บทที่ 1157 ยืนรับบทลงโทษ
หยางหยางมองเขา แล้วมองเด็กจ้ำม่ำคนนั้นที่ยืนอยู่ทางเข้าประตู จากนั้นหยางหยางก็ยืนขึ้นด้วยท่าทางขี้เกียจ ค่อยๆ เดินไปที่ประตูทางเข้า
“เฮอะ เดี๋ยวแกต้องทนทุกข์แน่! ” หมารับใช้ตัวน้อยมองแผ่นหลังหยางหยาง เผยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้า
ตั้งแต่หยางหยางมาถึงชั้นเรียนนี้ บางคนก็ไม่ชินกับท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเขา
แน่นอนว่า ยังมีบางเหตุผลสำหรับเด็กผู้หญิงในชั้นเรียน แม้แต่สาวน้อยในห้องอื่นก็รวมตัวกันแอบคุยเกี่ยวกับเขาอย่างเงียบๆ
เขาถึงขั้นได้รับโน้ตเล็กๆ ด้วย
อาจกล่าวได้ว่าเป็นที่นิยมมากกว่าคนทั่วไปจริงๆ บางคนวางแผนที่จะสั่งสอนหยางหยางมาตั้งนานแล้ว
แค่ไม่มีโอกาสมาโดยตลอด
หมารับใช้ตัวน้อยเป็นหนึ่งในคนที่เคลื่อนไหวมากที่สุด
ตอนนี้โอกาสมาถึงพอดี ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้ลงมือ แต่สามารถทำให้ไอ้เด็กใหม่ทนทุกข์ทรมานได้เช่นกัน
เด็กผู้หญิงตัวเล็กหลายคนในชั้นเรียนมองหยางหยางเดินไปที่เด็กจ้ำม่ำ ค่อนข้างเป็นห่วงเขา บางคนพูดขึ้นเสียงเบา “เป้หมิงหยาง นายไม่ต้องเดินไปหรอก เดี๋ยวครูก็มาแล้ว”
หยางหยางตอบกลับพวกเธอด้วยการหันไปยิ้มแล้วส่งจูบ
การกระทำแบบนี้ทำให้เด็กผู้หญิงตัวน้อยหลายคนละลายได้เลย
แน่นอนว่า การแสดงออกแบบนี้ของเขาทำให้เด็กจ้ำม่ำยิ่งโกรธขึ้นโดยธรรมชาติ
นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่เจอสถานการณ์แบบนี้
“มาหาฉันมีอะไร?” หยางหยางพูด แล้วมองสำรวจขึ้นลง พูดขึ้นด้วยใบหน้ารังเกียจ “ดูคนอ้วนแบบแกสิ ขวางประตูจนทำให้คนในชั้นเรียนเราจะออกไปยังไง”
คำพูดนี้ทำให้นักเรียนในชั้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เด็กจ้ำม่ำหน้าแดงก่ำ ไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูแบบนี้มาก่อนจริงๆ
เขาหรี่ตา ทำหน้าตาดุร้าย “แกมีปัญญาออกไปกับฉันหน่อยไหม? ”
“ก็ได้ ฉันก็อยากไปห้องน้ำพอดี มีอะไรเราคุยกันระหว่างทางแล้วกัน” พูดพลางมองหุ่นของผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง “แกควรลดน้ำหนักหน่อยนะ”
หยางหยางพูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งไปดึงเด็กจ้ำม่ำเบาๆ
พฤติกรรมที่ดูเหมือนปกติมาก แต่ทำให้ก้อนเนื้อที่ขวางประตูอยู่เกือบโซเซ
หยางหยางก็ออกมาจากช่องนี้ที่มัน ‘ให้ทาง’ ออกมา
*
เฉิงเฉิงไปโรงเรียนตามปกติ
นอกจากเรียนแล้ว ยังเพิ่มงานเพื่อรับผิดชอบในระยะยาวอีก
ก็คือการรับ-ส่ง เขาแค่ส่งจิ่วจิ่วที่ประตูทางเข้า และตอนกลับบ้านก็มารอที่หน้าประตูโรงเรียนก็เท่านั้นเอง
มีรถยนต์ขับตามพวกเขาตลอดทาง
นี่เป็นชีวิตที่ดีกว่าหยางหยางมาก ตอนนี้หยางหยางไม่มีรถคอยรับส่งแล้ว ทุกอย่างขึ้นกับรถเมล์ ‘สาย 11’
ช่วงนี้พวกเขารู้สึกขาดบางสิ่งบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้
หลักๆ คือความเงียบสงบระหว่างบ้านและโรงเรียนขาดการปั่นป่วนนิดหน่อย
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ตอนที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ก็อยากหาความสงบ แต่ตอนที่สงบนานเกินไป ก็รู้สึกน่าเบื่ออีกครั้ง
ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจหาโอกาสไปหาหยางหยาง
ปกติ ตอนที่คุยกับหยางหยาง จะรู้สึกได้ว่าเขาดูเหมือนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก เลยไม่ได้รู้สึกเบื่ออะไร
ชีวิตธรรมดาแบบนั้นมันน่าสนใจจริงๆ เหรอ?
