บทที่ 1143 เรื่องที่จะขอร้อง
เพราะฉะนั้นแล้วเขาจึงทำได้เพียงพูดกับตนเอง : “นั่นเป็นเพราะว่า นานมาแล้ว ตัวผม เป่หมิงโม่ และยังมีป่ายมู่ซี พวกเราได้สมญานามว่า สามหนุ่มโสดเนื้อทองแห่งเมือง A แต่น่าเสียดายเมื่อเวลาผ่านไป ป่ายมู่ซีก็มีคนที่เขาหลงรัก หลังจากที่เขาพูดอย่างไม่อายปากและไล่ตามพร้อมกับต่อสู้อย่างทรหดอดทน ในที่สุดเขาก็ได้นางในดวงใจมาไว้ในมือ หลังจากนั้นตามมาด้วยเป่หมิงโม่ในวันนี้ ที่เขาเองได้แต่งงานอย่างมีความสุขหลังจากที่ทรมานมานับพันครั้ง ในสามคนของหนุ่มโสดสุดฮอทเหลือเพียงแค่ผม สุดท้ายผมก็กลายเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ จู่ๆผมก็รู้สึกสมเพชตัวเองจริงๆ…”
พูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้ากู้ฮอนเหมือนกับเป่หมิงโม่
“เฮ้…”
เป่หมิงโม่ที่ได้ยินเขาพูดเมื่อสักครู่นี้ยังเพิ่งจะรู้สึกเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาเลิกคิ้วขึ้น ในปากมีเสียงที่คล้ายกับเสียงเตือน แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน
เขาไม่ยอมให้ผู้ชายไม่ว่าคนไหนก็ตาม มาพยายามทำตัว ‘ลามปาม’ กับผู้หญิงของตน
เช่นเดียวกับกู้ฮอนเองก็กระโดดหนี : “ชูหยุนเฟิง คุณ คุณคิดจะทำอะไร?”
“โอ้แม่เจ้า ทำไมคุณอาชูเอ้อ ดูเหมือนจะหาเรื่องให้พ่อกับแม่เลย” หยางหยางกระซิบแผ่วเบา
คนอื่นๆเองก็สับสนไปกับฉากนี้ด้วย หรือว่าวันนี้จะมีเรื่องอะไรใหม่ๆอีก?
นี่คือระเบิดครั้งใหญ่กว่าการที่เป่หมิงโม่ขอแต่งงานในวันนี้เสียอีกนะ
“เจ้าชูเอ้อคนนี้รนหาที่ตาย…” ป่ายมู่ซีกัดฟันแล้วพูด พร้อมกับก้าวอย่างรวดเร็วไปที่ด้านข้างของชูหยุนเฟิงแล้วยกมือดึงเขาขึ้นมา : “วันนี้นายกินยาผิดหรือเปล่า?”
แน่นอนว่าชูหยุนเฟิงเองก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรของเป่หมิงโม่ที่มีต่อเขาในขณะนี้
อย่างไรก็ตามเขายังคงแสดงออกค่อนข้างสงบนิ่ง เพียงแต่หันหน้าไปยิ้มให้เขาอย่างกระดากใจ หลังจากนั้นยังคงรักษาท่าทีก่อนหน้านี้ที่มีต่อกู้ฮอน
ถ้าหากเขาไม่พูดต่อให้เคลียร์ล่ะก็ น่ากลัวว่า ต่อให้เป็น ‘ศพ’ ก็ออกไปได้ยาก
“กู้ฮอน ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมขอถามด้วยความเคารพเลยนะ: คุณมีเพื่อนดีๆคนอื่นๆอยู่อีกหรือเปล่า?” เธอมองเห็นชูหยุนเฟิงที่มีใบหน้าขมขื่น
เมื่อกู้ฮอนได้ยิน ก็ตกตะลึงทันที : “ชูหยุนเฟิง คุณหมายถึงอะไร?”
