเสีย ไม่ต้องถูกพ่อตีจนตูดบาน แต่กลับร่วงลงมาจนตูดบานแล้ว”
“นั่นเพราะฉันเป็นห่วงพี่ไม่ใช่เหรอ” จิ่วจิ่วเอามือกอดอกด้วยความโกรธ
*
“คุณดูลูกชายคุณสิ ตกต้นไม้ลงมาแล้ว”
มองเห็นหยางหยางตอนที่ตกลงมาจากต้นไม้ลงมาเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าเป่หมิงโม่และกู้ฮอนจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว
พวกเขาสงบเยือกเย็น แล้วเธอก็แค่พูดติดตลกออกมาเท่านั้น
“แค่ล้มบ่อยๆ ไม่มีอันตรายอะไรกับเขาหรอก”
เป่หมิงโม่พูดแล้วลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ยกแขนขึ้นแล้วยืดกระดูกของเขา
จากนั้นก็เดินไปทางพวกเด็กๆอย่างช้าๆ
“ป่ะป๊ามาแล้ว ดูเหมือนว่าพี่ชายจะต้องเศร้าแล้วล่ะค่ะ” จิ่วจิ่วที่ยืนอยู่ด้านหันหน้าไปมองเป่หมิงโม่ที่เดินเข้ามา
วันนี้ถือว่าลมแรง ว่าวบินขึ้นสูงมาก ดูเหมือนว่าเบลล่าจะใช้กรงเล็บทั้งสี่ออกแรงจิกไว้บนพื้น แต่ดูท่าความสามารถของมันจะมีจำกัด
“งื้อ…”
มันมองดูหยางหยางที่ตกลงมาจากต้นไม้อย่างเคร่งเครียด ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ
ปลอกคอรัดจนแน่นไปหน่อย ทำให้ตอนนี้ไม่ค่อยสบายตัว
“หยางหยาง นายอย่าทรมานเบลล่าขนาดนี้ได้ไหม…”
ในที่สุดเฉิงเฉิงก็มองต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาเก็บหนังสือในมือลุกขึ้นจากสนามหญ้า เข้าไป ‘ช่วยชีวิต’ เบลล่า
หยางหยางไม่สนใจที่จะหันกลับไปมอง : “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเล่นว่าวกับฉัน อย่าดูถูกความสามารถของมัน นอกจากนี้ฉันยังทำเพื่อเป็นการออกำลังกายให้มันด้วย นายดูหมาตำรวจเหล่านั้นสิ มีตัวไหนไม่ดีบ้าง ตอนนี้มันอ้วนขนาดนี้ สมควรลดน้ำหนักแล้ว”
พูดจบเขาก็เบนสายตาไปยัง ‘อาวุธที่ยึดมาได้’ ของตัวเอง ด้วงกว่างกำลังดิ้นรนบนเท้าของตัวเอง
ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดจากการล้มลงจะไม่มีผลกับเขา
“หยางหยาง ช่วงนี้ลูกขี้เกียจอีกแล้วใช่ไหม?” เป่หมิงโม่มาถึงใต้ต้นไม้ ย่อตัวลงกอดจิ่วจิ่วไว้ที่อกของเขา
หยางหยางยักไหล่แล้วทำหน้าภาคภูมิใจ : “กังฟูของผมไม่ใช่เรื่องคุยโม้ ในโรงเรียนไม่มีคู่ต่อสู้ของผมแล้วล่ะครับ”
จิ่วจิ่วเบ้ปาก : “คงยอดเยี่ยมมาก ถ้าเมื่อกี๊ไม่ได้ตกลงมาจากต้นไม้”
พอถูกน้องสาวเปิดโปง หยางหยางรู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ : “นั่นไม่ใช่เพราะมีมันอยู่ในมือของฉันเหรอ เธอก็เห็นว่ายอดเยี่ยมแค่ไหนตอนที่ขึ้นไป”
ในตอนนี้เอง เฉิงเฉิงก็แก้เชือกว่าวตรงปลอกคอของเบลล่าออก
เจ้าอ้วนตัวน้อยถึงได้รู้สึกสบายใจ
“ให้นาย” เฉิงเฉิงยื่นเชือกว่าวใส่ในมือหยางหยาง : “ถ้าครั้งหน้าฉันเห็นนายรังแกเบลล่าแบบนี้อีก ฉันจะเข้าไปตัดเชือกให้นาย”
“อย่าทำแบบนั้นนะ ครั้งหน้าฉันไม่กล้าแล้ว”
ในที่สุดกู้ฮอนก็ลุกขึ้นมาจากม้านั่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก : “เด็กๆกลับไปกินข้าวได้แล้ว”
ทันทีที่ได้ยินคำว่ากินข้าว หยางหยางก็เป็นเหมือนเมื่อก่อน วิ่งมุ่งหน้าไปทางห้องแถวที่อยู่อีกด้านของสนามหญ้าเป็นคนแรก
เฉิงเฉิงยืนอยู่ข้างพ่อและน้องสาว พวกเขารอแม่ด้วยกัน
*
“พวกเราไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว ถ้าวันนี้พ่อไม่ได้พาพวกเรามา ฉันคงลืมที่นี่ไปแล้ว” หยางหยางถือชามของตัวเองเดินวนไปรอบๆบ้าน มองดูจนทั่ว ที่นี่เปลี่ยนไปมากจากที่เคยเป็น
