“เฟยเอ๋อร์” ริมฝีปากที่แห้งผากของไป๋เสวี่ยฮุ่ยสั่นเทา โทนเสียงแฝงเจตนาขอโทษ
“แม่ก็อยากให้เจ้าได้เชิดหน้าชูตา แต่ แต่เงินที่แม่มีอยู่ ได้ลงไปกับสินสอดของเจ้าหมดแล้ว ไม่ ไม่เหลือหลอ…”
นางเงียบไปนานกว่าจะพูดออกมาได้ โกหกหรือเปล่า? ต้องซ่อนเงินไว้แน่ ไม่ยอมเอาออกมา
อวิ๋นหว่านเฟยเป็นคนใจร้อน พอเห็นมารดาไม่ยอมให้เงิน ก็ลุกขึ้นพรวด คราวนี้ไม่มีน้ำตา
“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะซ่อนเงินไว้ทำไม หรือเห็นเงินสำคัญกว่าลูกสาวคนนี้”
“แม่ไม่มีจริงๆ” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกัดฟันพูด ยืนยันตามคำเดิม
ลูกสาวชอบพูดจาเกินจริง นิสัยก็เย่อหยิ่ง แต่สมองกลับไม่ค่อยมีเหตุผล เงินมากขนาดนี้ จะให้อยู่ในมือนางไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้น ต้องถูกผู้อื่นเอาเปรียบแน่
ปี้หยงรีบก้าวเข้าเตือนสติ
“คุณหนูรอง ฮูหยินอาจกระเป๋าแห้งจริงๆ ท่านอย่าทำให้ฮูหยินลำบากใจไปเล…”
อวิ๋นหว่านเฟยยิ้มเย็นชา พลางผลักปี้หยิงออก แล้วพูดอย่างไม่ไว้หน้า
“กระเป๋าแห้งอะไร ข้าเป็นลูกสาวนาง นิสัยนางเป็นเช่นไร มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ดูแลจัดการบ้านสกุลอวิ๋นมานานหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทรัพย์สินส่วนตัวแค่นี้ แม่ อย่าหาว่าข้าพูดจาหยาบคายไป ที่ข้าต้องออกเรือนอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ ก็เป็นผลพวงจากท่าน ยังมี ตอนนี้ข้าเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน ท่านไม่มีลูกชายแล้ว ลูกชายที่ท่านอยากได้มาตลอดนั้น ตายไปแล้ว! ต่อไปท่านจะทำอะไรได้อีก โดยพื้นฐานแล้วก็ต้องพึ่งพาข้า ถ้าข้าได้ดิบได้ดี ก็ไม่แน่ว่า พูดเพียงคำสองคำ ท่านพ่อกับท่านย่าก็ให้อภัยท่านแล้ว มิหนำซ้ำยังยกตำแหน่งเดิมคืนให้ท่านอีก!”
“เจ้า…” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลือดขึ้นหน้า
นี่คือลูกสาวแสนดีที่ตนอุ้มทองมาเกือบสิบเดือน แล้วคลอดออกมาอย่างยากลำบากหรือ จึงรวบรวมกำลังทั้งหมด จับหมอนขว้างใส่
“ลูกอกตัญญู! ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีเจ้าให้ตาย! รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าตั้งแต่เกิดไปแล้ว!”
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเอง เพราะนางตามใจลูกจนเกินเหตุ ถึงได้เลี้ยงจนโตมาเป็นคนเห็นแก่ตัว เลือดเย็นไร้น้ำใจ ไม่รู้จักผิดถูก อีกทั้งยังไม่มีสมองด้วย!
