บทที่ 1166 ละครที่เลวร้าย
ครั้งนี้หยางหยางเป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป ออดอ้อนแม่ ให้เห็นอกเห็นใจ
ไม่ต้องพูดถึง วิธีนี้ได้ผล กู้ฮอนใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ เธอคิดแล้วคิดอีกและหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าหนึ่งใบ : “ลูกอยากกินอะไรก็ไปซื้อเลย”
เฉิงเฉิงที่ยืนดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่รู้สึกไม่สบายใจ ในเมื่อเขาเองก็ยังเป็นเด็ก และยังมีคนอื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเองอีก ยิ่งคนคนนั้นคือน้องชายฝาแฝดของเขาเอง
เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ทำให้หยางหยางรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
เดิมทีเขามีความกระตือรือร้นมาก คิดไว้ว่าหลังจากที่แม่และน้องสาวเจอเขาแล้วจะต้องดีใจมากๆ แม้กระทั่งเฉิงเฉิงเองก็ต้องแสดงออกต่อเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลกในเล็กน้อย
มีแค่การแสดงออกของแม่ไม่ไกลจากสิ่งที่เขาคิดไว้เท่าไหร่ รู้สึกว่าน้องสาวดูไม่ค่อยสนิท
ส่วนเฉิงเฉิง…
ท่าทีของคนคนนี้ที่มีต่อเขาแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
ขนาดหลังจากที่แม่ได้รับโทรศัพท์ เขายังอยากตัวเองรีบกลับไปอีกด้วย
นี้ยังเป็นพี่น้องแท้ๆ กันอยู่ไหม?
แม่เอาบัตรเครดิตของตัวเองให้กับเขา แบบนี้คงแตกย้ายกันแล้วสิน่ะ
*
ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงพริบตา หยางหยางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง
ท่าทีของญาติที่มีต่อเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน
เบ้ปาก เดิมทีอยากจะทำดื้อไม่รับบัตรเครดิตใบนั้น
แต่คิดอีกที เงินไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งช่วงนี้ ขนมกินเล่นของเขายิ่งน้อยลงทุกวันอย่างน่าสงสาร
ไม่ได้กินอิ่มๆ เหมือนอยู่ที่บ้าน รู้สึกเหมือนตัวเองจะผอมลงแล้ว
เด็กที่ถูกครอบครัวทอดทิ้งช่างน่าสงสาร
สุดท้ายเขาก็เก็บบัตรใบนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง
*
“คุณกำลังหาอะไรอยู่?”
หลังจากเหล่าโล๋โทรหาฉิงฮัวแล้ว ก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายามในการตามหาหยางหยาง
จากประสบการณ์ของเขาและทิศทางที่หยางหยางหายตัวไป เขาหาอย่างละเอียดแทบจะทุกตรอกซอกซอย
ครั้งนี้ เขาเพิ่งจะเดินออกมาจากซูเปอร์มาเก็ต
สีหน้าผิดหวัง
เขาดึงโทรศัพท์ออกมาดู หลังจากที่คุยโทรศัพท์กับฉิงฮัวเสร็จนี่ก็ผ่านไปเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว
ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไรเลย
ขณะที่กำลังเตรียมจะเดินเข้าไปในร้านอินเตอร์ด้านข้างนั้นเอง
มีเสียงเด็กคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
ความรู้สึกแรกคือ : เสียงคุ้นๆ
คุ้นมากที่สุด คุ้นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!
รู้สึกมีความสุขในใจขึ้นมาทันที
นั้นคือเสียงของหยางหยาง ราวกับเสียงสวรรค์
หรือว่าเขาหูฝาดไปเอง?