“พวกพี่มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ทำไมหนูไม่เคยมา?” จิ่วจิ่วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตแล้ว ถ้าหนูชอบที่นี่ วันหลังพวกเราจะพามาบ่อยๆดีไหมจ๊ะ?” กู้ฮอนพูดพร้อมกับเอาเห็ดจากวางลงไปในชามของลูกสาว
สำหรับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งครอบครัวดูเหมือนจะมีความเข้าใจไปโดยปริยายและไม่อยากยกขึ้นมาพูดอีก
*
“หนูปลูกองุ่นน้ำเต้าตรงนั้นได้นะ”
ภายใต้ท้องฟ้าที่มีดวงดาวสุกสกาว จิ่วจิ่วนั่งอยู่บนชิงช้าที่ทำด้วยไม้และเถาวัลย์
ลอยอยู่เบาๆ เธอยกนิ้วมือขึ้นแล้วพูดถึงพื้นที่ว่างเปล่าที่อยู่ไม่ไกล
หลังจากที่จิ่วจิ่วมาที่นี่ ก็ได้จับจองพื้นที่ว่างขนาดสองหรือสามตารางเมตรแล้ว
มันอยู่ข้างห้องแถวพอดี
เป่หมิงโม่มองไปที่นั่นอย่างเหม่อลอย จนลืมผลักชิงช้าของจิ่วจิ่วในตอนที่ลอยลงมา
“ป่ะป๊า…” จิ่วจิ่วส่งเสียงบ่นออกมาเล็กน้อย เธอรู้สึกมีความสุขมากกับการบิน แต่ทว่าหลังจากที่เธอพูดจบ ดูเหมือนว่าพ่อจะต้องมนตร์ไปแล้ว
หยางหยางนั่งอยู่บนชิงช้าที่เหมือนกันข้างๆเธอ ขณะที่กำลังเล่นอย่างเพลิดเพลินและอวดเก่งในบางเวลา : “น้องสาวดูนี่ ฉันแกว่งได้สูงแค่ไหน ในไม่ช้าฉันจะแกว่งได้เป็นสัปดาห์เลยนะ”
เด็กน้อยล้วนแต่มีใจที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ชายของตนเอง ขอเพียงแต่กระตุ้นเธอ เปลวไฟเล็กๆในหัวใจจะถูกจุดในชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เธอยังไม่มีความสามารถที่จะเป็นอิสระได้ ทำได้แค่รับการควบคุมจากพ่อเท่านั้น
เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆพ่อก็ไม่ผลักให้ตนเองแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงบ่นของลูกสาว แล้วมองดูปฏิกิริยาโดยรวมของเป่หมิงโม่แล้ว มีเพียงแต่กู้ฮอนเท่านั้นที่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เวลาไม่ได้ลบร่องรอยเหล่านั้นให้หายไปจากหัวใจของเป่หมิงโม่เลย ตรงกันข้ามกลับเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นและยิ่งกว่านั้นยังให้รอยประทับแห่งกาลเวลาเอาไว้ด้วย
พวกเขาไม่ควรลืมและไม่อาจที่จะลืมได้
“ลูกน้อยจ๊ะ พ่อเหนื่อยแล้ว ให้เขาพักผ่อนสักหน่อยนะจ๊ะ แม่ผลักให้ดีมั๊ยจ๊ะ”
พูดแล้วเธอก็เดินไปที่ด้านข้างของเป่หมิงโม่แล้วกระซิบบอกเขาว่า : “คุณไปพักทางด้านนั้นสักหน่อยเถอะค่ะ ให้ฉันอยู่ที่นี่”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลอย่างมาก ได้เปลี่ยนเป็นการปลอบประโลมหัวใจของเขา
“หม่าม้า หนูอยากบินให้สูงเหมือนกับพี่หยางหยางค่ะ” จิ่วจิ่วไม่สนใจว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะมาช่วยตน ภายในใจมีเพียงแค่อยากจะแข่งความสูงกับพี่ชาย
กู้ฮอนมองไปที่ลูกสาวตัวน้อยและยิ้มเบาๆ : “ถ้าสูงขนาดนั้นมันจะอันตรายมาก ตกลงมาจะเจ็บมาก กระโปรงก็จะเปื้อนแล้วหลังจากนั้นหนูจะใส่มันไม่ได้อีกแล้ว หม่าม้าดันหนูให้สูงเท่านี้ แค่เล่นสนุกก็พอ”
พูดจบก็จ้องไปที่หยางหยาง : “ลูกหยุดเล่นเลยนะ เป็นพี่ชายแต่ไม่รู้ว่าต้องเป็นผู้นำที่ดีให้กับน้อง เป็นแบบอย่างที่ดีสิ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็พูดไม่รู้ความเลย”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยางหยางถูกแม่ด่า แต่ว่าในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกอยู่ไม่น้อย เขาเบ้ปาก : “เอาล่ะเอาล่ะ ผมหยุดแล้วยังไม่ดีเหรอ?”
