ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างซุ้มประตูโค้ง เขาสวมชุดยาวสีม่วงทองปักลายมังกรสี่เล็บ กับเสื้อคลุมสีเงินเทาตัวใหญ่ แม้พูดเสียงยิ้ม แต่สีหน้ากลับนิ่งเฉย กระทั่งดวงตาอันล้ำลึกยังมีความเย็นชาที่พูดไม่ออกอยู่
น่าจะเดาออกแต่แรกแล้วว่า นอกจากเขา ยังจะมีใครกล้ายืมชื่อของสนมเอกเฮ่อเหลียนแอบเรียกตนออกมาอีก อวิ๋นหว่านชิ่นขยำชายเสื้อ อดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น แต่ชุดของเขาในวันนี้คือชุดตามขนบขององค์ชายแห่งราชสำนักต้าเซวียน ซึ่งต่างกับที่ตนเคยพบเจอเมื่อครั้งก่อนๆ จึงต้องถอนสายบัว
“ถวายบังคมฉินอ๋อง” แล้วค่อยพูดอย่างอดไม่ได้ “…ท่านอ๋องควรเชิญหม่อมฉันมาอย่างเปิดเผย เหตุใดต้องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันตกใจหมด”
ตอนนี้อยู่ในวัง ด้านข้างยังมีขันที ต้องเปลี่ยนเป็นเรียกให้เหมาะสมหน่อย จะทำตัวตามสบายไม่ได้
ใบหน้าอันหล่อเหลาของซย่าโหวซื่อถิงปรากฏรอยยิ้มบางๆ ก่อนว่า
“ที่แท้เจ้าก็ตกใจเป็นด้วย? ทีในงานเลี้ยงนำสุราของข้าไปเล่นงานผู้อื่น ข้าก็ยังไม่เห็นเจ้าตกใจเลย ตอนถูกไทเฮาเรียกไปด้านหน้าเพื่อรับโทษ ข้าก็ยังคงไม่เห็นเจ้าตกใจเช่นกัน แล้วตอนนี้ ทำไมถึงได้กลายเป็นคนขี้ขลาดไปได้ล่ะ”
ชายหนุ่มพูดพลางเดินเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ แต่สายตายังคงนิ่งเฉย นิ่งจนคล้ายเวิ้งน้ำลึก น้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อครู่มลายหาย กลับบวกความเข้มและเฉียบคมเข้าไป คล้ายสัตว์ป่าก่อนถูกล้อมล่า ที่ใช้สายตาตรวจสอบและระมัดระวังเพื่อเตรียมจู่โจม
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้ว …เขาไม่เพียงรู้ว่าสุราป้านนั้นมีปัญหา ยังสงสัยอีกด้วยว่าตนรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า
“หรือท่านอ๋องรู้สึกว่า หม่อมฉันสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นมาทำร้ายพระองค์”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับถามอย่างสงบนิ่ง ไม่โกรธที่เขาสงสัย ถ้าเป็นตนเอง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเดาเช่นกัน
เขากับนางแม้พบเจอกันหลายครั้ง แต่บอกตามตรง ก็ยังเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่ดี แล้วจะเรียกร้องให้ทั้งสองผสานผลึกใสกับอวัยวะภายในรวมกัน คบหากันอย่างจริงใจ เชื่อใจซึ่งกันและกันได้อย่างไร โอรสสวรรค์มักหวาดระแวงมาแต่อดีต ผู้ที่จะเป็นฮ่องเต้ในอนาคต ถ้าใสซื่อบริสุทธิ์ เชื่อคนได้ง่ายๆ นางก็อาจดูหมิ่นด้วยซ้ำ
แม้ซย่าโหวซื่อถิงไม่รู้ว่า เหตุใดนางถึงรู้ว่าสุรามีปัญหา แต่กลับเชื่อว่านางไม่มีทางสมคบคิดกับผู้อื่นเพื่อทำร้ายตนเองแน่ เพราะถ้านางทำเช่นนั้น เหตุใดต้องช่วยตนเอง โดยไม่ห่วงว่าจะถูกลงโทษด้วยเล่า แววตาจึงลึกล้ำลง
“ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่า คุณหนูอวิ๋นจะสังเกตเห็นและช่วยข้าแก้ไขสถานการณ์”
สุราป้านนั้น ถ้ายกไปรินให้ไทเฮา ผลลัพธ์ย่อมแย่เกินจินตนาการ ต่อให้ไม่ได้คิดทำร้าย อย่างไรเขาก็เป็นผู้คารวะสุรา ย่อมต้องยอมรับผิด โทษฐานประมาทเลินเล่อ
ชายผู้นี้กลับไม่ถามมากความ และเหมือนไม่คิดถามอะไรมาก กลับคิดคำอ้างให้ตน…อย่างคำว่าสังเกตเห็น อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโล่งใจ ดวงตาทอประกาย
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เชื่อใจ” ชะงักเล็กน้อย “แล้วท่านอ๋องตรวจพบหรือยังว่า สุรานั่นใครเป็นคน…”
ซย่าโหวซื่อถิงคล้ายมองเจตนานางออก จึงจ้องนางนิ่ง “เจ้าห้า”
เขาตรงไปตรงมาดี พูดออกมาตรงๆ! อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าระหว่างเขากับเว่ยอ๋องมีความแค้นสะสมกันยาวนาน คนนอกล้วนดูออก เขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขา “เสียดาย ไม่มีหลักฐาน จึงเปิดโปงไม่ได้ว่า องค์ชายห้าเจตนาประทุษร้าย และเมื่อองค์ชายห้าสามารถสับเปลี่ยนป้านสุราของท่านอ๋องได้ คิดว่ามือไม้ที่ใช้ก็ต้องจัดการให้สะอาดสะอ้าน”
พอเห็นเขาครุ่นคิดไม่พูด จึงปลอบโยน “ทว่าฟ้ามีตา ถ้าองค์ชายห้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่แก้ไข ช้าเร็วก็ต้องมีเบาะแสรั่วไหลออกมาจนได้”
ซย่าโหวซื่อถิงเอะใจ พลันก้าวเข้ามา โน้มตัวลงข้างใบหูของหญิงสาว
“ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องฟ้ามีตามาแต่ไหนแต่ไร พึ่งพาตัวเองนี่ล่ะ ทำได้จริง”
น้ำเสียงต่ำลงไปอีกสองขั้น คล้ายยับยั้งความคิดบางอย่างไว้
“วางใจ ข้าไม่ให้เจ้าต้องเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์หรอก”
ปฏิกิริยาของอวิ๋นหว่านชิ่นคือ ถอยออกสองก้าว ดูท่าฉินอ๋องน่าจะได้หลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะเอาผิดกับเว่ยอ๋องในข้อหาประทุษร้ายแล้ว พอคิดได้เช่นนี้ ก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง จึงทำปากยื่นปากยาว พลางว่า
“มีเรื่องๆ หนึ่ง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่มีโอกาสถาม ตอนนี้ได้โอกาสเหมาะพอดี น้องสาวหม่อมฉันถูกท่านอ๋องเรียกให้ไปพบนอกตึกไจซิง แล้วทำไมถึงอยู่กับเว่ยอ๋องได้ หรือท่านอ๋องเป็นผู้บงการ ส่งลูกสาวบ้านอวิ๋นให้พี่น้องบ้านท่าน ท่านอ๋องรู้จักยืมดอกไม้ถวายพระนี่”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางหลบออก จมูกจึงแดงเล็กน้อย และซึมไปบ้าง
“ข้าไม่ใช่พ่อสื่อ จะบงการเรื่องนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นวาสนาของน้องสาวเจ้ากับเว่ยอ๋องเอง น้องสาวเจ้าคนนี้มักใหญ่ไฝ่สูงกว่าเจ้ามาก ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะจับผู้ชายชั้นสูงให้ได้ เจ้าเป็นลูกเมียหลวง นางเป็นลูกเมียน้อย โดยสถานะแล้วเจ้าคือผู้ชนะ แต่ตอนนี้สามีนางเป็นถึงอ๋องเชื้อพระวงศ์ ต่อไปเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะชนะนาง”