เหล่าโล๋แทบจะไม่มั่นใจในความคิดของตัวเอง หรือเพราะตัวเองร้อนใจเกินไปจนทำให้ได้ยินเสียงของเด็กๆ ทุกคนเหมือนเสียงของหยางหยาง
“นี่ คุณลุงโล๋ ลุงจะไปเล่นเน็ตหรือ ช่วงนี้ฉันก็ไม่ค่อยสบายใจ เราด้วยกันเถอะ”
ใช่! นี่คือเสียงของหยางหยาง
สีหน้าเคร่งขรึมของเหล่าโล๋ ปรากฏความดีใจขึ้นมาในชั่วพริบตา
รีบหันหลังกลับมา เห็นหยางหยางยืนอยู่ด้านหลังเขาไม่ไกล
“นา…” เหล่าโล๋แทบจะตะโกนออกมา
แต่ก็ต้องอดทน รีบก้าวไปหาและคว้าเด็กน้อยมากอดไว้
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนน มองผู้ชายคนนี้ด้วยความแปลกใจ แปลกใจจริงๆ
*
ขณะนั่งรถกลับ ในที่สุดเหล่าโล๋ก็ทนไม่ไหวจึงถามไปว่า : “เมื่อสักครู่คุณชายน้อยไปไหนมา ทำให้เขาร้อนใจแทบตาย ถ้าเกิดคุณชายน้อยประสบอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา เขาไม่มีหน้าไปพบเจ้านายแน่นอนเลย”
ขณะนั้นเอง ในมือหยางหยางมีถังไก่ทอดเพิ่มขึ้นมาอีก1ถัง มือของเขายื่นน่องไก่เข้าไปในปาก
หลังจากฟังประโยคนี้ เขาขมวดคิ้ว : “ลุงโล๋ กำลังด่าผมอยู่รึเปล่า ผมแค่ปวดฉี่รีบวิ่งไปหาห้องน้ำแค่นั้นเอง”
นี้คือเหตุผลที่หยางหยางคิดได้ตอนกลับมา
หาห้องน้ำต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลย…
ถ้าเหล่าโล๋เชื่อเหตุผลนี้ ก็คงโดนผีหลอกไปแล้ว
แค่หยางหยางกลับมาก็ดีแล้ว ไม่มีเหตุผลต้องไปซักไซ้จนถึงที่สุด
อีกทั้งฐานะขอเขาเอง…
“เจ้านาย นายน้อยหยางหยางกลับมาปลอดภัยดี”
หลังจากเป่หมิงโม่อ่านข้อความในโทรศัพท์ สีหน้าแสดงออกว่ารู้สึกสับสนเล็กน้อย
แต่นั้นเป็นเพียงความรู้สึกชั่วพริบตา จากนั้นก็กลับเป็นสงบนิ่ง
ฉิงฮัวเองก็ได้รับข้อมูลที่เหมือนกัน และก่อนที่จะได้รับข้อความ กู้ฮอนโทรหาเขาก่อนแล้ว
ดูเหมือนว่าเธอกำลังรักษาท่าทีที่สงบนิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาเข้าใจว่าการหายตัวไปของลูกชายคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือเป็นเพียงแค่การเล่นอะไรพิเรนทร์ของเด็กๆ
ตามที่คาดไว้ ข่าวการพบตัวหยางหยางก็ถูกส่งมา
“เด็กน้อยหยางหยางนี่ขยันทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ เลย ถ้าเป็นลูกของเรา น่ากลัวว่าฉันคงเป็นบ้าไปแล้ว ก็มีแค่ฮอนกับเป่หมิงของเราเท่านั้นที่นิ่งสงบอยู่ได้”
นี้คือความคิดเห็นของลั่วเฉียวต่อเรื่องนี้
*
วันนี้คุณพาลูกไปเที่ยวเล่นที่ไหนมา?
