บทที่ 1151 พ้นทุกข์
“ผมขอแนะนำให้คุณปล่อยมันไปซะเถอะ ถือซะว่าผิดเป็นครูถึงจะมีประโยชน์ต่อคุณ” กายของเป่หมิงโม่เอนลงไปบนโต๊ะ ทำตัวราวกับผู้ชมที่พยายามสร้างสันติภาพ
“คุณพูดง่ายไปแล้ว แต่ทำไมฉันต้องปล่อยมันไปด้วยล่ะ คิดว่าฉันจะต้องถูกรังแกง่ายๆ แบบนี้เหรอ ?” กู้ฮอนหันหัวไปมองเขาอย่างบันดาลโทสะ “ฉันจะไม่ยอมให้คุณมองฉันเป็นตัวตลก อีกอย่างคนอย่างฉัน กู้ฮอน ก็ไม่ใช่คนที่ยอมให้รังแกได้ง่ายๆ ขนาดนี้ ฉันจะต้องสั่งสอนมัน”
“เฮ้อ……” เป่หมิงโม่ถอนหายใจแล้วส่ายหัวเบาๆ “คุณคิดว่าคุณจะไปหาเขาเจอเหรอ ? คุณอยู่กับผมมาตั้งนานซะขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่รู้เรื่องล่ะเนี่ย”
“ฉันต้องรู้เรื่องอะไรล่ะ ? เขามีหน้าร้านอยู่นี่นา ถึงพระจะหนีไป แต่วัดก็ยังอยู่”
“ตอนนี้พระก็หนีไปแล้ว เขาจะยังมาสนใจวัดด้วยเหรอ อีกอย่างวัดนั่นเป็นของเขาไหมก็ไม่รู้ ผมว่าหาสถานที่ใดสักแห่ง แล้วทิ้งของชิ้นนั้นไปเลย” เมื่อพูดจบเขาก็หยิบสมุดบันทึกของตัวเองขึ้นมา
จะปล่อยมันไปจริงๆ เหรอ ? คิดในสิ่งที่เป่หมิงโม่พูดมันก็ถูก เพราะมันสูญเสียไปแล้วนี่
นี่มันเป็นการขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมืออีกแล้วสินะ
ทำไมเราถึงได้โชคร้ายขนาดนี้เนี่ย ? จะไม่มีโอกาสที่สามารถพลิกผันตัวต่อหน้าเป่หมิงโม่สักนิดเลยเหรอเนี่ย ?
ไม่ใช่ว่าในตอนนี้สถานะของผู้หญิงมันดีขึ้นแล้วเหรอไง ไม่ได้หวังว่าจะเกินหน้าเกินตาเขา แต่มันก็ควรจะเท่าเทียมกัน
แต่ในความเป็นจริงมักจะถูกเขาข่มอยู่เสมอ
ความรู้สึกที่ถูกบดขยี้อยู่ข้างล่าง……
มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก บางทีอาจจะเป็นร่างกายเธอต้องการ แต่ในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น
สรุปแล้ว มันเป็นความขัดแย้งในตัวบุคคล
ความกระตือรือร้นของกู้ฮอนไม่ได้ทำให้เป่หมิงโม่หวาดกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับถูกเขาหัวเราะเข้าอีก
อย่างน้อยนั่นมันก็เป็นสิ่งที่เธอคิด ในความเป็นจริงแล้วเป่หมิงโม่ก็ไม่ได้อยากจะหัวเราะเธอหรอก
ในตอนนี้เขาใจดีมากขึ้นไม่น้อย
นาฬิกาหมุนไปถึงเวลาห้าทุ่มแล้ว กู้ฮอนหาแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง
คืนนี้เป็นคืนที่แห้วสำหรับเธอแน่นอน
เป่หมิงโม่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จนถึงเที่ยงคืนจึงจะเลิกงาน
เขาไม่ได้ทำงานเป็นเวลานานมานานแล้วสินะ
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืดเหยียดแขนและบิดเอวของตัวเองเล็กน้อย ร่างกายถึงจะรู้สึกสบายขึ้น
หรือว่าจะเริ่มแก่เข้าแล้ว ?
