เหล่าองค์ชายเดินเข้าไปในศาลา ถวายพระพรเจี่ยไทเฮาด้านล่างบันไดมรกต
พอเจี่ยไทเฮาเห็นหน้าหลานๆ ก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ ก่อนพูดเสียงดังกังวาน
“พาองค์ชายไปนั่งประจำที่”
ปกติแล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ ก็คืองานเลี้ยงพบปะสังสรรค์เล็กๆ เป็นการส่วนตัวในแวดวงชนชั้นสูง จึงไม่มีพิธีรีตองมากมาย ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยง กับข้าวหลักยังไม่มา เจี่ยไทเฮาจึงโบกมือ ให้ทุกคนบริการตนเอง กินดื่มรองท้องไปพลางๆ ก่อน
โต๊ะของรัชทายาทกับเหล่าองค์ชายอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับโต๊ะของพวกอวิ๋นหว่านชิ่น ซึ่งแต่ละคนก็ได้ถกชุดยาวแล้วนั่งลงตามสถานะของตน ไม่นานนัก ก็มีองค์ชายองค์หญิงอีกหลายท่านทยอยกันเดินเข้างานมา
ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว กลุ่มองค์ชายที่เพิ่งมาถึง ได้รับความสนใจมากกว่ากลุ่มคุณชายชั้นสูงอย่างเห็นได้ชัด สายตาเจ้าชู้ของกลุ่มสาวๆ ชั้นสูงพุ่งไปยังร่างของลูกท่านหลานเธอ ก่อนหันมากระซิบกระซาบแล้วพากันเขินหน้าแดง
โดยสักพักก็พูดว่า องค์ชายสามเทห์และหล่อเกินห้ามใจมากสุด มีความห้าวหาญในแบบที่ผู้ชายภาคกลางไม่มี สมกับที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในเพลงยาวของแวดวงสาวชั้นสูง เพียงแต่ใบหน้าดูเย็นชาไปหน่อย เหมือนเข้าหาค่อนข้างยาก จึงถูกหักคะแนนไปบ้าง
สักพักก็พูดถึงบุคลิกของรัชทายาทว่า ดูงามสง่ากว่าครั้งก่อนที่ได้พบเจอ แต่ยังคงไม่มีราศีของผู้สืบราชบัลลังก์เสียเท่าไหร่ กลับเหมือนเซียนที่ละแล้วซึ่งกิเลศจากโลกภายนอกมากกว่า
สักพักก็พูดถึงองค์ชายแปดเยียนอ๋องว่า แม้อายุเพียงสิบสี่ แต่รูปร่างสูงโปร่ง มวยผมเรียบร้อย หน้าตาก็ดี ต้องโตเป็นหนุ่มหน้าสวยอีกคนแน่ อนาคตย่อมมิอาจดูเบา…
เหล่าคุณหนูต่างส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว งานเลี้ยงสังสรรค์จึงคึกคักไม่หยุด
จุดประสงค์สูงสุดของเจี่ยไทเฮาในการจัดงานเลี้ยงก็คือ อยากเปิดโอกาสให้ลูกหลานชายหญิงผู้สูงศักดิ์ได้มาพบเจอกัน สำหรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าคุณหนูนั้น แม้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังสงวนท่าที กระทั่งภาคภูมิใจพลางเห็นอกเห็นใจ เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็พูดถึงหนุ่มๆ สกุลซย่าโหวทั้งนั้น คนเป็นย่าก็ต้องปลื้มปิติเป็นธรรมดา
สักพัก เจี่ยไทเฮาก็หันมาคุยกับหลานๆ โดยยิ้มพลางมองหน้าแต่ละคนอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนถาม
“หมู่นี้รัชทายาทช่วยราชกิจฝ่าบาท ราบรื่นดีไหม”
“เรียนเสด็จย่า” รัชทายาทยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเช่นเคย “เสด็จพ่อบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีประสบการณ์มากมาย หลานคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างพระองค์ทุกวัน ได้เรียนรู้ไม่น้อย ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจ ก็ถามจากขุนนางอาวุโสและสมุหนายกอวี้จนเข้าใจ”
