วันรุ่งขึ้น อวิ๋นเสวียนฉั่งก็เชิญช่างก่อสร้างมาที่จวน
หลังห้องบูชาบรรพชนมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีเรือนว่างอยู่เรือนหนึ่งพอดี หนึ่งห้องโถงหนึ่งห้องนอน พ่วงด้วยห้องเล็กๆ กับห้องครัวเตี้ยๆ ที่มีคราบเขม่าควันติดผนัง จึงไม่จำเป็นต้องต่อเติมอะไรอีก คงโครงสร้างเดิมแล้วตกแต่งเพิ่ม เปลี่ยนประตูหน้าต่าง ทาสี ทำความสะอาด แล้วนำพระพุทธรูปกับรูปปั้นเทพเจ้ามาวาง ปูที่นอนหมอนมุ้ง คนก็ย้ายเข้าอยู่ได้ทันที
ตอนถงฮูหยินส่งคนไปบอกไป๋เสวี่ยฮุ่ย ว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งจัดการให้นางอยู่อย่างไรนั้น นางก็หน้าซีดตัวสั่นทันที ด้วยนึกมาตลอดว่า พอหัวหน้าไป๋เข้ามาจัดการ ตนก็จะพ้นโทษ ไหนเลยจะคิดว่ายังต้องถูกลงโทษต่อ ด้วยการกักบริเวณไว้ในจวนอีกรูปแบบหนึ่ง โดยคงสถานะฮูหยินไว้แค่ชื่อ
ซึ่งตนยังจะทำอะไรได้อีก อย่างไรก็ยังดีกว่าถูกไล่ออกจากบ้านสกุลอวิ๋น อย่างน้อยก็ยังรักษาตำแหน่งฮูหยินรองเจ้ากรมไว้ได้ วันนั้นน้องสาวก็บอกแล้วว่า ‘ให้ปล่อยวางสถานะ แล้วรอโอกาสพลิกสถานการณ์’ คำพูดนี้เสมือนคำพูดปลุกใจ เสมือนเสียงกลองศึกในหัวของไป๋เสวี่ยฮุ่ย น้องสาวรับใช้ผู้สูงศักดิ์ในวังมานาน ย่อมระวังตัวมากในการก้าวเดินแต่ละก้าว รู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจมากกว่าตนเอง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงเชื่อนางหมดใจ พอคิดได้เช่นนี้ หนทางที่มืดแปดด้าน ก็คล้ายเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ตรงหน้า มีความหวังอยู่บ้าง จึงเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนสีหน้าจากใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาว เป็นสดใสและอ่อนโยนสุดๆ พร้อมเสียงละมุนละไม คล้ายเปลวเทียนในสายลม
“รบกวนช่วยบอกท่านแม่ด้วยว่า สะใภ้รับทราบแล้ว”
พอมอมอผู้มาแจ้งข่าวเห็นปฏิกิริยาของไป๋ฮูหยิน ก็ตกใจ ฮูหยินเปลี่ยนนิสัยแล้ว ไม่ร้องไห้โวยวาย ไม่บ่นไม่ว่า ยิ่งไม่แตกตื่นขวัญเสีย จึงประสานมือ
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นช่วงบ่าย ข้าจะให้อาเถาย้ายเข้าไปพร้อมฮูหยิน โดยมีอาหารการกินและข้าวของเครื่องใช้ได้ จัดเตรียมไว้ให้แล้ว” ชะงักเล็กน้อย ตาชราเจ้าเล่ห์กลอกไปมา ก่อนพูดเป็นนัย “ภายในเรือนจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ไม่ขาดไม่เกิน แต่ถ้ามีปัญหาอะไร ฮูหยินก็บอกอาเถาตรงๆ อาเถาจะจัดการให้ ผู้อาวุโสย้ำว่า ฮูหยินต้องกินเจสวดมนต์ ไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมคารวะ ปกติถ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็ไม่ควรออกจากเรือน รวมทั้งวันงานประเพณีด้วย”
นี่คือการกักขังให้ตายทั้งเป็น
แม้คำพูดแต่ละคำของมอมอที่อยู่ตรงหน้าเรียกตนว่าฮูหยิน แต่เห็นชัดว่าน้ำเสียงและท่าทางได้ถือว่าตนเป็นคนนอกคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ในจวนสกุลอวิ๋นไปแล้ว
หัวใจไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนถูกกรีดจนเลือดไหลซิบๆ แต่ใบหน้ากลับยิ่งอ่อนโยนและอ่อนน้อม หลุบตาลงพลางว่า “ได้สิ มอมอ”
บ่ายวันนั้น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ได้ย้ายเข้าไปในเรือนหลังห้องบูชาบรรพชน เริ่มใช้ชีวิตสวดมนต์ไหว้พระและอยู่
อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ชูซย่าเคยมาเยี่ยมๆ มองๆ เรือนหลังนี้ แม้ผ่านการตกแต่งแล้ว แต่ก็ยังมีหญ้าขึ้นรกอยู่รอบๆ ผนังเสียหายบางส่วน เนื่องจากอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่เย็นและชื้น ปกติไม่มีใครเข้ามา แม้ก่อนมา อาเถาได้ทำความสะอาดแล้ว แต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ หนู มดและแมลงต่างๆ ก็ยังชุมอยู่ อย่าว่าแต่ผู้ที่เคยอยู่หรูหรามาก่อนอย่างฮูหยินเลย สาวชาวบ้านธรรมดามาเห็นก็ยังขนลุกขนพอง
ชูซย่ากลับมารายงานอวิ๋นหว่านชิ่นว่า ช่วงหัววัน อาเถาทำงานอยู่ในจวน ตกกลางคืนถึงจะแวะเข้าไป ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงอยู่ตัวคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่ที่รกร้างแบบนั้น ต่อให้อยากเนรมิตให้มีชีวิตชีวา ก็มิได้ใช้เวลาแค่วันสองวัน
มอมอกลับไปรายงานสถานการณ์กับผู้อาวุโสที่เรือนตะวันตก โดยเล่าปฏิกิริยาของไป๋เสวี่ยฮุ่ยให้ฟังอย่างละเอียด ถงฮูหยินฟังแล้วก็เพียงหัวเราะเย็นชา
“นับว่ายังมีความอับอายอยู่บ้าง ครั้งนี้ถึงไม่ร้องไห้วิงวอนอีก แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่า แบบนี้ปรานีนางเกินไป อย่างน้อยนางก็ยังมีกิน มีใช้ มีที่ซุกหัวนอน ถ้ามิใช่เห็นแก่…เฮอะ…รอลูกข้าได้ตำแหน่งให้แน่นอนก่อน…” ประโยคสุดท้ายนางก็ไม่พูดแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้ อยู่ในเรือนตะวันตกเช่นกัน
หลายวันมานี้ นางกับถงฮูหยินสนิทกันมากขึ้น โดยเริ่มแรกนางเห็นแก่ตัวอยู่บ้างที่จงใจล่อหลอกให้ท่านย่ามา เพราะต้องการฉีกหน้ากากไป๋เสวี่ยฮุ่ย ด้วยเห็นว่าถ้าในบ้านมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่ไม่ประนีประนอม อาจทำลายดุลอำนาจหลังบ้านของไป๋ฮูหยินลงได้
ตอนท่านย่าเพิ่งมาถึงบ้านสกุลอวิ๋นนั้น นางรู้สึกค่อนข้างเหินห่างกับท่านย่า แต่หลายวันมานี้ นางกลับรู้สึกว่าท่านย่ามีแง่มุมที่น่าทึ่งอยู่มาก มีจุดยืนของตัวเองและมีจิตใจเที่ยงธรรมแบบที่คนในเมืองไม่ค่อยมีกัน นางจึงมักมาที่เรือนตะวันตก มาพะเน้าพะนอท่านย่า
ซึ่งสำหรับอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว การพะเน้าพะนอเช่นนี้ มิใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด เมื่อชอบใจใคร นางก็อยากทำอะไรให้จากใจจริง บางครั้งก็ดึงเสื้อท่านย่า ล้อท่านย่าเล่น ทำตัวน่ารักกระจุกกระจิก อะไรก็ล้วนทำได้หมด วันนี้ยังนำยาแช่เท้ามาให้โดยเฉพาะ บอกว่าตั้งแต่ท่านย่าเริ่มปวดข้อเข่า นางก็ลงมือทำแล้ว และวันนี้สบโอกาส ได้นำมาให้ท่านย่าใช้รักษาเข่าที่ปวดพอดี
เดิมทีถงฮูหยินไม่เชื่อ เพราะดูไปแล้วสมุนไพรหลากสี น่าจะแค่ดูสวยสะดุดตามากกว่า แต่ก็รู้สึกชื่นใจในความกตัญญูของหลานอย่างบอกไม่ถูก จึงรับไว้
ตอนมอมอมาแจ้งข่าวเรื่องไป๋เสวี่ยฮุ่ย อวิ๋นหว่านชิ่นก็อยู่ในห้องด้วย กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง เล่นกับอาชิง ป้อนส้มที่แกะแล้วให้อาซิงกินทีละกลีบ พอได้ยิน ก็ยิ้มตาหยี โน้มตัวไปยัดส้มหนึ่งกลีบใส่ปากท่านย่า
“ท่านย่าลองชิมดู หวานใช่ไหม”
ถงฮูหยินรู้ว่าหลานสาวพยายามเบี่ยงเบนประเด็นสนทนา เพื่อไม่ให้ตนต้องเสียอารมณ์อีก จึงกัดส้มไป
สองที ความเปรี้ยวหวานที่กลมกล่อมของน้ำส้มซึมซาบเข้าสู่ลิ้น ไหลลงไปในลำคอ ทำให้ชื่นฉ่ำใจ พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มหน้าบาน ก็สะกิดเรื่องที่อยู่ในใจให้อดคิดไม่ได้ จึงยิ้มพลางว่า