สำหรับเขาแล้ว คำนี้มันควรจะปรากฏอยู่ในนิตยสารสุขภาพเท่านั้น นั่นก็เพื่อที่จะกระตุ้นให้คนที่บ้างานแต่ไม่เคยดูแลสุขภาพ
ส่วนตัวเองกับคนในครอบครัว ต่างก็ใส่ใจในเรื่องนี้อย่างมาก
ชีวิตของคนเรามีเวลาจำกัด แม้ว่าจะหาเงินได้มาก แต่ก็ยังใช้จานหนึ่งใบกินข้าวเหมือนเดิม เตียงนอนก็เล็กๆ เท่านี้
การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายและการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ถือว่ามีราคาแพง
เขาเดินไปยังประตูห้องนอน แล้วเปิดมันออกเบาๆ
ก่อนจะออกไปก็หันหัวมองไปยังเธอที่อยู่บนเตียงที่หลับสนิทไปแล้ว
ใบหน้าที่สงบนั้นมีเสน่ห์มาก
การที่มองเธอก็เหมือนกับการดูงานศิลปะชิ้นหนึ่ง แม้ว่าจะมองเพียงแค่นี้ก็รู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายไปทั้งตัว
ค่อยๆ เดินลงบันไดไปชั้นล่างอย่างช้าๆ แล้วนั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น
ถัดจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดด้วยมือตัวเอง ก็มีตู้ที่เพิ่มประตูกระจก
นี่เป็นคำขอพิเศษจากกู้ฮอน
ข้างในไม่ได้วางหนังสืออะไร แต่มีอัลบั้มวางซ้อนกัน และยังมีกรอบรูปมากมายทั้งใหญ่และเล็ก
นี่คือความทรงจำของเขาและเธอตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน
ในความเป็นจริงแล้ว เขาสามารถจัดห้องไว้สักห้องสำหรับวางรูปภาพพวกนี้ เช่น ห้อยไว้บนผนัง แต่ก็ถูกก็ฮอนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าถ้าทำแบบนั้นจะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นห้องโถงนิทรรศการ จะไม่ค่อยมีความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
เพียงแค่วางไว้ในตู้ พอถึงเวลาว่างก็หยิบมาหนึ่งเล่มแล้วมานั่งดูบนโซฟา
รายล้อมไปด้วยคนในครอบครัวของตัวเองร่วมดูด้วยกัน
ความทรงจำของเวลาที่ถูกตรึงไว้ในกระดาษภาพถ่ายบาง ๆ
ชั้นบนสุดมีกรอบรูปขนาดใหญ่หลายอัน ซึ่งเป็นภาพของญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว
เดิมทีตรงนี้มีเพียงเพียงแค่สามอัน แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ก็เพิ่มมาอีกสองอัน
ปกติร่างกายของหวีหรูเจี๋ยอ่อนแอมากอยู่แล้ว เธอเพียงแค่ไม่ค่อยได้บอกลูกชาย เพราะเธอเห็นว่าลูกชายสานต่องานของตัวเอง
เห็นเขาพยายามเพื่อครอบครัวและภรรยากับลูกๆ มันทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก ดังนั้นจึงไม่อยากไม่อยากไปกวนใจเขา
ในที่สุดวันหนึ่ง เธอก็ฝืนร่างกายของตัวเองต่อไปไม่ไหว
อย่างไรก็ตามพระเจ้าก็ยังคงเมตตาเธอ คืนก่อนที่เธอจะจากไป เธอยังได้สนุกสนานและหัวเราะกับคนรัก ลูกชาย ลูกหลานในครอบครัวของตัวเอง
แทบจะไม่มีวี่แววเลยสักนิดนิด
เธอเดินไปในห้วงนิทรา ไร้เสียง ไร้ร่องรอย จากไปโดยไร้ความเจ็บปวดใดๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อทุกคนในครอบครัวได้เผชิญกับความจริง ก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจมากเกินไป แต่กลับรู้สึกมีความสุขแทนเธอ
สุดท้ายเธอก็จากที่นี่ไปแล้ว ชีวิตนี้เธอได้ประสบกับความเจ็บปวดมากมาย ในที่สุดก็พ้นทุกข์ไปได้แล้ว
การจากไปของหวีหรูเจี๋ย เป็นการพ้นทุกข์สำหรับเธอ
แต่สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นความเจ็บปวดที่ยากที่จะทดแทนได้ไปตลอดชีวิต