อวิ๋นหว่านเฟยเอี้ยวตัวหลบหมอนได้ พอเห็นว่าไม่มีทางได้เงินแน่ๆ ก็ร้องแรกแหกกระเชออย่างโกรธแค้น
“เช่นนั้นจากนี้เป็นต้นไป ลูกก็จะใช้ชีวิตอันหรูหรามั่งคั่งในจวนโหวของลูก ส่วนแม่ก็เฝ้าเงินของแม่ไปจนตายก็แล้วกัน!” ว่าแล้วก็เดินนำปี้หยิงออกจากห้องไป
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยันกายให้นั่งนิ่งอยู่บนเตียงสักพัก น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ นางยัง
นับว่ามีความหวังอยู่บ้าง แต่หลังจากบาดหมางกับลูกสาว นางก็คล้ายตกลงไปในหล่มโคลนจริงๆ สูดอากาศ
บริสุทธิ์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หรือนางต้องรบกวนน้องสาวอีก
ก่อนหน้านี้ เรื่องออกเรือนของลูกสาวยังพอทำเนา แต่ตอนนี้เป็นเรื่องในครอบครัว…น้องสาวจะเข้ามาแทรกแซงได้อย่างไร
ต่อให้เป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องในบ้านของขุนนาง!
ความหนาวเหน็บค่อยๆ คืบคลานเข้าห่อหุ้มร่างกายนาง จนนางแทบจะลืมความเจ็บปวดจากแผลฉีกขาดช่วงล่าง
ไม่ ชีวิตนางไม่ควรเป็นแบบนี้…
ตามเป้าหมาย นางควรให้กำเนิดทายาทสกุลอวิ๋นแก่ท่านพี่ได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็ค่อยๆ กำจัดทายาทของฮูหยินคนก่อนชนิดไม่มีใครจับได้ ทำลายยอดอ่อนโดยไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว!
ส่วนลูกสาวคนโตก็ไม่ต้องพูดถึง อาศัยที่นางเกิดก่อนลูกสาวตนไม่กี่ปี คิดจะออกเรือนไปเป็นฮูหยินน้อยของจวนโหวรึ ไม่มีปัญหา อยากไปก็ไปสิ แค่ป้อนยาแรงให้นางกินก็สิ้นเรื่อง ทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดของความเป็นผู้หญิงอย่างความสามารถในการเจริญพันธุ์ไป แล้วค่อยใช้ตำแหน่งฮูหยินของนางเป็นสะพาน ให้ลูกสาวตนฉวยโอกาสตีสนิทคุณชายรองนั่น เพื่อเข้าแทนที่นาง…สุดท้าย ตำแหน่งของนางก็จะเป็นของลูกสาวตน
แต่ละขั้นของแผนการ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจัดเตรียมไว้อย่างไร้ที่ติแต่แรก โดยซักซ้อมอยู่ในหัวสมองนับครั้งไม่ถ้วน! ถ้าเป็นไปตามนี้จริง ผู้ชนะของจวนสกุลอวิ๋น ช้าเร็วก็คือพวกตนสองแม่ลูก!…แต่ทำไม ทำไมตนยังไม่ทันได้ลงมือ ก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่! ทั้งหมดล้วนต่างจากที่ตนจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง!
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยส่งเสียงครางออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงจับผ้าห่มแน่นดุจตัวแม่ที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนปล่อยโฮเสียงดังลั่นอย่างโศกาอาดูร
……
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่ปรากฏแสงสว่าง บ่าวในบ้านก็มาที่เรือนคุณหนูรอง ยกลังสินสอดออก ฉวยโอกาสก่อนอรุณเบิกฟ้า ส่งไปยังจวนโหว
อวิ๋นหว่านเฟยก็ตื่นแล้วเช่นกัน พออาบน้ำเสร็จ ปี้หยิงก็มาช่วยมวยผมและแต่งเนื้อแต่งตัวให้