หมายความว่า ตนต้องหาอ๋องสักคน จะได้ไม่แพ้อวิ๋นหว่านถงหรือ และตรงหน้านี่ก็คนหนึ่ง ที่มาประเคนให้ถึงที่ ถ้าไม่เอาก็เสียเปล่า
คำพูดนี้ เป็นการบอกใบ้ซึ่งกำกวมสุดในสองชาติที่อวิ๋นหว่านชิ่นเคยพบเจอมา แต่ไม่รู้ทำไม เกรงว่าเขาจะเหมือนตอนจากลากันบนเขาหลงติ่ง ที่พูดจาเหลวไหลไร้สาระอีก จึงรีบกระพริบตา แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“เชื้อพระวงศ์ทำให้ชีวิตรุ่งโรจน์เพียงช่วงระยะหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะมั่นคงตลอดไป”
เมื่อชาติที่แล้ว จุดจบของเว่ยอ๋องคือ โด่งดังไปทั่ว …แต่ ‘โด่งดัง’ ในเชิงลบ นางรู้อยู่แก่ใจดี
หรือต่อให้นางไม่รู้ จากนิสัยของเว่ยอ๋องที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตลอด ก็ไม่ต่างจากอวิ๋นจิ่นจ้งเมื่อชาติที่แล้วสักเท่าไหร่ จะได้ดีสักแค่ไหนเชียว ก็แค่รอเวลาเท่านั้น
ซย่าโหวซื่อถิงเก็บสายตาคืนกลับ ครั้งก่อนนางก็เป็นคนเตือนให้ตนเปลี่ยนสาวใช้ข้างกายเสด็จแม่
ตอนนี้นางยังรู้อนาคตของเว่ยอ๋องอีก เด็กคนนี้ ในหัวมีอะไรกันแน่ จิตวิญญาณเป็นอย่างไรกัน หรือเป็นนางมาร
น้อยจริงๆ…คิดพลางใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาอีกอย่างอดไม่ได้ จึงตะเบ็งเสียงเข้ม
“ถอยออกไป”
พอขันทีได้ยินคำสั่ง ก็ก้มหน้าถอยออกไปไกลถึงระเบียงยาว
ชายหนุ่มจึงค่อยๆ พูดทีละคำ “เจ้ารู้สึกว่าเว่ยอ๋องจะรุ่งโรจน์ได้ไม่นาน”
ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นใสราวกระจก แจ่มชัดและสงบนิ่งขณะถามกลับ
“โลกนี้มีเรื่องที่อยู่ยั้งยืนยงด้วยหรือ อย่างมากก็เพราะมานะอุตสาหะ จึงยืดระยะเวลารุ่งโรจน์ออกไปได้ทว่า ถ้าแม้แต่เวลาที่ให้กับความมานะก็ยังไม่มีแล้วล่ะก็ ความเสื่อมของเกียรติยศก็รออยู่ไม่ไกล”
ซย่าโหวซื่อถิงพูดไม่ออก ได้แต่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
“พระมารดาของเจ้าห้าเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท บ้านสกุลเหวยจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณไปด้วย โดยทางบ้านมีแม่ทัพทางเหนืออยู่สองคน ผู้ว่าราชการเมืองในลุ่มแม่น้ำทั้งสามที่ทำงานในเมืองหลวงหนึ่งคน ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นคนใกล้ชิดของฝ่าบาททั้งสิ้น พวกเขาครอบงำกรมกองต่างๆ ตระกูลสูงศักดิ์และนักศึกษา มีเครือข่ายอยู่ทั่วไป ในราชสำนัก สกุลเหวยกลายเป็นก๊กๆ หนึ่ง ซึ่งมากอำนาจและบารมี โดยแม้แต่พระญาติของเจี่ยงไทเฮา ก็ยังไล่ตามไม่ทัน ขนาดคนสกุลอวี้ที่หยิ่งยโส เพราะเป็นสกุลผู้บุกเบิกแห่งแคว้น ก็ยังต้องเคารพนบนอบผู้ชายสกุลเหวย คนเช่นนี้…คุณหนูอวิ๋นกลับบอกว่ารุ่งโรจน์ได้ไม่นาน?”