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สำหรับเป่หมิงโม่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากคุณแม่จากไปแล้ว ความไม่เคารพและความรู้สึกผิดในอดีตกลับขึ้นมาวนเวียนในสมองอีก
คนเรามักจะรู้สึกเสียใจเมื่อต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป
เมื่อเทียบกับลูกชายแท้ๆ คนนี้แล้ว คนที่เศร้าโศกกว่าโม้จิ่งเฉิงผู้ที่อยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเธอเสมอมา
พวกเขาเป็นเป็ดแมนดารินที่ยากลำบากคู่หนึ่ง ที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันดังที่ปรารถนา
ไม่ว่าจะเป็นเป่หมิงโม่หรือกู้ฮอน ต่างก็รู้ดีว่าความรักของคนชราสองท่านนี้ดีมากแค่ไหม
ดังนั้น ในตอนนี้ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวบุญธรรม จึงต้องปลอบโยนเขา
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปล่อยให้ผู้ตายได้พักผ่อนอย่างสงบ เพื่อให้คนที่ยังอยู่ดำเนินชีวิตต่อไปได้
โม้จิ่งเฉิงยังคงเสียใจอยู่ในใจ แต่คำตอบที่เธอได้ มักจะพูดด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก พวกคุณไม่ต้องห่วงฉัน อีกอย่าง ความรักระหว่างฉันกับแม่ของพวกคุณมันจะวางลงได้ภายในสองสามคำได้อย่างไร ?”
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขามักจะเห็นโม้จิ่งเฉิงนั่งอยู่ลานบ้านคนเดียว มองไปยังท้องฟ้าอันไกลโพ้นและเมืองที่อยู่ไม่ไกล
สิ่งนี้เคยเป็นสิ่งที่เขากับหวีหรูเจี๋ยทำอยู่ทุกวัน
การมองออกไปไกลๆ สามารถทำให้อารมณ์ของพวกเขาผ่อนคลายได้
ทว่าตอนนี้มันทำให้เขานึกถึงความทรงจำในอดีตกลับมาอีกมากมาย
ไม่นานนัก หลังจากหวีหรูเจี๋ยจากไปไม่ถึงครึ่งปี ร่างกายของโม้จิ่งเฉิงก็อ่อนแอมากขึ้นทุกวันๆ
ทั้งกู้ฮอนและเป่หมิงโม่ต่างก็เป็นกังวลกับสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมของเขาอย่างมาก
พาเขาไปพบแพทย์ชื่อดังหลายคน แต่ก็สรุปมาว่า : โรคนี้เกิดขึ้นมาจากจิตใจ ถ้าใจของเขาไม่ปล่อยวางลงหน่อย ก็ทำอะไรไม่ได้
สำหรับบทสรุปนี้ มันทำให้พวกเขาปวดหัวมาก
ทุกๆ คนต่างบอกว่าโรคตรอมใจ ต้องใช้หัวใจเป็นยารักษา แต่โรคตรอมใจของเขา มันเกิดจากการตายของคนที่เขารัก
เพื่อแก้ปัญหาโรคตรอมใจนี้ เป่หมิงโม่ก็ใช้เครือข่ายส่วนตัวช่วยเขาในการนัดบอดอยู่หลายครั้งหลายครา
แม้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้ตัวเองรู้สึกเสียใจไปบ้างก็เถอะ
เพราะนี่มันเป็นเหตุการณ์ที่แม่แท้ๆ ของตัวเองเพิ่งเสียชีวิตไป แต่ในฐานะลูกชายก็ยิ่งจะเข้าใจสิ่งที่แม่คิด หวีหรูเจี่ยจะไม่ปล่อยให้โม้จิ่งเฉิงหมดหวังแบบนี้ต่อไปแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือว่าลูกสาว ต่างก็มีชีวิตและครอบครัวเป็นของตัวเอง
หวังเพียงว่าจะมีใครสักคนที่สามารถดูแลเขาแทนตัวเองในโลกนี้
โม้จิ่งเฉิงเข้าใจดีว่านี่เป็นความกตัญญูของลูก แต่คนอื่นจะมาแทนที่หัวใจของตัวเองได้เหรอ……
การที่ปฏิเสธทางอ้อมทุกๆ ครั้ง มันคือการแสดงความรักต่อคนรัก หวีหรูเจี๋ย
เวลายังคงไหลไป เวลาที่เหลือไว้ให้กับโม้จิ่งเฉิงก็ค่อยๆ น้อยลง
ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อน ยิ่งเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที
ในที่สุดเขาก็ทรุดตัวลงอยู่บนเตียงผู้ป่วย
