บทที่ 1154 กลับมาได้ทุกเมื่อ
สำหรับหยางหยางแล้ว เขากำลังจะได้รับชีวิตใหม่และอิสรเสรี จะไม่ต้องเจอใบหน้าอันดุร้ายของคุณพ่ออีกแล้ว
ส่วนคุณแม่……
ตั้งแต่ตกตกลงที่จะลองใช้ชิดกับคุณพ่อในปีนั้น เหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้ดีมากกว่าในอดีตซะอีก
ไม่มีช่องว่างเหลือสำหรับการอยู่รอดของตัวเองแล้ว
ส่วนเฉิงเฉิงไม่ต้องพูดถึง เขาคือกระจกที่หยางหยางพยายามกำจัดมากที่สุด นอกจากนี้แล้ว เขายังชอบใช้ความเป็นพี่มากำกับนู่นกำกับนี่
สิ่งนี้ทำให้ใจที่โหยหา “เสรีภาพ” ของหยางหยางทนต่อไปได้อย่างไร ?
และนั่นก็ยังเป็นเพราะบนหัวมีภูเขาสองลูกทับอยู่อย่างไรล่ะ
ตอนนี้ดีละ ยันต์กระดาษออกแล้ว ภูเขาทั้งสองลูกปล่อยให้เขามีโอกาสรอดชีวิตแล้วสินะ
พุ่งออกจากภูเขาเหมือนเห้งเจียสิครับ ยังจะรออะไรล่ะ
แน่นอนว่าการปล่อยให้ลูกชายคนเล็กออกไปสัมผัสชีวิต ไม่ได้หมายความว่าให้เขาอยู่คนเดียว
เขายังคงเป็นเด็ก อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย ทักษะในการใช้ชีวิตก็ยังมีความบกพร่องอยู่เลย
ยังต้องการใครสักคนมาดูแลเขาด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถ “สอดส่อง” การกระทำของหยางหยางแทนพวกเขา ส่วนคนที่ติดตามหยางหยาง……
ฉิงฮัวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เขาก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกเขากับภรรยาและลูกๆ เพราะเห็นแก่ลูกๆ ของตัวเอง
แล้วยังมีใครบ้างนะที่สามารถแบก “หน้าที่” นี้ไว้ได้ ?
เมื่อเป่หมิงโม่ตัดสินใจปล่อยให้ลูกชายคนเล็กออกจากบ้าน เขาก็ได้เลือกคนที่เหมาะสมคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นสัมภาระของหยางหยางแต่ละอย่างถูกเอาใส่ไปในรถ ในที่สุดกู้ฮอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่กำลังกลิ้งอยู่ที่เบ้าตาของเธอเอาไว้ได้
ว่ากันว่า ยามลูกห่างไกลแม่จะต้องเป็นห่วง ทว่าตอนนี้ยังไม่ทันออกไปเลย กลับเริ่มเศร้าใจขึ้นมาก่อนแล้ว
“ที่รัก ยามอยู่ข้างนอก คุณอย่าเอาแต่ใจเหมือนอยู่ที่บ้านนะ อยู่ข้างนอกจะไม่มีใครที่สามารถช่วยคุณได้อีกแล้วนะ ถ้าพบเจอกับเรื่องอะไรที่มันยากที่จะตัดสินใจก็ต้องบอกแม่นะ รู้ไหม ?”