ในหัวสมองเฉิงเฉิงเต็มไปด้วยความสงสัยต่างๆ
เพราะสิ่งที่เขาเห็นในโทรทัศน์หรืออินเทอร์เน็ต ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีความสุขต่างๆ ไม่ได้น่าสนใจเหมือนที่หยางหยางพูด อาจกล่าวได้ว่าน่าสงสารนิดหน่อย
อยากไปหาหยางหยาง ก็เป็นหนึ่งปัญหาเช่นกัน นั่นคือจะไปอย่างไร
หยางหยางเหมือนได้เซ็นสัญญาหนึ่งกับพ่อ ไม่เปิดเผยกับใครว่าตนอาศัยอยู่ที่ไหน เรียนที่ไหน
ถ้าถามแม่ แม่ก็ไม่รู้โดยธรรมชาติ
เฉิงเฉิงในวันนี้ รู้สึกสติตกอยู่ในภวังค์นิดหน่อย เดิมทีเขาที่ตั้งใจฟัง ก็ฟุ้งซ่านไปหน่อย หันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง ในเวลานี้ก็มีนกกระจอกสองตัวที่ส่งเสียงร้องบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
*
“เป้หมิงหยาง เมื่อกี้ฉันแค่ยังไม่ได้เตรียมตัว แกซุ่มโจมตีฉัน ตอนนี้เรามาตั้งใจสู้กันสักตั้ง”
ถึงแม้ว่าเด็กจ้ำม่ำจะมีเนื้อทั้งร่าง วิ่งขึ้นมาก็ไม่ได้ช้า ใช้เวลาไม่นานในการไล่ตามหยางหยางที่ค่อยๆ เดินไปที่ห้องน้ำอย่างเชื่องช้า
มือแผ่กระจายขวางทางเขา
เจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ น่ารำคาญกว่าพวกน่ารำคาญที่โรงเรียนเดิมอีก
ไม่คิดเลยจริงๆ โรงเรียนแบบนี้มีพวกอันธพาลตัวน้อยของโรงเรียนจริงๆ เหรอ?
ตามหลักการแล้วเรื่องน่าเบื่อเช่นการกินอิ่มแล้วต่อสู้พวกนี้ พวกลูกคนรวยเท่านั้นที่จะทำมัน
หยางหยางสอดมือเล็กๆ เข้าไปในกระเป๋ากางเกง มองสำรวจเขาขึ้นลงอีกครั้งอยู่สองสามที “ทำไมแกไม่ตั้งใจเรียน ตัวมีแต่เนื้อ รู้จักทำตัวอันตราย ไม่สนใจเล่าเรียน ถึงตอนนั้นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลยังไง? ”
……
คำพูดนี้ทำให้เด็กจ้ำม่ำตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าหยางหยางจะพูดแบบนี้
ฟังแล้วเหมือนคำสอนที่จริงจังของครูประจำชั้นที่ทำให้ฟังแล้วหูด้าน
ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร
“แกคิดว่าแกเป็นครูประจำชั้นของเราเหรอ? แต่จะบอกแกให้นะ ถึงจะเป็นครูประจำชั้นของเราพอเห็นฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรหรอก อีกอย่าง หลักการของแกเอาไปพูดกับครูและผู้ปกครองเถอะ บางทีแกอาจจะได้รับคำชม ฉันเกลียดการได้ยินคำพูดพวกนี้มากที่สุด แกทำได้แค่รนหาการต่อสู้เท่านั้นแหละ”
เด็กจ้ำม่ำพูดจบ ก็เหวี่ยงหมัดอวบไปทางหยางหยาง
“ว้าว! กำปั้นเหมือนซาลาเปาไส้ถั่วแดงเลยอ่ะ……” หยางหยางแสดงท่าทางประหลาดใจ เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
พอเด็กจ้ำม่ำได้ยิน ก็แอบดีใจเงียบๆ “แกรู้สายไปแล้ว เดี๋ยวแกจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนฉัน!”