“คุณชู คุณลุกขึ้นมาแล้วค่อยพูดเถอะค่ะ คุณเป็นแบบนี้ฉัน…” กู้ฮอนมองเขา ชายร่างใหญ่ทำแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจจริงๆ
ชูหยุนเฟิงคนนี้ที่สามารถเอาตัวรอดได้แล้วแสดงสีหน้ารันทด : “กู้ฮอน คุณก็รู้นี่นา ผมกับเป่หมิงโม่เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน จนถึงตอนนี้ เรื่องของเขาก็คือเรื่องผม เรื่องของผมก็ยังคงเป็นเรื่องของผม ด้วยความจริงใจเลยนะผมไม่เคยจะขออะไรเขา เพียงแต่ว่า เรื่องมาถึงตอนนี้ เมื่อถึงคราวที่ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขอร้องคุณว่า…”
ที่แท้มีเรื่องที่อยากขอ…
สีหน้าของเป่หมิงโม่ถึงได้เปลี่ยนเป็นดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาโกรธมากกับคำพูดของเขาเมื่อกี้นี้ ที่ว่า ‘เรื่องของเขาเป็นเรื่องของผม เรื่องของผมก็ยังเป็นเรื่องของผม’
“ชูเอ้อ นายต้องพูดอย่างมีสำนึกผิดชอบชั่วดีหน่อยนะ มีตอนไหนที่นายมีเรื่องแล้วฉันไม่ช่วย? อย่าพูดเหมือนกับว่าฉันไม่มีมิตรภาพ และมีแต่นายที่ต้องเป็นฝ่ายต้องเสียสละฝ่ายเดียว”
ทันทีที่เป่หมิงโม่พูด ป่ายมู่ซีก็ตามมาช่วยพูดด้วย : “ใช่แล้วล่ะ เมื่อไหร่ก็ตามนายถูกทำร้ายในโรงเรียนตอนเป็นเด็ก ไม่ใช่เป่หมิงโม่ที่ช่วยนายแก้แค้นทั้งหมดหรือไง บางครั้งก็ถูกกลุ่มคนทุบตีจนหมาที่บ้านยังจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
คำอธิบายอย่างนี้ไม่อธิบายยังจะดีกว่า ช่วงเวลาในวัยเด็กที่เป่หมิงโม่สุดจะทนรับได้ได้หวนกลับคืนมาทั้งหมด
กู้ฮอนได้ยินแล้วก็รู้สึกตลกอยู่เล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองไปทางเขา : “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณก็มีช่วงเวลาแห่งความเลวร้าย ฉันอยากจะฟังเรื่องที่คุณถูกทำร้ายจริงๆเลยว่ามีคนต่อยคุณกี่คนกัน?”
“…”
เป่หมิงโม่ไม่เอ่ยตอบ แต่ตอบด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูก
มันเป็น ‘ประวัติศาสตร์อันเลวร้าย’ ที่เขาแทบจะลบออกจากความทรงจำไปจนหมดแล้ว
แต่มันกลับถูกเปิดเผยในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตเช่นนี้
“อันที่จริงเขากล้าหาญมากๆ ตอนนั้นเขาเผชิญหน้ากับหัวหน้าปีสองและลูกน้องสี่คนของเขา…” ชูหยุนเฟิงคนนี้เป็นตะคริวไปแล้วจริงๆ พูดโดยไม่ใช้สมองเลย บางทีเขาอาจจะรู้ตัวแล้วว่าเมื่อกี้นี้ทำตัวไม่เหมาะสม
“หัวหน้าปีสอง…” หยางหยางเหล่ตามองพ่อของตนเองด้วยความรังเกียจ
ในที่สุดเป่หมิงโม่ก็ทนไม่ไหว ไม่สามารถปล่อยให้เขาใส่ร้ายตัวเองได้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้อับอายต่อหน้าภรรยาที่กลายเป็นจริงและลูกของเขา
พอปล่อยมือของกู้ฮอนแล้ว ก็เดินมายังด้านหน้าของชูหยุนเฟิง ยื่นมือออกไปจับเนคไทของเขาแล้วลากออกไปข้างนอกเหมือนเป็นลา
“เฮ้ นายเบามือหน่อยได้หรือเปล่า ฉันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นนะ ฉันจะทำผิดไม่ได้หรือไง…” ด้านหนึ่งที่เขากำลังขัดขืนอย่างไร้เรี่ยวแรง อีกด้านหนึ่งก็ต่อสู้ครั้งสุดท้าย : “อันที่จริงฉันไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา ตอนนายอยู่ป.1 การรับมือหัวหน้าชั้นป.2 มันช่างยากจริงๆ…”
ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้
ผู้ชายสองคนนี้กำลังพูดเรื่องตลกขบขันกันอยู่
ทำให้สุดท้ายกู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา : “โอเคโอเคค่ะ พวกคุณสองคนรีบกลับมาได้แล้ว ฉันไม่อยากที่จะรู้สึกไม่มีความสุขในวันนี้”
ด้วย ‘คำพูด’ ของกู้ฮอนแล้ว
เป่หมิงโม่ย่อมที่จะต้อง ‘เชื่อฟังและปฏิบัติตาม’
ตอนนี้มองเห็นแล้วว่า ถ้าต้องการบรรลุถึงเป้าหมายจำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งของเธอถึงจะได้
“ยังไม่รีบปล่อยฉันอีก ฟังคำพูดของภรรยาถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนะ” ในตอนนี้ชูหยุนเฟิงเริ่มจะอวดเก่งแล้ว เขาผลักมือเป่หมิงโม่ออกอย่างแรง
ใบหน้านั้นยิ้มเบิกบาน แล้วเขาก็วิ่งเหยาะๆเหมือนกับสุนัขมาอยู่ตรงหน้ากู้ฮอน
“กู้ฮอน คุณไม่ต้องกลัว ผมแค่อยากจะถามคุณว่า : คุณยังมีพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆที่ดีๆอยู่อีกไหม?”