“ดีๆ” เจี่ยไทเฮาพยักหน้าอย่างพอพระทัย ด้วยทรงหวังให้ผู้สืบบัลลังก์แห่งแคว้น พยายามเรียนรู้และ
ฝึกฝนเรื่องการเมืองการปกครองให้ดี จึงหันหาฉินอ๋อง
“ฉินอ๋องล่ะ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เพิ่งเปลี่ยนฤดู อากาศเย็นเร็ว โรคเก่ากำเริบหรือเปล่า ย่าดูสีหน้าเจ้าแล้ว เหมือนซีดไปหน่อยนะ”
หลานคนนี้ไม่สบายเพราะถูกพิษตอนอายุสามขวบ จึงถูกส่งตัวไปอยู่นอกวัง แม้เจี่ยไทเฮาผูกพันด้วยไม่มาก แต่ทุกครั้งที่นึกว่า องค์ชายที่รูปร่างสูงใหญ่และสง่างามคนหนึ่ง กลับไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง แต่พอมีจวนฉินอ๋องเป็นของตัวเอง ก็ไปสร้างเสียไกลลิบ มิได้อยู่ใจกลางเมืองหลวงเสียนี่ ในใจจึงนึกเสียดายมาเสมอ
ซย่าโหวซื่อถิงตอบอย่างนอบน้อม
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงห่วงใย บ่าวในจวนอ๋องดูแลหลานเป็นอย่างดี ซึ่งหลานก็จำข้อห้ามต่างๆ จนขึ้นใจ และพยายามรักษาสุขภาพให้ดี เสด็จแม่จะได้ไม่กังวลพระทัย”
“อืม” เจี่ยไทเฮายิ้มอย่างมีเมตตา “ฉินอ๋องก็รู้ความไม่น้อย”
แล้วจึงหันไปถามเยี่ยนอ๋อง จิ่งอ๋อง เฝินอ๋อง และองค์หญิงอีกหลายคน ซึ่งทุกพระองค์ก็ตอบคำถามอย่างนอบน้อมและชัดถ้อยชัดคำ
ในงานเลี้ยง บรรยากาศเต็มไปด้วยความปรองดอง
สุดท้าย เจี่ยไทเฮาก็หันไปมองหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อีกด้าน
และแน่นอน ในสายตาของผู้สูงศักดิ์ในวัง สถานะของอวี้โหรวจวงย่อมไม่ต่ำต้อย เจี่ยไทเฮาจึงเรียกชื่อนางเป็นคนแรก
“ไม่เห็นหน้ากันหลายเดือน โหรวจวงสวยขึ้นอีกแล้ว”
อวี้โหรวจวงลุกขึ้นยืน โดยมีลวี่สุ่ยคอยจับปลายกระโปรงระพื้นให้ ก่อนเดินออกจากที่นั่งไปกับคุณหนู
พออวี้โหรวจวงเดินมาถึงกลางพรมแดง ก็ถอนสายบัวตามมาตรฐานอย่างอ่อนช้อย
“ขอบพระทัยที่ทรงชมเชยโหรวจวง ขอไทเฮาจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ดุจเดือนดุจตะวัน ดุจต้นสนดุจเทพเซียน เป็นร่มโพธิร่มไทรตลอดไป”
“ดี ลุกขึ้นเถิด”
เจี่ยไทเฮาได้รับคำอวยพรจากเหล่าขุนนางในพิธีเฉลิมฉลองมาแล้ว และคำอวยพรให้อายุมั่นขวัญยืนก็ฟังมามาก แต่เมื่อสาวงามชุดแดงด้านล่างเป็นผู้พูด ก็รู้สึกเจริญตาเจริญใจยิ่ง คำอวยพรนี้แม้ไม่มีอะไรใหม่ แต่ก็มีน้ำหนักและไม่ผิดอะไร จึงผายมือ บอกให้ลุกขึ้นยืน
“มอบหยกสมปรารถนาให้คุณหนูอวี้”
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” จูซุ่น ขันทีข้างกายเจี่ยไทเฮาก้าวลงไปมอบของขวัญให้