“ยังคงเป็นชิ่นเอ๋อร์ที่รู้ใจคนแก่เป็นที่สุด คุณชายรองมู่หรงนั่นดูคนไม่เป็นจริงๆ ข้าชักอยากรู้แล้วว่า ต่อไปใครกันหนอ จะได้เป็นผู้โชคดีที่ได้แต่งกับชิ่นเอ๋อร์ของข้า”
เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากหน้าแดง แต่เมื่อผู้อาวุโสของบ้านถามถึงเรื่องเนื้อคู่ สาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนถ้าไม่หน้าแดง ก็จะดูแปลกประหลาดไป จึงก้มหน้าลง หัวเราะ
ถงฮูหยินก็หัวเราะ “อายหรือ เอาล่ะๆ ย่าไม่พูดแล้ว ไม่ได้การ ย่ายิ่งมองดูเจ้า ก็ยิ่งเห็นอาการหน้าแดงเพราะใจเต้นแรงของเจ้า รอให้พ่อเจ้าจัดการเรื่องยุ่งๆ นี่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ย่าจะทำการเลือกคู่หมั้นให้เจ้า!”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเงยหน้าขึ้น “ท่านย่า หลานไม่รีบ ข้อแรก ที่บ้านเพิ่งเกิดเรื่องมากมาย ท่านพ่อก็กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ต้องยุ่งมากๆ ข้อสอง หลานอายุยังน้อย ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องรีบคว้าใครมาแต่งงานด้วย”
ถงฮูหยินสั่นศีรษะ “อะไรไม่รีบ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผู้หญิงเราก็ช่วงนี้ล่ะ สดใสอย่างนี้ถ้าไม่รีบหมั้น จะรอให้เหลืองก่อนค่อยหมั้นหรือ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องโกรธย่ากับพ่อเจ้าแน่! พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้ก็ได้แต่ให้เจ้าดูไปก่อน ถ้าเจอคนดีๆ ค่อยดำเนินการตามขั้นตอน ไม่ได้บอกให้เจ้ารีบแต่งสักหน่อย! แต่จะว่าไป อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว เฟยเอ๋อร์ที่ไม่เก่งนั่น อายุน้อยกว่าเจ้า ยังออกเรือนไปแล้ว ข้าถึงบอกว่าเจ้าอายุไม่น้อยไง!”
อวิ๋นหว่านเฟยนั่นทำตัวเอง เพราะกลัวว่าจะแต่งกับคนที่ไม่สูงส่งพอ จึงพยายามปีนป่าย สุดท้ายหมดหนทาง จนต้องยัดเยียดให้เขาไป แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่รีบร้อนสักนิด ยังคงความคิดเดิม ไม่ว่อกแว่ก ยอมไม่มี ดีกว่ามีแล้วไม่ได้คุณภาพ ถ้าได้ไม่ดี ยอมไม่เอา ถ้างานแต่งงานในอนาคตของตนเป็นเช่นดังชาติที่แล้ว เช่นนั้น ที่ตนเกิดใหม่ในครั้งนี้ จะมีความหมายอะไร
เมื่อถงฮูหยินเห็นหลานสาวไม่พูดไม่จา จากประสบการณ์ ทำให้นึกเอะใจ จึงถามด้วยความสงสัย
“ชิ่นเอ๋อร์จ๊ะ หรือเจ้ามีใครอยู่ในใจแล้ว”
เด็กสาวในวัยนี้ ตกหลุมรักง่าย แม้คุณหนูในเมืองต้องอยู่ในกฎเกณฑ์มากมาย ไม่เหมือนเด็กสาวในชนบทของไท่โจว ที่อยู่นอกบ้านทั้งวัน แต่ก็น่าจะมีโอกาสได้เจอหนุ่มๆ บ้าง ยิ่งหลานสาวเป็นคนเก่ง การพูดและการกระทำไม่เหมือนเด็กๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้านางจะดึงดูดใจผู้ชาย
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบสั่นศีรษะ “ท่านย่าพูดอะไรก็ไม่รู้ หลานจะไปรู้จักกับใครในใจอะไรนั่นได้อย่างไรกัน”
ถงฮูหยินเห็นสีหน้านางจริงจัง ไม่เหมือนกำลังพูดปด จึงถอนหายใจพลางพยักหน้า
“ก็ใช่ ใช่ว่าใครต่อใครจะเป็นเหมือนเฟยเอ๋อร์ของเรา ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ยั่วยวนผู้ชายก่อนแต่ง กระทั่งเรื่องแบบนั้นยังทำไปได้ เฮ้อ…”
พอได้ยินคำว่า ‘เรื่องแบบนั้น’ ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นก็คล้ายถูกสะกิด หัวสมองวาบ ปรากฏภาพตนเองตอนอยู่บนรถม้ายามค่ำคืนในหมู่บ้านสกุลเกา…จึงใจลอยไปบ้าง แต่นี่จะกล่าวโทษตนไม่ได้ ต้องโทษคนผู้นั้น ที่เมาแล้วขาดสติ