……
ทันใดนั้นก็เงียบกริบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ว่าต่อจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะระเบิดออกมา
ชูหยุนเฟิงคนนี้พูดอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่ ที่แท้เป็นเรื่องนี้เอง
ถูกเขา ‘เอาชนะ’ เอาชนะแล้วจริงๆ…
เขาเองก็คิดว่าเรื่องตอนนี้แล้วหมายความว่าอย่างไร เมื่อตนเองจะต้องทำกิจการเพียงคนเดียวก็รู้ว่าต้องรีบแล้ว
ในเวลานี้กู้ฮอนกลับอารมณ์ดีขึ้นมาก เธอหัวเราะเขาอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมา บนหน้านั้นขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด : “ได้ยินคุณพูดแบบนั้นแล้ว ที่จริงเงื่อนไขของคุณก็ไม่เลวเลยนะคะ ว่ากันตามเหตุผลแล้วคงหาแฟนได้ไม่ยาก ยิ่งไปกว่านั้นฉันคิดว่าถึงฉันจะมีพี่สาวน้องสาว แต่ก็มาจากชนชั้นรากหญ้า ไม่คู่ควรกับคุณหรอกค่ะ…”
วันนี้ดูเหมือนว่าชูหยุนเฟิงจะได้รับการกระตุ้นแล้วจริงๆ ราวกับว่า ได้ต่อสู้กับ ‘คนที่จะเข้ามา’ อย่างยาวนาน
เขาถอนใจ : “ที่จริงแล้ว คุณพูดได้ถูกต้อง ผมชูหยุนเฟิง ถึงแม้จะเทียบกับเป่หมิงโม่ได้ แต่ก็ไล่เลี่ยกับป่ายมู่ซีนะ มีแฟนสาวอยู่ข้างกายตั้งมาก แต่ไม่มีใครจะเป็นภรรยาได้เลย ดังนั้นจึงต้องขอรบกวนพี่สะใภ้…”
พี่สะใภ้…
นี่เป็นครั้งแรกที่ชื่อนี้ออกมาจากปากของเขา
ฟังแล้วเหมือนเรียกว่าตัวเองอายุไม่กี่ขวบ
นอกจากนี้ตัวตนใหม่ของเขา ที่เป็น ‘เพื่อนเกเร’ ก็ได้รับการยอมรับจากเป่หมิงโม่แล้ว
เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าตนเองและเป่หมิงโม่ได้รับการยอมรับแล้วในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนที่แก้ม
“อย่าเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ ฉันยังไม่ได้ให้สัญญาเขาเลยนะคะ…”
ทันทีที่เป่หมิงโม่ได้ยินแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เดิมทีคิดว่าชนะใจหญิงสาวได้สำเร็จ ทำไมยังมีตัวแปรที่ทำให้ไม่สำเร็จอยู่อีก?
ในเวลานี้เขาเองก็ควบคุมได้ไม่มากนักแล้ว เขาจับกู้ฮอนไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
กู้ฮอนตกใจ : “คุณทำอะไรน่ะ ฉันยังไม่ได้รับปากอะไรคุณเลยนะคะ”
เป่หมิงโม่ก้มหน้าลงมองดวงตาที่วาววับของเธอ มันราวกับทะเลสาบที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง และเปล่งประกายเย้ายวนออกมา
“ผมอยากจะจูบคุณตอนนี้เลย คุณไม่จำเป็นต้องสัญญาอะไรกับผม เพราะว่าผมแน่ใจแล้วตลอดชั่วชีวิตนี้ของผมคุณจะเป็นผู้หญิงคนเดียว และต่อจากนี้ไม่ยอมให้หลุดจากมือของผมไปได้อีก”
หรือว่านี้จะเป็นคำสาบานสุดท้ายของเขาใช่หรือเปล่า?