เขาพูดพลางเพิ่มแรงอีก
หมัดอวบเล็กเหวี่ยงไปที่ใบหน้าหยางหยาง
“ต่อยคนเขาไม่ต่อยที่หน้ากันหรอก!”
ตามด้วยเสียงของหยางหยาง แค่เห็นว่าหมัดนั้นถูกฝ่ามือเขาอ้าออกจับมันอย่างกะทันหัน
ความรู้สึกนั้นเหมือนถูกหนีบด้วยกรงเล็บเหล็กขนาดเล็ก เข้าไปก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้
“เฮ้ย กฎการต่อสู้ง่ายๆ ของแก ถ้าทำให้หน้าเกิดรอย ต่อไปจะไปเจอคนยังไงล่ะ” หยางหยางไม่ได้โกรธ แต่เหมือนเด็กสองคนกำลังสร้างกฎกติกาก่อนต่อยกัน
สิ่งนี้ทำให้เด็กจ้ำม่ำไม่ค่อยเข้าใจ แต่เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเป้หมิงหยางไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยง่ายๆ
ถ้าต่อยกับมันจริงๆ เกรงว่าตัวเองจะเสียเปรียบ
แต่ตัวเองชักหมัดกลับมาไม่ได้แล้ว……
หยางหยางเห็นใบหน้าเล็กของเด็กจ้ำม่ำเริ่มแดงก่ำ รู้สึกน่าสนใจมาก
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ แกต้องตั้งใจเรียน อย่าไปทำตัวเป็นอันธพาลเหมือนในละครทีวี พวกมันมีพวกพ้องกี่คน ดูสิแกตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ถึงแกจะถูกรังแก ก็ไม่มีใครสามารถล้างแค้นให้แกได้หรอก ถึงตอนนั้นกลืนน้ำตาลงท้อง ช่างเป็นภาพที่น่าสงสาร จึ๊ๆ ……”
ราวกับว่ารู้สึกสงสารเด็กจ้ำม่ำคนนี้จริงๆ พูดจบก็ส่ายศีรษะเบาๆ
“เป้หมิงหยาง ฉันเห็นว่าแกมาใหม่หรอกนะ ต่อยแกไม่ลง แค่อยากให้เกียรติแกหน่อย แกกล้าปล่อยฉันไปไหม”
เด็กจ้ำม่ำจริงๆ แล้วไม่มีอะไรในก้นบึ้งจิตใจ แต่ยังต้องพูดหยาบคายเพื่อรักษาใบหน้าตัวเอง
“ก็ได้ ฉันก็เห็นว่าตัวเองเพิ่งมาใหม่เหมือนกัน ไม่อยากเด่นเกินไป” หยางหยางพูด และคลายนิ้วออก
เด็กจ้ำม่ำชักหมัดกลับมา จ้องเขม็งหยางหยาง “แกคอยดูแล้วกัน!” พูดพลางหันศีรษะแล้ววิ่งไป
“เฮ้ย แกวิ่งไปเลยไม่พูดขอบคุณสักคำได้ไง ที่บ้านไม่สั่งสอนจริงๆ สินะ คราวหน้าเจอฉันจะไม่ปล่อยแกหนีไปง่ายๆ แบบนี้แล้ว”
หยางหยางตะโกนเสียงดังไปยังทิศทางที่เด็กจ้ำม่ำวิ่งหนีไป
จากนั้นก็ลูบมือหันตัวเดินเข้าไปในห้องเรียน
เมื่อเขายืนอยู่หน้าประตูห้องเรียน ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าที่นี่ทำไมกลายเป็นเงียบมาก
เมื่อมองเข้าไปด้านใน แค่เห็นดวงตาหลายคู่จ้องมองมาที่ตน
จากนั้นก็มีเสียงดุหนึ่งดังขึ้น “เป้หมิงหยาง! ระฆังเข้าเรียนดังตั้งนานแล้ว ทำไมเธอเพิ่งมา?”