ในคันฉ่อง ช่วงอายุสิบสาม คือช่วงที่ดีที่สุดของหญิงสาว นางดูงดงามดั่งดอกไม้แรกแย้ม คางแหลมเรียว แก้มชมพู แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนสีหน้า อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าและขุ่นเคือง
อวิ๋นหว่านเฟยทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง เดิมทีตนควรมีขบวนขันหมากที่ยาวเหยียดมารับ แล้วตนก็สวมชุดและมงกุฎเจ้าสาว เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ขึ้นเกี้ยวสีแดงหลังใหญ่แปดคนหาม เข้าสู่จวนกุยเต๋อโหว แต่ตอนนี้เล่า ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูที่บ่งบอกว่าเป็นอนุ ด้านหลังมีเพียงสาวใช้คนเดียวติดสอยห้อยตาม สินสอดมีแค่หนึ่งลังไม้ คนของจวนโหวที่มารับก็มีเพียงบ่าวสูงอายุสองคน โดยอาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่สาง รับตนออกไป พอไปถึงก็ต้องเข้าทางประตูข้าง ไม่สามารถเข้าทางประตูใหญ่
“นี่ก็สายแล้ว ได้เวลาออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรอง”
ปี้หยิงพูดเสียงเบา จากนั้นก็หันไปจับชายกระโปรงอวิ๋นหว่านเฟย เพื่อให้ก้าวเดินออกจากห้อง
ท่ามกลางท้องฟ้ากึ่งมืดกึ่งสว่าง สรรพสัตว์ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่น อวิ๋นหว่านเฟยพยายามข่มความไม่พอใจ แล้วเดินไปจนถึงหน้าประตู ซึ่งเกี้ยวหลากสีสำหรับอนุได้จอดรอมาครึ่งชั่วยามแล้ว
ป้าจัน หญิงวัยกลางคนของจวนโหว ผู้นำส่งเจ้าสาวในครั้งนี้ พอเห็นเจ้าสาวก้าวออกมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ พร้อมแนะนำตัวเอง ก่อนที่จะพูดจากลางๆ “อนุอวิ๋น ขึ้นเกี้ยวเถิด ฟ้าใกล้สว่างแล้ว”
พออวิ๋นหว่านเฟยได้ยินคำว่าอนุอวิ๋น ก็รู้สึกโมโห และพอเห็นท่าทางไม่แยแสของป้าจัน ก็คิดว่าป้าต้องรู้สึกว่าขบวนเกี้ยวของตนน่าสมเพชแน่ จึงเอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนยื่นถุงเงินใบเล็กให้ถุงหนึ่ง
“ลำบากป้าจันแล้ว”
ป้าจันเหลือบมองถุงเงินใบเล็ก นางเป็นบ่าวในจวนโหวแต่เด็ก เห็นอะไรมามาก จะไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากได้อย่างไร มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีแต่เศษเงินอยู่ในนั้น จึงยิ่งดูแคลน ถอยหลังสองก้าว
“อนุอวิ๋น ถ้าไปถึงจวนโหวแล้ว ขออย่าใช้วิธีนี้อีก เราเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ชอบใช้วิธีที่ชาวบ้านทั่วไปชอบใช้กัน”
อวิ๋นหว่านเฟยอึ้ง เห็นเพียงป้าจันหันกายไปบ่นพึมพำกับบ่าวในจวนโหวที่มาด้วยกันคนหนึ่ง แม้เสียงที่ลอยมาเบา แต่เห็นชัดว่าไม่สนใจแม้ใครจะได้ยิน
“…แค่สิบตำลึงเงินก็ยังไม่มี ให้ขอทานรึ ชิ เสียเวลาชะมัด หลายวันก่อนข้าแค่ออกจากจวนไปซื้อของหวานให้ฮูหยินคุณชายใหญ่ ยังได้ที่ติดผมสีทองมาอันหนึ่ง ขนาดฮูหยินหลับหูหลับตาให้นะ”
ฮูหยินคุณชายใหญ่ที่ว่าก็คือท่านหญิงคังหนิง ภรรยาของมู่หรงอัน
เหมือนถูกบีบให้ยอมจำนน อวิ๋นหว่านเฟยหน้าแดง กัดฟันกรอด ขณะที่ป้าจันหันกลับมา แล้วว่า
“อนุอวิ๋น ยังไม่ขึ้นเกี้ยวอีกหรือ”
ตามหลักแล้ว บ่าวรับใช้ควรแบกเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว อวิ๋นหว่านเฟยจึงขมวดคิ้ว
