ก่อนมา ถงฮูหยินได้เตรียมใจไว้เผื่อ กรณีที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยโวยวายใหญ่โตขึ้นมาตามลักษณะนิสัยของนาง ก่อนจะกอดขาตนร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ตอนนี้พอเห็นนางสงบนิ่ง ก็ผิดคาดอยู่บ้าง ทว่าก็มิได้ลังเลใจนาน ล้วงหนังสือหย่าออกจากอกเสื้อ ทิ้งลงบนโต๊ะ
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหลือบมองหนังสือหย่า แล้วยิ้มเย็นชาที่มุมปาก ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้ริมหน้าผาที่ถูกลมพัด จะร่วงไม่ร่วงแหล่ เป็นความอนาถใจในความสิ้นหวังอย่างหนึ่ง
“นี่เป็นความประสงค์ของท่านพี่?”
“แม้แต่ลายมือเจ้ารอง เจ้าก็จำไม่ได้รึ เจ้ารองเขียนหนังสือหย่าบนโต๊ะกินข้าวด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีใครพูดกำกับแม้แต่คำเดียว” ถงฮูหยินตอบอย่างเย็นชา นี่นางยังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ
พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่าเป็นความประสงค์ของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที คล้ายกำลังหัวเราะ แต่ก็แฝงความเย็นยะเยียบของหิมะที่กลมกลืนกันจนดูไม่ออก แต่ยังคงมิได้ร้องไห้ฟูมฟาย คล้ายความโกรธแค้นและความรู้สึกไม่เป็นธรรมทั้งหมดได้หลอมรวมกับความเจ็บปวดตอนแท้งลูกและค่อยๆ มลายหายไปในหลายวันต่อมาแล้ว นางไม่เคลื่อนไหว ได้แต่นั่งอยู่ข้างเตียง
“เด็กๆ จับมือไป๋ฮูหยิน พิมพ์ลายนิ้วมือหน่อย” ถงฮูหยินเห็นนางไม่ขยับ ก็หันไปสั่งบ่าว
มอมอสองคนจึงก้าวเข้าไป คนหนึ่งกดไหล่ของไป๋เสวี่ยฮุ่ยไว้ อีกคนจับมือนางขึ้นมา ด้วยแรงที่แทบจะหักมือนางได้ ก่อนแกะนิ้วเรียวยาวบนฝ่ามือนางออก แล้วจับนิ้วหัวแม่มือ กดลงไปในดินสีแดง จากนั้นก็เคลื่อนไปบนกระดาษ
ตอนนี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถึงคล้ายตกใจตื่นจากความฝัน จึงดิ้นไปมาอย่างแรง พลางกรีดร้อง
“ไม่ ข้าไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่พิมพ์…ข้าเป็นฮูหยินรองเจ้ากรม ใครก็แย่งตำแหน่งนี้ไปจากข้าไม่ได้ ในจวนรองเจ้ากรมข้าใหญ่สุด ท่านพี่รักข้ามากสุด…ข้าไม่พิมพ์!”
ถงฮูหยินชี้ “พิมพ์ลงไป! อย่าร่ำไร! รถม้ารออยู่ด้านนอก”
รถม้าด้านนอก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนิ่งไปชั่วขณะ นางไม่มีญาติต่างถิ่น รากฐานของนางได้หยั่งลึกไว้ที่จวนรองเจ้ากรมในเมืองหลวงแล้ว ถ้าหนังสือหย่ามีผล บ้านสกุลอวิ๋นย่อมไม่อยากขายหน้า จึงไม่อนุญาตให้นางอยู่ในเมืองหลวง ต้องนำตัวนางไปทิ้งไว้ในที่ห่างไกลผู้คน…และไม่แน่ว่าอาจให้คนคอยจับตาดูนางด้วย
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เกร็งมือยันเอาไว้ ทำให้มอมอกดไม่ลง
แต่พอเห็นสีหน้าผู้อาวุโส มอมอที่คิดจะหักมือนางอยู่ ก็ไม่ลังเลใจอีก เค้นแรงที่มีอยู่ทั้งหมด หักมือไป๋เสวี่ยฮุ่ยเสียงดัง ‘แก๊ก’ และมอมอก็ไม่รอให้นางร้องโหยหวนออกมา แข็งใจจับนิ้วหัวแม่มือนางกดลงตรงที่ว่างด้านล่างของหนังสือหย่า…
ด้านนอก เสียงย่ำฝีเท้าดังมา ตามด้วยเสียงเรียกขานของบ่าว “นายท่าน…”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ บิดากลับมาแล้วหรือ เขายกเรื่องนี้ให้ท่านย่าจัดการแล้วนี่ ด้วยคร้านที่จะเผชิญหน้า
กับเรื่องยุ่งยากใจและเสียความรู้สึกเช่นนี้ แต่ตอนนี้พลันปรากฏตัวขึ้น หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรอีก
