บทที่ 1162 แค่อยากได้โทรศัพท์
การทำให้เด็กๆ ขยันทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุด นี้คือการบีบบังคับให้เขาเดินไปหาความตายเร็วขึ้น
แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเหตุผลนี้ บางครั้งเอาอนาคตของลูกมาทดแทนสิ่งที่ตัวเองขาด
อย่าบอกว่าทั้งหมดนั้นทำเพื่อพวกเขา นั้นช่างเป็นวาทศิลป์ที่น่าฟัง
แต่สังคมที่แท้จริงเป็นอย่างไร?
สังคมที่วิ่งไล่ตามความสำเร็จ
แน่นอนสิ่งที่พูดข้างต้นทั้งหมดไม่ใช่ปัญหาสำหรับหยางหยาง
โดยรวมแล้วเขาเกิดมามีชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเจออะไร ก็ยังคงเรียกได้ว่าเป็นเด็กที่มีชัยชนะรออยู่ที่จุดเริ่มต้นอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับเขาก็คือ ความร่วมมือของอาจารย์กับผู้ปกครอง
ตอนนี้ อาจารย์กับเหล่าโล๋รู้จักกันในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ ทำให้หยางหยางรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
“เหล่าโล๋ ในเมื่อเป้หมิงหยางเป็นลูกคุณ แสดงว่าพวกเรายังมีพรหมลิขิตต่อกัน ถึงแม้ตอนนี้อายุฉันจะมากขึ้นมาอีกหน่อย แต่คุณวางใจได้ แค่เด็กคนนี้อยู่ในห้องเรียนของฉันคะแนนต้องไม่เลว”
ในเมื่ออาจารย์ประจำชั้นให้ความสำคัญกับนักเรียนของเธอ
นั้นหมายความว่าในคาบเรียนของเธอหลังจากนี้ เขาจะถูกจ้องมองเป็นพิเศษใช่ไหม?
จะแอบงีบในชั้นเรียน หรือเหม่อมองไปด้านนอกไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม?
แบบนี้ต่างอะไรกับการถูกขัง?
หยางหยางแอบร้องไห้ในใจ
ในเมืองนี้ประชากรกว่า 20 ล้านคน ทำไมถึงยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างง่ายดาย
*
“โอ้ว? ในเมื่อมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ งั้นไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว งั้นผมก็วางใจเวลาที่เขาอยู่ด้านนอกได้แล้ว เดิมทีคิดไว้ว่าผ่านเทอมนี้ไปจะปล่อยให้เขาลำบากอีกสักหน่อย กลับมาจะได้ว่านอนสอนง่าย ดูจากตอนนี้แล้วคงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว ได้ยินคุณพูดแบบนี้ อาจารย์คนนั้นก็มีความสามารถเหมือนกันน่ะ งั้นก็ปล่อยให้เขาอยู่ด้านนอกอีกหน่อย”
เป่หมิงโม่แอบดีใจอยู่ในใจที่มีเรื่องบังเอิญแบบนี้
เขาวางโทรศัพท์และฮัมเพลงออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ยังไง ปล่อยให้หยางหยางอยู่ด้านนอกคุณดีใจรึไง ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราแม่ลูกก็ไม่ควรมาที่นี่”
กู้ฮอนทำสีหน้าเคร่งเครียด และโยนชุดนอนที่เพิ่งจะเก็บเสร็จไปตรงหน้าเป่หมิงโม่
เธอไม่ได้ฟังทั้งหมด แต่มั่นใจได้ว่าลูกคงไม่ได้กลับมาในเร็วๆ นี้
อีกอย่าง วันนี้เฉิงเฉิงยังแอบบอกเธอด้วยว่าติดต่อหยางหยางไม่ได้แล้ว โทรศัพท์ก็ปิดเครื่องไปแล้ว
นี่ไม่ใช่การกักบริเวณลูกหรือไง?