“โห้ คุณพ่อดุดันมากๆเลย ผมตัดสินใจแล้วว่าคุณคือไอดอลของผม ต่อจากนี้ไปจะไม่ยอมให้หลุดรอดสายตาไปได้” หยางหยางคนนี้เรียนคำศัพท์แล้วนำมาใช้จริง ประโยคที่พูดเมื่อสักครู่นี้ได้ไม่เลวเลย
“เฮ้เฮ้ เป่หมิงโม่ คุณจะอ่อนโยนกับกู้ฮอนของพวกเราสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?” ลั่วเฉียวตบโต๊ะ แต่บนหน้าของเธอมีรอยยิ้มอยู่ตลอด : “ฉันในฐานะครอบครัวของเจ้าสาว ไม่อนุญาตให้คุณทรมานเพื่อให้ได้คำสารภาพนะ”
“ใช่แล้วล่ะ คุณควรละทิ้งสไตล์ของท่านประธานที่ดุดันแล้วสารภาพรักกับกู้ฮอนของพวกเราดีๆ บางทีพวกเราอาจช่วยพูดคำดีๆแทนคุณในตอนที่เธอปฏิเสธก็ได้” แอนนิส่งเสียงตามมา
มันยุ่งยากลำบากขนาดนี้ได้ยังไงกัน…
เป่หมิงโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเขายังไม่สนใจเรื่องนี้
แน่นอนว่าตอนนี้เขาฉวยโอกาสใช้กลยุทธ์รุกเข้าโจมตี เขาเอนตัวลงไป ก่อนที่กู้ฮอนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทัน ก็กอดเธอไว้แน่นพร้อมกับจูบเป็นเวลานานถึงสิบนาที…
“เฮ้ เจ้านายของคุณชอบบังคับขู่เข็ญคนอื่นใช่ไหม คุณก็ตามก้นเขาอยู่ตลอด ทำไมฉันไม่เห็นคุณเป็นอย่างนี้บ้างล่ะ?” ลั่วเฉียวมองดูด้วยใจเต้นแรงเล็กน้อย แล้วใช้ข้อศอกทิ่มฉิงฮัวที่อยู่ข้างๆ
ฉิงฮัวจะตอบกลับอย่างไรดีล่ะ “นี่มัน…นั่น…เจ้านาย…”
เป่หมิงโม่นั้นแสวงหา’ความสมบูรณ์แบบ’ เกือบทุกสิ่งที่เขาทำ
แต่ว่า สำหรับเรื่องนี้กลับถนัดในแบบ ‘เรียบง่ายและหยาบคาย’
กู้ฮอนถูกเขาควบคุมไว้อย่างแน่นหนา
เธอรู้สึกว่าภายใต้ร่างกายของเธอนั้นว่างเปล่า ถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะต่อต้านวิธีการจูบของผู้ชายคนนี้อย่างมาก แต่เธอไม่สามารถขยับได้…
กลิ่นนี้…
มันช่างรู้สึกคุ้นเคย แต่ก็ปรากฏความรู้สึกแปลกๆ
ที่คุ้นเคยเป็นเพราะความทรงจำที่มีกับเขา แต่ทว่าในใจมองย้อนกลับไปแล้ว ล้วนแต่เป็นความขัดแย้งระหว่างพวกเขาที่มีมากขึ้น
บางทีสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกชื่นใจก็คือ เด็กทั้งสามคนที่ราวกับเป็นเทวดาตัวน้อยได้ปรากฏตัวเข้ามาในชีวิตของเธอ…
แต่กระบวนการมาถึงของพวกเขาคือ…
เธอรู้สึกขมขื่นภายในใจอย่างไม่รู้ตัว
น้ำตาไหลออกจากหางตาเป็นสองสายและไหลลงอาบแก้มอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ คนที่ภายในใจพลุ่งพล่านไม่หยุดคือกู้ฮอนเพียงคนเดียวหรือเปล่า?
บางทีเป่หมิงโม่ควรจะพูดความรู้สึกของเขาให้มากกว่านี้นะ
จากปีศาจในสายตาของทุกคนค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนๆหนึ่ง เป็นพ่อ เป็นลูกชายี่ฟื้นคืนความรักที่หายไป เป็นพี่น้อง…
การเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ราวกับตนเองได้เกิดใหม่อีกครั้ง
นี่เป็นกระบวนการที่ยาวนาน และทำให้ตนเองเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าและเคยคิดที่จะหันหลังกลับ
แต่บ่อยครั้งที่เริ่มเกิดความสับสนก็จะมีเธอคอยอยู่เคียงข้างตนเองเสมอ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นแต่ยังมีพวกเด็กๆอีกด้วย
สิบนาทีเต็ม…
ดูเหมือนจะไม่นานเลย ในใจของพวกเขาทั้งคู่กลับดูเหมือนชั่วชีวิต
ทุกคนรอบๆตัวค่อยๆเริ่มรู้สึกสะเทือนอารมณ์
บางทีในขณะที่พวกเขาทั้งหมดเกิดความรู้สึกร่วม ทุกคนมองย้อนกลับไปในอดีตของ‘คนใหม่’ จากมุมมองของตัวเอง
มีความสุข ไม่มีความสุข…
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ มันไม่สำคัญอีกต่อไป