บนโต๊ะอาหารค่ำ เป่หมิงโม่กำลังใช้มีดหั่นสเต๊กเนื้อวัวที่สุกกำลังดี
ระหว่างทางที่กู้ฮอนกำลังพาลูกๆ กลับมา ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะถามคำถามประมาณนี้
“ก็แค่พาพวกเขาไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ อากาศดีๆ แบบนี้ให้พวกเขาได้สูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย” พูดจบเธอก็ถามเขากลับไป “คุณคงไม่ได้อยู่ในแปลงผักตลอดทั้งวันใช่ไหม”
เป่หมิงโม่พยักหน้า : “ไม่ผิด วันนี้แปลก ไม่เรื่องอะไรมารบกวนฉันเลย รู้สึกสบายสุดๆ ใช่แล้ว หยางหยางน่ะอยู่นอกบ้านมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ไม่ได้สร้างเรื่องอะไรให้ฉันเลย มันน่าแปลกจริงๆ”
หัวข้อสนทนามาถึงเรื่องของลูกแล้ว กู้ฮอนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่สร้างเรื่องให้คุณก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่งั้นคุณคงต้องกินยานอนหลับทั้งวันถึงจะนอนหลับได้” เธอตอบอย่างระมัดระวัง พยายามให้น้ำเสียงของตัวเองเป็นปกติที่สุด
ใครจะไปรู้ว่าที่เขาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร
ตอนที่คุยโทรศัพท์กับฉิงฮัว เธอจงใจถามเขาไปแล้วว่าเรื่องที่หยางหยางหายตัวไปได้บอกเป่หมิงโม่รึยัง
ฉิงฮัวตอบอย่างมั่นใจ
จะว่าไปแล้วก็รู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วเป่หมิงโม่จะไม่พูดถึงเรื่องของหยางหยาง
วันนี้ไม่รู้กินยาอะไรผิดไป อยู่ๆ ก็พูดออกมาเอง
เห็นเขายังกินสเต๊กเนื้อด้วยท่าทีสง่างาม ทำให้คิดถึงหยางหยางที่คงกำลังกอดชามข้าวกินกับผักตรงหน้า คิดแล้วรู้สึกสงสารอย่างยิ่ง
“เมื่อเด็กน้อยทำได้ดีขนาดนี้ งั้น…” พูดถึงตรงนี้ เป่หมิงโม่ใช้ซ้อมจิ้มสเต๊กเนื้อสุกกำลังดีมีสีแดงหน่อยๆ ที่หั่นไว้แล้วใส่เข้าไปในปาก และเคี้ยวอย่างช้าๆ
พูดมาแค่ครึ่งประโยค กลับทำให้กู้ฮอนรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาเลย
ไม่ใช่แค่เธอ แม้แต่แว่นเล็กๆ ของเฉิงเฉิงก็จ้องมองไปที่พ่อของตัวเอง
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารของผู้ใหญ่ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตเด็กๆ ก็ไม่สามารถพูดแทรกเข้าไปได้
นี่คือกฎในบ้านของพวกเขา
แต่ไม่มีผลกระทบกับพวกเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ
ไม่รู้ว่าพ่อจะให้หยางหยางกลับมาไหม?
กู้ฮอนทานอาหารช้าลง และสนใจฟังสิ่งที่เป่หมิงโม่จะพูดต่อไป
ความรู้สึกของการรอคอยแบบนี้ มีแค่ตอนที่กำลังดูละคร หรือกำลังฟังละครเพลง ทุกครั้งที่ถึงตอนสำคัญ : “กรุณารับชมตอนต่อไป”
ความรู้สึกเหมือนจับหนูไว้จำนวนมาก : มีเล็บเป็นร้อยข่วนหัวใจ
เป่หมิงโม่กำลังสร้างสถานการณ์ เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในตอนนี้
หลังจากที่เขากลืนสเต็กเนื้อชิ้นนั้นลงไป ก็พูดต่อไปว่า : “ในเมื่อเด็กน้อยอยู่ด้านนอกไม่ดื้อไม่ซน งั้นก็ปล่อยให้อยู่ด้านนอกไปอีกสักพักค่อยให้กลับมาคงไม่สายไป”
ทั้งครอบครัวรู้สึกท้อแท้ มีแค่เขาที่ไม่รู้สึก
กู้ฮอนแทบจะเตรียมพร้อมไปรับลูกชายกลับมาในทันที