เป่หมิงโม่ดูท่าทีของเธอ รู้ว่าเธอยังคงคิดถึงลูก
ตั้งแต่โกรธกันบนโต๊ะอาหารครั้งก่อน เธอก็ไม่เคยมองเขาดีๆ สักครั้ง
สุภาษิตว่าไว้ ผัวเมียทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกันข้ามคืนให้รีบคืนดี
แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้น แค่เตอนนี้ที่เขาจะยื่นมือไปจับยังถูกเธอถีบออกมาเลย ดีที่เธอยังยั้งเท้าไว้บ้าง ไม่งั้นคงนอนตัวคุดคู้ไปแล้ว
เป็นประสบการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ต้องยอมรับว่าวันนี้เป่หมิงโม่ยอมแพ้ ยอมสยบแทบเท้าของผู้หญิงตรงหน้า
ก่อนหน้านี้เขาเป็นเหมือนหมาป่าที่ไม่เคยพ่ายแพ้ แต่ตอนนี้ความคิดนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป
แค่เห็นกู้ฮอนทำสีหน้าเย็นชาใส่เขา : “คุณเป่หมิงค่ะ ฉันจะให้เวลาคุณคิดอีกสักหน่อย จะให้หยางหยางกลับมา หรือจะให้ฉันย้ายออกไป”
ดูแล้วกู้ฮอนน่าจะร้อนใจริงๆ เธอไม่สามารถอดทนกับครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ได้
เธอเคยอยู่ในครอบครัวที่เป็นแบบนี้มานาน เธอต้องการให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“กู้ฮอน ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจความตั้งใจของผมล่ะ? คุณคิดว่าผมอยากจะส่งลูกออกไปหรือไงกัน คิดว่าผมสบายใจรึไง?”
เป่หมิงโม่พูดพลางเดินเข้าไปกอดเธอจากด้านหลังอย่างอบอุ่น
กู้ฮอนขมวดคิ้ว พยายามใช้แรงจากแขนและไหล่ทั้งสองข้างสะบัดออก แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
“อยากให้ฉันฆ่าคุณรึไง!” เธอประกาศครั้งสุดท้าย นี่ไม่ใช่การพูดเล่น
แต่เป่หมิงโม่กลับไม่กลัว ยังยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้หูของเธออีก
ลมหายใจร้อนถูกพ่นออกมาจากจมูกโด่งนั้น ทำให้เธอรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“คืนนี้ฉันก็อยากจะทะเลาะด้วยน่ะ แต่ไม่ได้ไง งั้นวันนี้พวกเราถอยกันคนล่ะก้าวเพื่อก้าวที่ดีกว่าของพรุ่งนี้”
ประโยคนี้ฟังดูล้าสมัย แต่ระดับน้ำเสียงที่พูดออกมาเหมือนเคยได้ยินจากหนังสักเรื่องหนึ่ง
เป่หมิงโม่เห็นเธอสงบลงไม่น้อย จึงเกรงใจขึ้นมานิดหน่อย สองมือเริ่มรู้สึกไม่สงบ
แต่ยังคงพูดไร้สาระไปเรื่อย : “กู้ฮอน ผมยังยืนยันคำเดิม คุณเชื่อผมเถอะ ทำแบบนี้ดีต่อลูก ลูกของเราเป็นฝาแฝด แต่นิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นี้เป็นวิธีที่เหมาะสมกับพวกเขา ถ้าคุณอยากเจอลูกผมจะหาโอกาสที่เหมาะสมให้”
จะเชื่อเขาดีไหม? ในใจของกู้ฮอนเริ่มลังเล
ความจริงแล้วเป่หมิงโม่ใส่ใจกับเรื่องของลูกๆ มาก
แต่เหตุผลและวิธีการของเขาไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองได้ในทันที
หรือว่านี้คือข้อแตกต่างระหว่างพวกเขา?