เห็นกู้ฮอน เป่หมิงโม่ รวมถึงลูกๆ ที่น่ารักทั้งสามคนอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนตน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากคนในครอบครัว
สำหรับเขาแล้ว ถือว่าชีวิตของเขานี้คุ้มค่ามาก
ในช่วงเวลาสุดท้าย เขาได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองให้เป่หมิงโม่และกู้ฮอนจัดการ
ขณะที่พวกเขาพยักหน้าด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
สุดท้ายเขาก็จากไปพร้อมรอยยิ้ม
เขาจากไปโดยไม่มีความเจ็บปวดและเสียดาย
วิญญาณของเขาจากไปตามผู้หญิงที่เขารักโดยไม่มีภาระผูกพัน
เป่หมิงโม่มองไปที่ภาพถ่ายผู้เสียชีวิตทั้งห้าคนของตัวเอง และยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เป็นเวลานาน
ฉากความทรงจำร่วมกันของพวกเขาในอดีตได้เล่นซ้ำอยู่ในสมองของเขาตลอดเวลา
เขาเลิกสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในตอนนี้อยากจะจุดสักม้วนมาก
ยกมือขึ้นคลำไปทั้งตัวก็หาไม่เจอสักม้วน แม้แต่ไฟแช็กก็ไม่มี
เขาก็เลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่แล้วในตอนนั้นก็มีบุหรี่ม้วนหนึ่งที่ถูกจุดมาแล้วถูกส่งมาจากข้างๆ
หลังจากสูดดมเล็กน้อย ก็สามารถบอกได้ว่านี่เป็นยี่ห้อที่เขาเคยสูบในอดีต
“ถ้าคุณรู้สึกหดหู่ก็สูบสักม้วนก็ได้” เสียงที่คุ้นเคย น้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้ในคืนนี้เขาถูกห่อหุ้มด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง
เป่หมิงโม่รับบุหรี่ม้วนนั้นมา ไม่ได้เอาเข้าปากทันที แต่กลับเอามาเอาจ้องมองดูต่อหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองบุหรี่ม้วนหนึ่งที่ถูกจุดอย่างละเอียดขนาดนี้
สีแดงจางลงและกลายเป็นสีเทาอยู่ในเถ้า พร้อมทั้งปล่อยควันสีฟ้าอ่อนออกมา
ในห้องไม่มีลมแม้แต่น้อย แต่มันเปลี่ยนรูปร่างแต่ละแบบตามลมหายใจที่บางเบา
เขาหันกลับไปมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ไม่ใช่เมื่อกี้ผมเห็นคุณนอนไปแล้วเหรอ ?”
กู้ฮอนเดินมาข้างๆ เขา หันหัวมองไปยังภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตทั้งห้าภาพนั้นเช่นกัน “ไม่มีคุณอยู่ข้างๆ คุณคิดว่าฉันจะสนิทเหรอ ?” พูดจบก็หันหัวมองไปมองเขา
ดวงตาของคนสองคนจ้องมองกัน จากนั้นก็ยิ้มขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
“ไม่ใช่คุณอยากจะฆ่าผมเพื่อความสบายมาตลอดเหรอ ?”
กู้ฮอนเลียนแบบท่าทางที่เขาเคยทำ แล้วหรี่ตาขึ้น น้ำเสียงก็เย็นชาเหมือนเขา “ฉันเคยคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังทรมานคุณไม่พอ”
สิ่งนี้ทำให้เป่หมิงโม่ยิ้มขึ้น จากนั้นก็คว้าเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตัวเองด้วยมือข้างเดียว “อื้ม น้ำเสียงก็ถือว่าคล้ายนะ แต่ว่าท่าทางที่เลียนแบบต้องสังเกตให้มากกว่านี้นะ”
หลังจากกู้ฮอนฟังจบก็เบะปาก “คุณอวดไปเถอะ ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะไปเลียนแบบตามคุณหรอก อีกอย่างเลียนแบบคุณมันก็ไม่ได้มีผลดีอะไร”
เป่หมิงโม่ก้มหัวลงแล้วสูดหายใจเข้าลึก ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังดมกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์บนตัวของเธอ
กลิ่นแบบนี้สามารถทำให้เขาติดใจ