เธอลูบหัวเล็กๆ ของหยางหยาง แล้วบอกข้อควรระวังเมื่ออยู่ข้างนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งนี้ทำให้เฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วที่ยืนส่งอยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าต่างก็รู้สึกว่าสมองโตขึ้น
นึกไม่ถึงเลยว่าคุณแม่จะมีมุมที่ขี้บ่นขนาดนี้
ตอนนี้หยางหยางจะไปฟังเรื่องพวกนี้ได้ยังไง เพราะหัวใจก็ได้บินออกไปแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทีของคุณแม่แล้ว ในใจก็ยังคงรู้ตื้นตันใจ
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ออกจากบ้านอย่างแท้จริง
ในใจรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังแสดงท่าทางที่เข้มแข็งออกมา แสร้งทำท่าทีที่ไม่แยแสออกมา “คุณแม่ครับ คุณสบายใจได้เลย ผมก็ไม่ได้ไปออกรบซะที่ไหน จะไปร้องไห้ทำไมครับเนี่ย ตอนไหนที่แม่คิดถึงผมก็มาเยี่ยมผมได้ไงครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
เมื่อเป่หมิงโม่ได้ยินลูกชายพูดคำนี้ออกมาก็รู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่เห็นว่าตอนที่จะต้องห่างกันแล้วลูกชายจะร้องไห้ฟูมฟายออกมา
ถ้าทำเช่นนั้นจะถือว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด และไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ชายของตระกูลเป่หมิง
สำหรับชีวิตที่ลูกต้องเผชิญ เขาก็เป็นห่วงอยู่บ้าง พ่อแม่ทุกคนต่างก็รู้สึกแบบนี้ต่อลูกกันทั้งนั้น
เขายืนอยู่ตรงหน้าหยางหยางแล้วตบไหล่เล็กๆ ของเขา “อืม เข้มแข็งขึ้นแล้วสินะ เหมือนผู้ใหญ่แล้วล่ะ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไรเมื่ออยู่ข้างนอกก็ต้องเผชิญกับมันอย่างกล้าหาญ รู้ไหม”
หยางหยางเงยหน้าขึ้นมองพ่อของตัวเองแล้วพยักหน้าอย่างแรง “คุณพ่อมั่นใจได้เลยครับ”
“หยางหยาง เวลานายอยู่ข้างนอกก็อย่าเลียนแบบตอนที่อยู่ที่บ้านนะ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตาม ควรจะระมัดระวัง ถ้าพบเจอปัญหาอะไรก็บอกพ่อหรือโทรหาฉันก็ได้”
ในฐานะที่เฉิงเฉิงเป็นพี่ชายก็ต้องไปเตือนสักสองสามคำ
การที่ได้เห็นน้องชายจะจากบ้านไป แม้ว่าจะยังมีคนดูแลในการใช้ชีวิตของเขา แม้ว่ามันเป็นเพียงการแยกกันสั้นๆ ครั้งหนึ่ง แต่ที่ทำแบบนี้มันก็เพื่อผลประโยชน์ของเขา
ในใจก็ยังรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็ตบไปที่ไหล่ของหยางหยาง
นี่เป็นการแยกกันครั้งแรกของฝาแฝดอย่างแท้จริง
มันเป็นความรู้สึกแบบหนึ่งที่ทำให้หยางหยางรู้สึกแปลกไปบ้าง
วันนี้ควรจะเป็นวันที่ตัวเองมีความสุขที่สุด
“พี่หยางหยาง ถ้าพี่คิดถึงหนูตอนอยู่ข้างนอกก็โทรเล่นกับหนูนะ” จิ่วจิ่วไม่รู้ว่าควรจะบอกลาอย่างไร
นี่มันเป็นครั้งแรกสำหรับเธอ
ในบ้านหลังนี้ คุณพ่อคุณแม่และพี่ชายทั้งสองก็เอ็นดูตัวเองมาก ตอนนี้มีคนหนึ่งต้องจากไป เธอก็รู้สึกเศร้าใจแล้ว
โดยเฉพาะหยางหยาง ผู้ที่พวกเขามีความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องที่ดีที่สุด
ปกตินอกจากเรียนและอ่านหนังสือแล้ว เฉิงเฉิงก็ไม่ค่อยได้เล่นกับน้องสาว ส่วนหยางหยางมีเวลาเหลือเฟือและวิธีการเล่นที่หลากหลาย
ถ้าตอนนี้ไม่มีเขาแล้ว จะมีชีวิตอยู่ในอนาคตได้อย่างไร ?