สำหรับเฉิงเฉิงแล้ว เขารู้สึกว่าที่พ่อทำแบบนี้กับหยางหยางจะเกินไปหน่อย
ถึงเขาจะไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่เคยได้ยินประโยคที่ว่า : ออกไปอยู่ด้านนอกไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน
ก่อนหน้านี้หยางหยางเคยพูดไว้ วันนี้หลังจากที่เจอกันก็ยังพูดอีกว่าอยู่ข้างนอกสบายกว่าอยู่ที่บ้าน
แต่ในฐานะพี่น้อง เขารู้ดีที่สุดว่าเด็กคนนั้นกำลังปากแข็ง
*
“ลุงโล๋ ผมหิวแล้ว”
หยางหยางนั่งถือรีโมตเปลี่ยนช่องสถานีโทรทัศน์ไปมาอยู่บนโซฟา
เขาก็เหมือนเด็กติดโทรศัพท์คนหนึ่ง เมื่อไม่มีมัน ก็พูดจ้อไปทั้งวัน
แม้แต่การออกไปด้านนอกก็น่าเบื่อ
ที่เหลือ ก็มีแค่ดูละครโทรทัศน์ที่น่าเบื่อพวกนั้น ยังมีการ์ตูนที่เขารู้ว่าไร้สาระ
พอสิ้นเสียง เหล่าโล๋ก็ยกชามอาหารสองชามออกมาจากครัว
“ทำไมเป็นหมี่ผัดอีกแล้วล่ะ ผมกินจนจะอ้วกแล้ว”
ไม่ต้องดูแค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าเมนูอะไร
ว่าไปแล้วช่วงเวลาที่ออกจากบ้านมา เมนูที่กินบ่อยที่สุดก็คือสิ่งนี้
ที่เป่หมิงโม่ส่งเหล่าโล๋ให้ตามาดูแลหยางหยางถือว่าคิดมารอบคอบแล้ว ขาดก็แค่ไม่ได้คิดให้ละเอียดเรื่องอาหารการกิน
การตามเป่หมิงโม่ออกไปธุระด้านนอกบ่อยๆ หรือการจัดการธุระต่างๆ แทนเขา ทำให้เหล่าโล๋เคยชินกับการนอนกลางดินกินกลางทราย
แค่กินอิ่ม เรื่องอื่นเขาก็ไม่สนใจแล้ว
ดีหน่อยที่ผัดหมี่ที่เขาทำยังอร่อยกว่าร้านอาหารหรูๆ หลายๆ ร้าน
แต่ว่าต่อให้ดีกว่าแค่ไหน ถ้ากินบ่อยๆ ก็น่าเบื่อเหมือนกัน
โดยเฉพาะเด็กโตอย่างหยางหยาง ที่อยากเปลี่ยนรสชาติอาหารที่กินบ่อยๆ
เหล่าโล๋สีหน้าอับอาย : “ขอโทษ ฉันทำเป็นแค่นี้ ฉันจะหาโอกาสคุยกับเจ้านายให้น่ะ ให้เขาส่งแม่บ้านมาอาทิตย์ล่ะ 2-3 ครั้งก็ยังดี แต่ว่ามื้อนี้แบบนี้ไปก่อนแล้วกัน”
หยางหยางวางรีโมตในมือลงบนโซฟา
ทำสีหน้าลำบากอย่างกับเวลากินยา : “ช่างเถอะ เห็นแก่วันนี้ที่คุณลำบากตามหาผม ผมกินอันนี้แล้วกัน”
พูดจบก็กลอกตาไปมา และทำสีหน้ายิ้มๆ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหล่าโล๋เห็นท่าทีแบบนี้ของเขา ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ดวงตาที่กลอกไปมาคู่นั้น เหมือนกำลังวางแผนอะไรอยู่อีก
ไม่นานหยางหยางก็พูดขึ้นมาว่า : “คุณลุงโล๋ เรื่องวันนี้ผมผิดเอง แต่คุณก็ผิดด้วย”
“ความผิดของฉัน?” เหล่าโล๋สีหน้าประหลาดใจ
คิดในใจ : คุณเป็นคนหนีไปเองตอนที่ไฟเขียวกำลังจะเปลี่ยนเป็นไฟแดงเองแท้ๆ
หยางหยางคีบบะหมี่ขึ้นมาใส่เข้าไปในปาก จากนั้นใช้แรงสูดเข้าไป
“สู๊ดดด…” หลังจากสิ้นเสียงสู๊ดยาวๆ บะหมี่ทั้งเส้นก็เข้าไปในปาก
แต่รอบๆ ขอบปาก มีร่องรอยของซอสบะหมี่อยู่
หยางหยางไม่เช็ดออกและพูดต่อ : “ใช่สิ คุณลองคิดดู ถ้าผมมีโทรศัพท์อยู่ในมือ คุณจะต้องตามหาผมแบบนั้นไหม คุณนั่งรอผมกลับมาได้อย่างสบายใจอยู่ที่ร้านขายเครื่องดื่มได้เลย”
เด็กคนนี้ วางแผนจะเอาโทรศัพท์คืนอีกแล้ว
เอ่อ…
แต่สำหรับเหล่าโล๋แล้วนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย
เด็กเจ้าเล่ห์อย่างหยางหยางดูออกว่าเขากำลังลังเล เวลาแบบนี้ถ้ามีโอกาสได้พูดอีกหน่อย ก็อาจจะมีความหวังได้โทรศัพท์คืน