“ผม……”
ขณะที่หยางหยางกำลัง ‘ต่อสู้’ กับเด็กจ้ำม่ำ ระฆังเข้าเรียนก็ดังขึ้นแล้ว แต่ทั้งคู่ไม่ได้ยิน
หยางหยางพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง แค่ก้มศีรษะลง มองเท้าที่วาดวงกลมบนพื้น
นี่คือคาบของครูประจำชั้น ถ้าเป็นครูคนอื่นอาจจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่เผชิญหน้ากับหญิงวัยห้าสิบกว่าคนนี้ รับมือไม่ได้จริงๆ
“ผม ‘อะไร’ ถ้าเธอชอบวาดวงกลมขนาดนั้นก็ไปยืนวาดช้าๆ ที่หลังห้องไป อย่าทำให้คนอื่นเสียเวลาเรียน”
“รู้แล้วครับ……” หยางหยางก้มศีรษะ เดินคอตกไปที่หลังห้อง หลังมือเล็กอยู่ด้านหลังเขา
รู้สึกต่ำต้อยจริงๆ แน่นอนว่าต้องโทษไอเด็กจ้ำม่ำคนนั้น
ถ้าเขาไม่ได้มายุ่งกับตน ก็คงไม่เป็นแบบนี้
“ไม่อนุญาตให้พิงกำแพง! ยืนตรงๆ ” เสียงตำหนิของครูประจำชั้นดังขึ้นอีกครั้ง
เธอเป็นหญิงอาวุโสมากประสบการณ์คนหนึ่งจริงๆ ใส่เลนส์แว่นที่หนาขนาดนี้ ยังเห็นการเคลื่อนไหวเขาได้อย่างชัดเจนอีก และตำหนิตัวเองได้อย่างมั่นใจมาก
ความรู้สึกแบบนี้ จะพบเจอในโรงเรียนชั้นสูงได้อย่างไร
***
เป็นครั้งแรกของหยางหยางที่ได้ต้องยืนรับบทลงโทษ
ในใจเขายังไม่ค่อยเต็มใจนัก เดิมทีตัวเองไม่ได้เป็นแบบนี้ คิดวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายแล้วต้องลงโทษเจ้าเด็กจ้ำม่ำคนนั้น ถ้าคราวหน้าเจอมัน จะต้องให้มันลิ้มรสบทลงโทษนี้
เวลาสี่สิบห้านาที เมื่อก่อนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ ทุกนาทีทุกวินาทีมันรู้สึกแย่
หรือว่าตัวเองต้องอยู่โรงเรียนแบบนี้ เวลาผ่านไปนานสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งพ่อส่งคนมารับตนกลับบ้าน?
*
“ตอนนี้ฉันกำลังเรียนอยู่ มาหาฉันทำไม? ”
เฉิงเฉิงก้มศีรษะลงใต้โต๊ะ พูดเสียงเบากับโทรศัพท์
แค่ได้ยินเสียงตอบกลับไร้กำลังของหยางหยางจากปลายสาย “ฉันเพิ่งถูกลงโทษให้ยืนหนึ่งคาบ ตอนนี้ฉันแค่อยากบ่นให้นายฟัง”
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วจริงๆ แหละ ปกติตอนที่โทรมา นอกจากอวดเก่งแล้ว ก็เหมือนไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะมีการหมุนร้อยแปดสิบองศาจริงๆ
“นายนอนในชั้นเรียนเหรอ? ”
“เปล่า”
“การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ล่ะ หรือคุยกับครูแบบไม่มีเหตุผล? ”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น ฉันแค่เข้าสายแป๊บเดียว ตอนฉันไปถึงห้องเรียนครูยังไม่เริ่มสอนเลย”
“สมควรแล้ว ใครให้นายเข้าสายล่ะ”
“จริงๆ ฉันโดนกลั่นแกล้ง……” หยางหยางนอนอยู่บนโต๊ะเรียนอย่างอ่อนแรง เขายืนมาคาบหนึ่งเต็มๆ แล้ว สองขาเขายืนไม่ขึ้นอีกต่อไป
ขณะที่เขากำลังเตรียมเล่าความคับแค้นใจของตัวเองให้เฉิงเฉิงฟัง ก็ได้ยินเสียงวางสายของปลายสาย
เฉิงเฉิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังคำพูดต่อยหอยของเขา
หยางหยางมองโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้วก็รู้สึกหมดหนทาง “เย็นชาจริงๆ ” พูดจบก็เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเรียนอีกครั้ง ก็เห็นสายตาสองสามคู่รอบๆ โต๊ะเรียนมองมาที่ตน เหมือนกำลังมองเอเลี่ยน
“พวกเธอเป็นอะไรกัน? ” หยางหยางรู้สึกงุนงงนิดหน่อย