ในครอบครัวนี้ คนที่ทำให้หยางหยางอาลัยอาวรณ์ที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้นั่นเอง
เขาเดินไปตรงหน้าน้องสาว แล้วอ้าแขนกว้างกอดเขา “ ‘เชี่ย’ พี่เอามันไว้ให้เป็นเพื่อนเธอนะ อย่างน้อยๆ ตอนที่รู้สึกเบื่อก็ยังมีมันเป็นเพื่อนเธอแทนพี่ พี่ก็จะหาเวลากลับมาหาเธอด้วย”
พูดจบหยางหยางก็หันไปโบกมือให้กับเบลล่าที่กำลังกัดกระเป๋าใบเล็กของตนไว้ในปาก พร้อมที่จะกระโดดขึ้นบนรถ
“ ‘เชี่ย’ เจ้าไม่ต้องตามฉันแล้ว ตอนนี้มีภารกิจใหม่มอบให้เจ้า”
เมื่อเบลล่าได้ยินหยางหยางกำลังเรียกมัน จึงกระดิกหางแล้ววิ่งมา
ตอนแรกคิดว่าหยางหยางคงรู้สึกเหงาหากอยู่คนเดียว ถ้ามีสุนัขตัวเล็กๆ สักตัวอยู่กับเขามันอาจจะดีกว่า
แต่ก่อนที่จะจากไปหยางหยางก็ได้มอบมันให้กับน้องสาว
เบลล่าก็วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามา
หยางหยางจึงก้มหัวลงและพูดกับมันว่า “ไม่ต้องตามฉันไปแล้ว ภารกิจใหม่ของเจ้าคือเป็นเพื่อนน้องสาวฉัน แม้ว่าหล่อนจะทุบตีหรือดุด่า ก็ต้องให้เธอได้รับความสุข เข้าใจไหม”
“โฮ่งๆ……”
เบลล่าตอบมาสองครั้ง ราวกับเข้าใจว่าเจ้านายน้อยหมายถึงอะไร
จากนั้นมันก็กระดิกหางและถูไถกับกางเกงของหยางหยาง บ่งบอกว่ามันไม่เต็มใจที่จะห่างกับเขา
หยางหยางมองลงไปหามัน แม้ว่าจะอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างก็เถอะ
“ผมไปแล้วนะ”
หลังจากทิ้งคำพูดนี้ให้ทุกคนแล้ว ก็หันหลังวิ่งไปที่ยังรถที่จะไปส่งเขา
กู้ฮอนควงแขนเป่หมิงโม่ อีกมือหนึ่งก็โบกไปยังรถที่กำลังสตาร์ทไปอย่างช้าๆ
เฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วก็ยืนอยู่ข้างๆ คุณพ่อกับคุณแม่
ทั้งสี่คนเฝ้าดูรถที่บรรทุกหยางหยางๆ ที่ค่อยออกจากคฤหาสน์กลางภูเขา รถขับไปอย่างช้าๆ ตามถนนบนภูเขาอันคดเคี้ยว
หยางหยางนั่งอยู่บนรถ แม้ว่าเมื่อกี้จะทำท่าทางเฉยเมยกับจากไป แต่เมื่อประตูปิดลงและเห็นคุณแม่โบกมือลา และค่อยๆ ห่างออกไปจากบ้านหลังใหญ่นั้นไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
แต่ตอนนี้ยังมีคนอีกคนหนึ่งบนรถ เขาจึงได้ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างรุนแรง
“คุณชายน้อยหยางหยาง คุณไม่ต้องเสียใจขนาดนั้นหรอก ที่ที่พวกเราจะไปอยู่ไม่ห่างจากที่นี่หรอก ถ้าคุณรู้สึกคิดถึงบ้านก็กลับมาได้ทุกเมื่อ”
กลับมาได้ทุกเมื่อ……
สำหรับหยางหยางแล้ว นี่ไม่ใช่คำแนะนำที่ดีมาก ควรจะพวกว่าแย่มากซะอีก
“ผมจะไม่กลับไป เพิ่งจะเริ่มชีวิตไหมเอง” หยางหยางเอนร่างน้อยๆ พิงไปที่เบาะหนังสีบรอนซ์ สองมือกอดอก แล้วพูดด้วยใบหน้าที่มั่นใจ
ในที่สุดรถของหยางหยางก็หายไปจากสายตาของเป่หมิงโม่และกู้ฮอน
สิบนาทีผ่านไป พวกเขาก็ยังคงมองไปที่ประตูใหญ่แล้วทำท่าทางเดียวกับที่ทำในตอนแรก
“โม่ ฉันเริ่มคิดถึงเด็กคนนั้นแล้วสิ คุณแน่ใจเหรอว่าวิธีนี้จะดีกับเขาจริงๆ เหรอ” กู้ฮอนยังคงเกาะแขนของเป่หมิงโม่แน่นเหมือนเดิม เธอต้องการฟังคำตอบของเขาด้วยหูตัวเอง ถึงจะทำให้ตัวเองสบายใจได้
แม้เธอจะรู้ว่าคำตอบจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการ แต่ก็ยังอยากรับฟัง
“คุณเป็นห่วงเขา แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นแน่นอน อาจจะกำลังคิดว่าควรจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้”