“จันทร์เต็มดวง ถูกบดบังได้ฉันใด น้ำเต็มแก้ว ย่อมล้นออกได้ฉันนั้น” อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาของคำว่า ‘เต็ม’ แล้ว”
ดวงตาซย่าโหวซื่อถิงยิ่งลึกล้ำ “อ้อ?”
ดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่นใสกระจ่าง “ที่ไทเฮาตัดสินพระทัยยกน้องสาวหม่อมฉันให้เว่ยอ๋องนั้น ก็พอจะเห็นเค้าลางบ้างแล้ว ใช่ว่าหม่อมฉันจะเหยียดบ้านตัวเอง หรือดูหมิ่นตัวเอง น้องสาวเป็นลูกเมียน้อย บิดาเป็นขุนนางชั้นสาม ไม่มีบรรดาศักดิ์ การได้เป็นชายารองขององค์ชายถือว่าสูงไปบ้างจริงๆ ได้ยินมาว่าชายารองคนก่อนของเว่ยอ๋อง เป็นลูกสาวคนที่สองของขุนนางชั้นหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำตัวของรัชทายาท ซึ่งการนี้หม่อมฉันไม่รู้สึกว่าไทเฮาหลับหูหลับตาจับคู่ให้แต่อย่างใด…”
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าใจความหมายของนางแล้ว จึงตั้งใจฟังนางพูดต่อ
“…สกุลเหวยขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว ย่อมค่อยๆ ตกต่ำลง ขืนปล่อยให้แข็งแกร่งต่อ ก็รังแต่จะทำให้ราชวงศ์สูญเสียผลประโยชน์” พอใจความสำคัญถูกเผยออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็เงยหน้าขึ้นมองชายที่อยู่ตรงหน้า
“ถ้ายกชายาสูงศักดิ์ให้ ก็เท่ากับเพิ่มอำนาจให้เว่ยอ๋องอีก ระบบครอบครัวขององค์ชายต้าเซวียน ประกอบด้วยหนึ่งชายาเอก สองชายายรอง และสี่ชายาบ่าว น้องสาวหม่อมฉันมีชาติกำเนิดธรรมดา ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากในสายตาของไทเฮา และวันนี้ก็ทรงคว้าโอกาสนี้ไว้ได้พอดี ใยไทเฮาจะไม่ผลักเรือไปตามน้ำ พระราชทานให้เว่ยอ๋องเล่า น้องสาวหม่อมฉันพอเข้าจวนอ๋อง ก็จะได้ชื่อว่าชายารอง เป็นการลดทอนอำนาจสกุลเหวยได้อย่างแนบเนียน”
“นั่นเป็นเพียงความคิดลิดรอนอำนาจสกุลเหวยเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าก๊กสกุลเหวยจะสิ้นสุดตาม”
เสียงชายหนุ่มแผ่วเบา
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ้มน้อยๆ เช่นกัน รอยยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้างดุจดอกแพร์สองดอกอย่างไรอย่างนั้น สะอาดบริสุทธิ์โดนใจคน
“ท่านอ๋องจงใจทดสอบหม่อมฉันหรือ ถ้าฝ่าบาทไม่มีเจตนาเช่นนี้ เจี่ยไทเฮาจะตัดสินพระทัยพระราชทานสมรสเองอย่างเด็ดเดี่ยวได้อย่างไรกัน”