อวิ๋นเสวียนฉั่งสาวเท้าเข้ามาในห้องน้อยที่ทั้งเตี้ยและอับชื้น โดยไม่แม้กระทั่งมองไป๋ฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างเตียง ก้าวเข้าหาถงฮูหยินทันที ก่อนกดเสียงพูดลงต่ำ “ท่านแม่ หย่าไม่ได้”
เสียงแม้เบา แต่ห้องแคบ ทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยคล้ายถูกหมอเทวดาฝังเข็มกระตุ้นหัวใจให้ในพริบตา รีบดึงวิญญาณคืนกลับ แววตาที่ล่องลอยแต่เดิม สุกใสขึ้นทันที ริมฝีปากที่แห้งแตกสั่นน้อยๆ ตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่
ถงฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี “เจ้ารอง ผู้หญิงแบบนี้ ถ้าปล่อยให้กินตำแหน่งฮูหยินรองเจ้ากรมต่อ ก็จะเอาแต่จะคิดชั่ว ส่งคนลอบทำร้ายทายาทฮูหยินคนก่อนอีก นางเป็นคนเห็นแก่ตัวและโลภ มีความผิดครบถ้วนตามเกณฑ์การปลดออกจากตำแหน่ง อย่าว่าแต่หย่าเลย ถ้าตอนนี้ข้านำตัวนางไปฟ้องร้องยังที่ทำการอำเภอ ให้นางติดคุกหรือถูกประหาร ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เจ้ายังอาลัยอาวรณ์อะไรนางอีก นางเลี้ยงลูกสาวเจ้าจนโตมาเป็นแบบนั้น ทำให้เจ้าโงหัวไม่ขึ้นต่อหน้าสกุลมู่หรง เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้ใช่คนดีที่ไหน!”
“ท่านแม่ ลูกมิได้อาลัยอาวรณ์นาง” ในห้องมีทั้งบ่าวทั้งนายมากมาย อวิ๋นเสวียนฉั่งพูดมากไปไม่ดี จึงกดเสียงให้ต่ำลงอีก “เชิญท่านแม่ไปที่ห้องรับแขก ลูกจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง”
อีกนิดเดียวเท่านั้น ถงฮูหยินก็จะขับไล่สะใภ้เลวๆ ออกจากบ้านได้แล้ว ตอนนี้แม้ไม่อยากทำตามที่ลูกว่า แต่ก็รู้นิสัยของลูกดี จึงสะบัดแขนเสื้อ แค่นเสียงเย็นชา แล้วก้าวออกจากห้องไป
พอเห็นหญิงชราจากไป ไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่อยู่ในห้องก็ร้องไห้โฮออกมา คิดจะโผเข้าไปกอดขาสามี แต่ยังไม่ทันเรียก “ท่านพี่” อวิ๋นเสวียนฉั่งก็มีท่าทีหวาดกลัวเมื่อเห็นสภาพสกปรกของนาง จึงก้าวถอยหลังสองก้าว ขมวดคิ้ว พลางสั่งอาเถากับมอมอทันที
“รีบหน่อย อาบน้ำสระผมให้นาง หวีผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วย ยังมี มือนางเป็นอะไร หักหรือเปล่า? รีบเอาผ้ามาพันไว้ อย่าให้ใครดูออก…สรุปแล้ว ทำให้นางดูเป็นผู้เป็นคนปกติ…เดี๋ยวจะมีแขกมา”
มือขวาของไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัก เพราะถูกหญิงชราบังคับให้ประทับลายนิ้วมือ ซึ่งเมื่อครู่ไหนเลยจะมีใครสังเกตเห็น พออาเถากับมอมอหันไปมอง ก็เห็นว่าบวมเปล่งแล้ว จึงรีบทำตามที่นายสั่ง ไปตักน้ำ ไปหยิบเสื้อผ้า ไปหยิบผ้าพันแผล วิ่งวุ่นกันแล้ว
ทุกคำพูดของบิดา ล้วนสะท้อนเข้าหูอวิ๋นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตู มีแขกมา? นางกวักมือเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ให้เข้าหา ก่อนกำชับเสียงเบา “เฝ้าดูอยู่แถวนี้หน่อย”
เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจ “เจ้าค่ะ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งสั่งการเรียบร้อย ก็เดินออกมา
พอถงฮูหยินเห็นลูกชายออกมา ก็ให้อวิ๋นหว่านชิ่นกับหวงน้าสี่พยุงซ้ายขวา ไปที่ห้องรับแขก
หน้าห้องรับแขก เมื่ออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นสองสาวพยุงมารดามา และมีทีท่าว่าจะเข้าไปด้วย ก็ลังเลใจ ก่อนยับยั้งไว้ “ท่านแม่ เรื่องนี้ ให้ลูกพูดกับท่านสองต่อสองจะดีกว่า…”