เป่หมิงโม่ตอบไปอย่างมั่นใจ ทันใดนั้นใจที่ยังเป็นห่วงลูกฮอนก็กลับมายังที่ที่ควรจะอยู่
สิ่งนี้เรียกว่า : คำพูดปลุกคนขึ้นมาจากความฝัน
เขาพูดไม่ผิด นิสัยของลูกตนเองก็รู้ดี เด็กคนนี้คงกำลังคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนแน่ๆ เลย
ส่วนเรื่องที่จะต้องเผชิญกับชีวิตอย่างไรต่อจากนี้ คงจะลืมไปไว้ไหนก็ไม่รู้
หัวใจที่ร้อนในตอนแรกก็รู้สึกเย็นลง
“เอาล่ะ พวกเราอย่ามามัวยืนบื้ออยู่ข้างนอกเลย กลับไปกันเถอะ” เมื่อเป่หมิงโม่พูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้านช้าๆ พร้อมกับกู้ฮอน
หลังจากหยางหยางไม่อยู่แล้ว คฤหาสน์กลางภูเขานั้นก็เงียบไปไม่น้อย
ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีเวลาและพลังเป็นของตัวเองที่จะทำในสิ่งที่ยังไม่สำเร็จเหล่านั้นให้สำเร็จ
บางทีหยางหยางอาจจะไม่รู้สึกว่าการจากไปของตัวเองเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดของเป่หมิงโม่
แต่เหมือนว่าเฉิงเฉิงกับจิ่วจิ่วจะยังไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ได้เร็วนัก ตอนที่จะไปเรียน บางทีก็ยังไปเคาะห้องหยางหยางตามธรรมชาติ หรือแม้แต่ตอนเวลาทานข้าก็ตะโกนชื่อของเขาไปหนึ่งครั้ง
การตอบสนองต่อพวกเขา แน่นอนว่ามันไร้คำตอบ
ในหนึ่งสัปดาห์ที่หยางหยางจากไปนี้ ยังมีสิ่งที่ปรับตัวไม่ได้อยู่มาก แน่นอนว่าเป็นเพราะขาดไปคนหนึ่ง
และแน่นอนว่าผ่อนคลายมากขึ้น
“HELLO ฉันไม่อยู่บ้าน พวกคุณคิดถึงฉันมากเลยใช่ไหม ?”
ภาพที่มาจากโทรทัศน์คือใบหน้าใหญ่ของหยางหยาง
วีแชตที่ได้รับการติดตั้งบนโทรทัศน์โดยเฉิงเฉิง ทำให้สามารถดูโทรทัศน์และโทรวิดีโอในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์
แต่โดยปกติแล้วกู้ฮอนจะใช้แบบนี้มากกว่า
เพราะเป่หมิงโม่ก็เหมือนคนโบราณ จะใช้เฉพาะโทรศัพท์มือถือในการโทรและใช้ฟังก์ชันแบบที่ไม่ทันสมัย
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อหลายปีก่อนเฉิงเฉิงก็ได้พูดเรื่องนี้กับคุณพ่อมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเป่หมิงโม่จะรู้ดี แต่ก็ยังยืนกรานที่จะใช้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยพบปัญหาใด ๆ เช่น ภาพโป๊หรือข้อมูลรั่วไหลที่เกิดจากสมาร์ตโฟน
ตรรกะของเขาก็คือไม่อยากผูกติดกับโทรศัพท์ ราวกับลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตัวเองตลอดเวลา
แม้ว่าเขาต้องการลูกน้อง นั่นก็ต้องเป็นกู้ฮอน มันเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่จะผูกติดกับชีวิตด้วยโทรศัพท์มือถือ
สิ่งนี้ทำให้เขามีเวลามากขึ้นในการใช้มันในที่ที่เขาควรจะใช้ เช่น ตอนนี้เขามีเวลาว่างไปเดินห้างกับกู้ฮอนทุกวัน หรือจะไปเจอแอนนิกับลั่วเฉียวเป็นเพื่อนเธอ
มุมบนซ้ายโทรทัศน์แสดงใบหน้าของหยางหยาง
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่เขาย้ายออกจากบ้านจนถึงตอนนี้มันก็เป็นเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
“พวกเราสบายดี คุณเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่และโรงเรียนใหม่ ปรับตัวได้หรือยังเนี่ย”
ช่วงที่หยางหยางไม่อยู่เขาก็รู้สึกไม่ค่อยชินอยู่บ้าง
มนุษย์เป็นสัตว์ที่แปลกประหลาด ตอนที่ต้องพบเจอทุกวันก็จะมีความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้น ทะเลาะกันจบแทบไม่อยากเจอกันอีก