“คนของจวนโหวควรแบกข้าขึ้นเกี้ยวมิใช่หรือ”
ป้าจันว่า “ขามา ป้าเกิดปวดเอว ถ้าฝืนแบกท่านไว้ อาจทำให้ท่านร่วงหล่นได้ เรื่องมงคลก็จะกลายเป็นเรื่องอัปมงคลไป ส่วนอีกคนที่มากับป้าก็เป็นผู้สูงอายุและเป็นผู้ชาย ไม่สะดวกหรอก ท่านน่ะ ก้าวขึ้นไปเองจะดีกว่า”
พอปี้หยิงเห็นคนของจวนโหวมีท่าทีเช่นนี้ ก็แปลกใจยิ่ง ต่อให้มารับอนุ ก็ไม่ควรมีท่าทีไม่แยแสเช่นนี้ จึงพูดเสียงเบา “คุณหนูรอง บ่าวแบกท่านขึ้นเกี้ยวเอง…”
อวิ๋นหว่านเฟยสะบัดแขน ก่อนเอ็ด “แบกเบิกอะไรกัน!” ว่าแล้วเดินไปข้างหน้า ก้าวขึ้นเกี้ยวไปเอง
จากนั้น เกี้ยวหลากสีก็ถูกแบกโยกไปเยกมา ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนท้องถนนที่มีคนเดินไปมาค่อนข้างน้อยอย่างอ้างว้างเดียวดาย และในที่สุด ก็หยุดลงก่อนฟ้าสว่าง
ประมาณว่าอวิ๋นหว่านเฟยได้มาถึงประตูข้างของจวนกุยเต๋อโหวแล้ว ขณะจะเลิกผ้าม่านตรงหน้าขึ้น ป้า
จันก็ยื่นมือเข้ามา คลุมผ้าคลุมศีรษะผืนหนึ่งให้นาง แล้วจึงพยุงนางลงจากเกี้ยว จากนั้นก็ร่วมกันกับปี้หยิงเข้า
พยุงนางคนละข้าง พาเข้าจวนไป
ซึ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็เข้าไปในห้องหนึ่ง
อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จวนโหวจัดให้นางอยู่ที่ไหนกันแน่
จวนโหวกว้างใหญ่ไพศาล แต่…ทำไม พอเข้าประตูข้างมา ก็คล้ายถึงห้องหอแล้ว
ขณะนั่งอยู่บนเตียงแข็งๆ อวิ๋นหว่านเฟยกำลังจะถามว่าเมื่อไหร่มู่หรงไท่จึงจะมา ป้าจันก็ส่งเสียงดังมาจากหน้าประตู
“ตามธรรมเนียม อนุอวิ๋นต้องรอคุณชายรองอยู่ในห้องหอ ห้ามเดินและทำอะไรสะเปะสะปะ ยิ่งห้ามออกนอกห้อง เพราะจะไม่เป็นมงคล” ว่าแล้วก็ปิดประตู เดินจากไป
อวิ๋นหว่านเฟยไหนเลยจะเชื่อฟัง พอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าป้าจัน ก็รีบเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น หันมองไปรอบๆ พลันหายใจเข้าลึกๆ!
นี่เป็นห้องแคบๆ ห้องหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าอยู่ในเรือนของมู่หรงไท่หรือไม่ เครื่องเรือนในห้องเรียบง่ายมาก มีเพียงเตียงติดผนังหนึ่งเตียง โต๊ะเก้าอี้สำหรับกินข้าวหนึ่งชุด บนโต๊ะมีรอยเลอะที่น่าสงสัยอยู่ ราวแขวนเสื้อหนึ่งราว ไม่มีอื่นใดอีก
ไม่มีเทียนแดงมังกรหงส์ ไม่มีขนมมงคล ไม่มีสุรามงคล…ทั้งห้อง ไม่มีบรรยากาศของห้องหอแต่อย่างใด
จึงดึงผ้าคลุมหน้าลง เขวี้ยงลงบนที่นอน อวิ๋นหว่านเฟยโกรธจัด พลางเรียก
“ปี้หยิง! ปี้หยิง! เจ้าไปตายที่ไหนแล้ว รีบเข้ามาเร็ว!”
ไม่มีเสียงขานรับ
รออยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่มีใครมา นี่ก็เที่ยงแล้ว วันนี้นางตื่นแต่เช้า จึงไม่ได้กินอะไร ท้องร้องอยู่นาน รู้สึกหิวมาก แต่ห้องที่มองทั่วถึงได้ในปราดเดียว ไหนเลยจะมีของกินรองท้อง
จึงได้แต่ทนรอต่อ แล้วก็ค่อยๆ ง่วง จนผล็อยหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกที ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็เป็นสีส้มในยามพลบค่ำแล้ว