*
หยางหยางนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือของตัวเอง รอบๆ มืดไปหมดมีเพียงแสงที่สิ่งมาจากมุมหนึ่ง ส่องแสงสว่างมายังส่วนหนึ่งของตัวเอง
ประตูห้องของเขาปิดอยู่ แต่แสงที่ส่องเข้ามายังคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
วันนี้เขารู้สึกพ่ายแพ้ที่สุด เดิมทีวางแผนอยากจะหาคนที่จะรับมือได้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่เลือกมาจะเป็นพันธมิตรกับอาจารย์ประจำชั้น
เหล่าโล๋ทรยศง่ายมาก หรือจริงแล้วเขาไม่ได้ทรยศ แต่กำลังต่อสู้อย่างหนัก
คิดว่าถ้าพ่อรู้เรื่องนี้ต้องดีใจมากแน่ๆ
แน่นอนว่าเป่หมิงโม่ต้องมีท่าทีแบบนั้น
การบ้านของวันนี้ทำเสร็จแล้ว
ก่อนจะถึงเวลานอนยังมีเวลาอีกประมาณ2ชั่วโมง เดิมทีอยากจะโทรไปคุยกับเฉิงเฉิงหรือคุยกับแม่ โม้กับพวกเขาสักหน่อยว่าตัวเองอิสระแค่ไหน
แต่ตอนนี้โดนยึดโทรศัพท์ไปแล้ว
จริงแล้วเหล่าโล๋ก็ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนดูโทรทัศน์บ้างนิดหน่อย
แต่เขาไม่มีอารมณ์
เขาแค่อยากได้โทรศัพท์
มีมันอยู่ในมือ เหมือนมีโลกทั้งใบอยู่ในมือ
“เป้หมิงหยาง คุณกำลังทำอะไรอยู่? คุณที่ฉันรู้จักไม่ใช่แบบนี้น่ะ”
ในมุมที่เงียบสงบของสนามเด็กเล่นในโรงเรียน
เห็นหยางหยางพยายามใช้สองมือดึงอะไรบางอย่างของเด็กแว่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง
ตอนนั้นเอง กางเกงของเด็กแว่นถูกเขาดึงลงมาเล็กน้อย
ก้นขาวๆ โผล่ออกมาข้างนอกเล็กน้อย เมื่อลมพัดผ่านรู้สึกเย็นนิดๆ
เด็กแว่นดูผอมอ่อนแอ แต่เมื่อต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ กลับพยายามต่อปฏิเสธอย่างหนัก
มือทั้งสองยกขึ้น ตัวงอหลบไปด้านหลัง พยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุด
“เอาของมาให้ฉัน ฉันจะปล่อยมือ” หยางหยางยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน
“โทรศัพท์ฉัน ให้นายใช้ไม่ได้ ในนั้นมีอะไรเยอะแยะ” เด็กแว่นปฏิเสธเคร่งขรึม
หยางหยางเถียงพลางสงสัย ในโทรศัพท์มีอะไรที่กลัวฉันจะทำพัง
เพียงชั่วพริบตาเขาจึงยิ้มร้ายๆ ออกมา : “ได้ เด็กน้อยในโทรศัพท์นายต้องแอบซ่อนอะไรไม่ดีไว้แน่ๆ รีบเอาโทรศัพท์ออกมา ถ้าฉันแย่งมาได้ นายไม่รอดแน่”
เด็กแว่นเงียบ เด็กคนนี้ไม่เลวยังพอฟังอะไรเข้าใจอยู่ สีหน้าเริ่มแดงระเรื่อ เริ่มพูดตะกุกตะกัก : “เป้หมิงหยาง พูดมั่วอะไร! ฉันจะมีอะไรแบบนั้นได้ยังไง”
“ถ้าไม่มีจริงก็ควรให้ฉัน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์” หยางหยางไม่ยอมวางมือ
ในตอนนั้นเองมีคนอีกกลุ่มหนึ่งประมาณ5-6คนเดินมาไม่ไกล
ไม่นานพวกเขาเดินมาหยุดตรงหน้าหยางหยางและเด็กแว่น
“เห็นไหม ไอเด็กคนนั้นไง!”