ดูท่า ต้องทำเรื่องน่าอายอะไรมาแน่ หาไม่แล้วทำไมต้องกันไม่ให้ใครรู้ด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเย็นชาที่มุม
ปาก
ถงฮูหยินจึงส่งสายตาให้หวงน้าสี่กับบ่าวและมอมอที่ตามมา ให้ถอยออกไปก่อน แต่กลับจับแขนของหลานสาวไว้แน่น ตบเบาๆ แล้วว่า
“อืม ให้น้าสี่กลับไปก่อน แล้วให้ชิ่นเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนข้า”
ถงฮูหยินก็เดาได้เช่นกันว่า อาจมีเรื่องอะไรหรือใครมาขวางไม่ให้ลูกชายหย่าเมีย มีคนอยู่อีกคน ย่อมมีผู้ช่วยเพิ่ม หลานสาวกับตนยืนอยู่ข้างเดียวกัน เป็นคนสกุลอวิ๋นเหมือนกัน ต้องให้อยู่ด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกันพูด หรือมีอะไรที่ตนไม่เข้าใจ จะได้ให้นางอธิบายให้ฟัง
เมื่อเห็นมารดายืนกราน อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่ตอบรับ
ทั้งสามเดินเข้าห้องรับแขก อวิ๋นหว่านชิ่นปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย แล้วเดินมายืนข้างกายท่านย่า
พอบิดาเห็นประตูปิดลง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ ยินดีปรีดายิ่ง
“ท่านแม่ วันนี้ตอนเข้าประชุมขุนนาง ฝ่าบาทมองมาที่ลูกด้วย เพราะลูกอยู่ในรายชื่อนำเสนอ เรื่องเจ้ากรมคนใหม่น่ะ มีสิทธิ์เป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน ต่อไปลูกจะได้เป็นขุนนางชั้นสอง เป็นเสนาบดี ท่านก็จะได้เป็นแม่เสนาบดีแล้ว! ไว้วันหลังลูกจะขอพระราชโองการแต่งตั้งฮูหยินอาวุโส ให้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเรา!”
“โอ้ จริงหรือ” พอได้ยิน ถงฮูหยินก็ลืมเรื่องคับใจแถวห้องบูชาบรรพชนไปชั่วคราว พลอยดีใจจนตัวสั่นไปด้วย “ข้าก็ว่า ลูกชายที่ข้าเลี้ยงมากับมือ ต้องเก่งอยู่แล้ว! แม้เป็นเด็กบ้านนอก ไม่มีภาษีเทียบเท่าลูกขุนนางเหล่านั้นแล้วไง ลำพังความสามารถส่วนตัว ไม่พึ่งพาคนนอก ก็สามารถเหนือกว่าลูกท่านหลานเธอพวกนั้นได้! ยังไม่ถึงสี่สิบก็ได้เป็นเจ้ากรมกลาโหมแล้ว มีสักกี่คนที่ทำได้! ดี ดี ลูกข้าเก่งมาก!
อวิ๋นหว่านชิ่นหงอยลง ดูจากลักษณะท่าทางของบิดาแล้ว ตำแหน่งเจ้ากรมนั่นน่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมเต็มที เมื่อวานยังมีสภาพเหมือนสุนัขตกน้ำ หายใจพะงาบๆ อยู่เลย วันนี้ทำไมถึงได้กลายเป็นนกยูงรำแพนที่ได้รับคัดเลือกไปได้
อีกทั้ง…มีชื่ออยู่ในรายชื่อนำเสนอด้วย
นางเคยได้ยินมาว่า รายชื่อนำเสนอก็คือรายชื่อเจ้ากรมคนใหม่ ซึ่งเจ้ากรมคนก่อนเขียนขึ้นเองกับมือเพื่อนำเสนอให้ฝ่าบาทพิจารณาในช่วงที่ใกล้เกษียณ จากนั้นก็พูดแนะนำบุคคลในรายชื่อให้ฝ่าบาทฟังต่อหน้าพระพักตร์ ทว่า ฉินลี่ชวนเนี่ยนะ นำเสนอชื่อบิดา?
หลังจากเรื่องผูกดวง อวิ๋นหว่านชิ่นก็พอจะรู้ว่า อวิ๋นเสวียนฉั่งต้องหงุดหงิดใจตอนไปทำงานที่กรมกลาโหมแน่ เพราะต้องถูกฉินลี่ชวนกดดันในทุกๆ ด้าน ด้วยฉินลี่ชวนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ชั่วชีวิตกลัวก็แต่ถูกคนทำร้าย แล้วจู่ๆ เหตุใดถึงใจกว้างขึ้นมา ช่วยผลักดันบิดา ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เล่า
ต่อเนื่องกับเรื่องหย่าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกขัดขวาง บวกกับเรื่องจวนโหวรับอวิ๋นหว่านเฟยเข้าจวน ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อยๆ สว่างขึ้น