ในไม่ช้าชิงช้าของเขาก็หยุดแกว่ง เขากระโดดลงมาจากข้างบน แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรพร้อมกับใบหน้าที่ขมขื่น แม้แต่แม่และน้องสาวก็ไม่มองด้วยซ้ำ
แต่ว่าพวกเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร จิ่วจิ่วที่แกว่งชิงช้ายังหันไปมองหยางหยางและพูดอย่างตื่นเต้นว่า : “ตอนนี้หนูสูงกว่าพี่แล้ว”
กลับมาถึงกระท่อมเล็กๆ หยางหยางก็ล้มลงบนเตียงและไม่ขยับ
สิ่งนี้ทำให้เฉิงเฉิงที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่าที่ด้านนอกเมื่อกี้นี้น้องชายและน้องสาวของตัวเองกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทำไมเวลาผ่านไปไม่นาน หนึ่งในนั้นก็กลับมาอย่างเหี่ยวเฉา
และข้างนอกยังคงยินเสียงร้องอย่างมีความสุขของน้องสาวอย่างชัดเจน
“นายเป็นอะไรไป? นายกับน้องมีปัญหาอะไรกันอีก?”
“ฉันกับเธอไม่มีเรื่องอะไร” หยางหยางเอาหัวไว้ใต้ผ้านวม เพราะไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขที่ดังไม่หยุดจากด้านนอก
เฉิงเฉิงรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้น : “นายไม่มีปัญหากับน้อง ถ้างั้นทำไมไม่ออกไปเล่นกับเธอล่ะ?”
“เรื่องนั้นนายไม่ต้องห่วงฉัน ฉันแค่ไม่อยากออกไปเล่นตอนนี้ นายอ่านหนังสือของนายเถอะ”
เกี่ยวกับ ‘การเปลี่ยนแปลง’ อย่างกะทันหันของหยางหยาง หลายปีมานี้เฉิงเฉิงเคยชินกับมันแล้ว
ระยะนี้เขาไม่ได้มีความพยายามมากนัก ที่จะจัดการเรื่องที่ดูแล้วไม่สลักสำคัญอะไรเหล่านี้
ตอนนี้เขาสามารถพูดได้แค่ว่ายุ่งมากขึ้น
ตอนนี้ยังมีใครอีกที่ไม่รู้ว่าตระกูลเป่หมิงนั้นนอจากเป่หมิงโม่แล้วยังมีอัจฉริยะตัวน้อยเป่หมิงซีเฉิงปรากฏตัวออกมาอีกด้วย
แน่นอนว่าเขาเองได้รับการขนานนามว่าเป่หมิงซีหยางที่ซุกซน
สำหรับจิ่วจิ่วที่น่ารักยังคงได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี
นี่เป็นเพราะไม่ว่าเป่หมิงโม่หรือว่ากู้ฮอน พวกเขารู้สึกว่าจิ่วจิ่วเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ในตอนนี้โลกภายนอกยังมีอันตรายสำหรับเธอ
และไม่ว่าจะมองที่เฉิงเฉิงหรือหยางหยาง พวกเขาถือว่ามีวิธีของตัวเองในการเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะสามารถทำให้ผู้ใหญ่เกิดความกังวลใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะหยางหยาง
*
“ฉันเริ่มจะอิจฉาพวกเธอแล้วจริงๆ” ในสาย ลั่วเฉียวเริ่มบ่นอีกครั้ง
“เธอเป็นอะไรอีก?” กู้ฮอนที่สวมชุดนอนสีชมพูอ่อนกำลังเอนตัวนอนอยู่บนเตียงไม้มะฮอกกานีสไตล์จีน
เธอและลั่วเฉียวพูดคุยกันจนเป็นนิสัยไปแล้ว และแน่นอนว่าจะขาดแอนนิไปไม่ได้
ที่พูดกันว่า ‘ที่ไหนผู้หญิงเยอะที่นั่นย่อมวุ่นวาย’ คำนี้ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว
ในตอนที่พวกเธอสามคนรวมตัวกัน มักจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เป่หมิงโม่ ฉิงฮัว และยังมีหยินปู้ฝันปวดหัวมากที่สุด
หลายปีที่ผ่านมา พวกเธอได้จับมือกันเอาชนะอุปสรรคที่น่ากลัวใน ‘ช่วงเวลาสำคัญ’ จนผ่านมาได้