อวี้โหรวจวงเดินกลับไปนั่งที่เดิม ท่ามกลางสายตาริษยาของสาวๆ งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน นางก็ได้รับคำชมและของขวัญจากไทเฮาเสียแล้ว ในบรรดาหญิงสาวชั้นสูง ใครเล่าจะสนิทสนมกับพระบรมวงศานุวงศ์ถึงเพียงนี้อีก ดวงตาหงส์อันงดงามเปล่งประกายภาคภูมิใจเฉียงออกมาขณะหันมองไปรอบๆ ก่อนหยุดสายตาไว้ที่อวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่า ตั้งแต่นั่งลงจนถึงตอนนี้ สายตาที่มองนาง มิได้มีเพียงคู่เดียว จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง โดยนอกจากอวี้โหรวจวงแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง…สายตาคู่นั้นร้อนแรงจนค่อยๆ ร้อนระอุ
เจี่ยไทเฮามองตามร่างที่งดงามอย่างไร้ที่เปรียบของอวี้โหรวจวง พลางนึกอะไรในใจ
ลูกสาวของอวี้เหวินผิงคนนี้ ช้าเร็วก็ต้องเป็นสะใภ้สกุลซย่าโหว ตอนนี้องค์ชายที่เจริญวัย นอกจากองค์ชายใหญ่ กับองค์ชายรองที่แต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว ผู้ที่โตสุดก็คือฉินอ๋อง ส่วนรัชทายาทอ่อนกว่าฉินอ๋องสองปี แม้ยังไม่ตกแต่งชายา แต่จะร้ายจะดีตำหนักบูรพาก็ยังมีสนมอยู่หลายคน ทว่าฉินอ๋องนี่สิ แม้แต่นางกำนัลที่คอยรับใช้สักคนก็ยังไม่มี
หนิงซีฮ่องเต้เคยหารือกับเจี่ยไทเฮาแต่แรกแล้วว่า จะให้อวี้โหรวจวงแต่งกับฉินอ๋อง เพียงแต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา…เจี่ยไทเฮาจึงคิดว่า ตอนนี้มิสู้เกริ่นนำไปก่อน แล้วพองานเลี้ยงเลิก ค่อยให้ฝ่าบาทมอบสมรสพระราชทานให้? ด้วยงานเลี้ยงในทุกๆ ปี มักมีการจับคู่ให้ชายหญิงไม่คู่ ก็สองคู่
คิดได้เช่นนี้ ก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า ปีนี้คู่ที่ออกก็คือฉินอ๋องกับคุณหนูอวี้!
เมื่อเจี่ยไทเฮามีแผนในใจ ใบหน้าก็ยิ่งแย้มยิ้ม ขณะเกริ่นนำ
“เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว โหรวจวงโตขนาดนี้ ควรออกเรือนได้แล้ว ทว่า ย่าดูจากหน้าตาและกิริยาที่เพียบพร้อมของเจ้าแล้ว ในงานเลี้ยงของทุกๆ ปี เจ้าโดดเด่นเป็นที่หนึ่งเสมอ เช่นนี้คุณชายบ้านขุนนาง ไหนเลยจะกล้าแต่งกับเจ้าเล่า”
คำพูดนี้กำลังบอกว่า มีเพียงเหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่คู่ควร
“ถ้าไทเฮายังยอโหรวจวงเช่นนี้อีก โหรวจวงคงต้องหาทางมุดหนีลงดินแล้ว สาวงามในงานเลี้ยงมีอยู่มากมาย โหรวจวงไม่นับเป็นอะไรหรอกเพคะ” อวี้โหรวจวงยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง
“ถ่อมตนไปทำไม” เจี่ยไทเฮาหัวเราะ
“ที่หนึ่งนอนมาเห็นๆ ไม่นับเป็นอะไรได้อย่างไร ไหนเจ้าลองว่ามาซิ ว่านอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่มาปั๊บ ก็ทำให้คุณชายผู้สูงศักดิ์ทุกคนพากันเข้าแถวรอเกี้ยวพาราสีน่ะ”
อวี้โหรวจวงเขินจนหน้าแดง จะไม่ยอมแพ้อีก เรื่องไม่สบอารมณ์ที่ตึกไจซิง นับว่ามลายหายสิ้น
แม้คุณหนูบ้านขุนนางทุกคนยอมรับว่าอวี้โหรวจวงมีหน้าตาและกิริยาที่โดดเด่น แต่พอเห็นไทเฮาเยินยอนางดุจเทพธิดาบนฟ้า ด้านหนึ่งก็ทำให้หญิงสาวชั้นสูงคนอื่นๆ รู้สึกว่าไม่มีตัวตน คล้ายมาเพื่อขับให้อวี้โหรวจวงโดดเด่น แต่ละคนจึงรู้สึกอิจฉาตาร้อนอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าพูดอะไร