หยางหยางชำเลืองมองและรีบปล่อยมืออย่างเร็ว
ครั้งนี้ดีหน่อย เดิมทีเด็กแว่นศูนย์ถ่วงไม่ค่อยดีเท่าไหร่รีบนั่งลงอย่างทันที ต่อจากนั้นรีบหนีไป
“อ่อ ที่แท้นายนี้เอง นายมีโทรศัพท์ไหม?” หยางหยางเห็นเด็กอ้วนที่ติดตรงประตูเมื่อวันก่อนก็ดีใจขึ้นมาทันที
เด็กแว่นนี้ไม่ได้เรื่องเลย เป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกันแท้ๆ ยังไม่ยอมให้ยืมโทรศัพท์ใช้เลย
ถามกันตรงๆ ทันทีทันใดแบบนี้ทำเอาเด็กอ้วนมึนไปเหมือนกัน และรีบตอบกลับทันที : “มีสิ”
“เอามายืมใช้หน่อยสิ”
หยางหยางรู้สึกไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
“ทำไมต้องให้นาย วันนี้ฉันไม่ได้มาช่วยนายหาโทรศัพท์เว้ย!” เด็กอ้วนทำให้เขาโกรธ ไม่เคยเจอใครที่ใจเย็นได้ขนาดนี้
หยางหยางมองเขาด้วยท่าทางรังเกียจ : “บ้าเอ๊ย นี้ก็ขี้เหนียวอีกคน ในโทรศัพท์นายต้องมีอะไรที่ไม่เหมาะสมแน่เลย ฉันไม่สนใจหรอก นี่ พวกที่มากับนายน่ะมีไหม เอามาใช้หน่อย ถึงเวลาเดียวคืนให้”
เด็กคนนี้กำลังเล่นอะไรอยู่?
เด็กอ้วนกำลังพ่ายแพ้ต่อความสงบของเขา มองกลุ่มคนที่พามาเพื่อต่อสู้ กลับยังคิดแต่จะยืมโทรศัพท์
เด็กแว่นเข้าใจสถานการณ์นี้ดี เขาก็ไม่อยากอยู่ในความวุ่นวายนี้
แต่เขาเป็นนักเรียนที่ดี ถึงแม้ก่อนหน้าหนี้หยางหยางยังพยายามแย่งโทรศัพท์จากเขาอยู่ แต่เมื่อเผชิญกับศัตรู เขาก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างหยางหยาง
เขาดึงกางเกงขึ้นให้ดี และเดินอย่างระมัดระวังไปข้างๆ หยางหยาง : “นายติดโทรศัพท์รึไง ดูไม่ออกว่าพวกนั้นมาชวนทะเลาะรึไง ยังไม่รีบหนีอีก”
หยางหยางหันมองเขาด้วยความสงสัย : “หนีทำไม ฉันยังไม่ได้จัดการธุระเลย นายไม่ต้องมาแกล้งทำดีกับฉัน แม้แต่โทรศัพท์ยังไม่ยอมให้ฉันยืมเลย”
เด็กแว่นคิดไม่ถึง วันนี้หยางหยางเป็นอะไร ติดโทรศัพท์จนเป็นบ้าไปแล้ว
ในที่สุดเขาดึงโทรศัพท์ออกมาและเขย่าให้หยางหยางดู : “ไม่ใช่ไม่อยากให้ยืม แต่เพราะมันถูกระงับการโทรต่างหาก”
เขาพูดพลางก้มหน้าแดงๆ ลง
“ฮ่าฮ่า โดนระงับการโทรแล้วยังถืออยู่อีก คนอื่นจะมองนายดีสักกี่คน” เด็กอ้วนโอ้อวดและมองอย่างดูถูก : “โธ่ โทรศัพท์โนเกียรุ่นเก่าๆ ส่งต่อกันมาจากครอบครัวสิน่ะ”
“ฮ่าฮ่า…”
คนอื่นๆ ที่เด็กอ้วนพามาพากันหัวเราะตาม
เด็กแว่นโดนพวกเขาหัวเราะเยาะจนไม่กล้าสู้หน้า ถึงขนาดอยากจะมุดหน้าหนี
“จะไปไหน?” หยางหยางดึงเด็กแว่นที่ก้มหน้าเดินหนีไปได้ทัน
เขาไม่ต้องการให้เด็กอ้วนเยาะเย้ยเขา กลับคิดว่าเขาต้องมีอะไรเก็บไว้ในใจอย่างแน่นอนและอดเห็นใจเขาไม่ได้
แน่นอน เขาไม่เห็นด้วยที่เจ้าอ้วนชอบเยาะเย้ย ซ้ำเติมดูถูกคนอื่น