หญิงสาวขยับมือแล้วหมุนไปมาเพื่อให้ออกจากมือของเขา
อวิ๋นหว่านชิ่นตื่นจากห้วงภวังค์ที่ปล่อยใจไป ชาติก่อน คำบอกรักของมู่หรงไท่หวานและกินใจกว่าของเขาเป็นไหนๆ แล้วสุดท้ายล่ะ…
นางรู้ว่าไม่ควรบริโภคของหวานจนสำลัก เกรงว่าพอเขารู้ความจริงเข้า จะรับไม่ได้แล้วย้อนกลับมาทำร้ายนาง อีกอย่างชายผู้นี้ นางตอแยไหวหรือ
อาการต่อต้านและลังเลใจของหญิงสาว ทำให้แววตาเขายิ่งลึกล้ำ ดวงตาที่ลึกอยู่แต่เดิม ตอนนี้จึงยิ่งลึกจนยากแท้หยั่งถึง
และในตอนนี้เอง ขันทีหนุ่มที่ยืนยามอยู่ตรงระเบียงก็วิ่งเข้ามา
“ท่านสาม! พระสนมเอกส่งคนให้มาตามคุณหนูอวิ๋นแล้ว…”
ตอนนี้จึงจะเป็นสนมเอกเฮ่อเหลียนจริงๆ ที่ส่งคนมาตาม ด้วยทรงเห็นว่ารัชทายาทไปที่ศาลาปทุมหอมแล้ว และละครเฉลิมพระชนม์ก็เริ่มขึ้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่น จึงไม่ไว้วางใจ
ขันทีหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ ก็อึ้ง เพราะเห็นองค์ชายสามจับข้อมือของคุณหนูอวิ๋นไว้ จึงรีบยกมือขึ้นปิดตาอีกครั้ง ในวังมีเรื่องบางอย่าง ไม่ควรเห็นเป็นดีที่สุด ถ้าไม่อยากเดือดร้อน
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงฉวยโอกาสดึงมือกลับ แล้วถอยหลังสองก้าว
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอกลับไปงานเลี้ยงก่อน เพื่อไม่ให้พระสนมเอกต้องเป็นห่วง”
ครั้งนี้ ซย่าโหวซื่อถิงไม่ขวางนางอีก สีหน้ากลับเป็นปกติดังเดิม ปล่อยแขนเสื้อกว้างให้พลิ้วตามแรงลมของฤดูใบไม้ร่วง ก่อนว่า
“ต่อไป อย่าคบหากับรัชทายาทอีก”
เป็นคำสั่ง ไม่ใช่หารือ
อวิ๋นหว่านชิ่นทำปากเบี้ยว ต่อไปถ้าขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรได้ ก็ออกคำสั่งกับขุนนางไป อย่ามายุ่งกับข้าอีก
เขาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา ก็เลิกคิ้วเข้มขึ้น พูดย้ำ “ข้าไม่ได้หึง” ชะงักเล็กน้อย “รัชทายาทไม่น่าไว้ใจ เขามิได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่เจ้าเห็น”
คนที่ไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งกลับบอกว่าอีกคนหนึ่งไม่น่าไว้ใจ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง อวิ๋นหว่านชิ่นอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไร” ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้น ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง “ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยถอนสายบัวอย่างนิ่มนวล “เพคะ หม่อมฉันไม่หัวเราะแล้ว”
รอจนอวิ๋นหว่านชิ่นกับขันทีหนุ่มจากไป ซือเหยาอันก็ก้าวออกมาจากหลังซุ้มประตูโค้งตรงห้องหลานซิน ก่อนพูดเสียงเบา
“ท่านสามมิได้หึง เพราะเห็นรัชทายาทกับคุณหนูอวิ๋นใกล้ชิดกันจริงหรือ”
เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเจ้าไม่ควรยุ่งเกี่ยว เขานึกในใจพลางมองค้อนด้วยสายตาที่เย็นชาดุจคมมีด
ซือเหยาอันจึงได้แต่ขมวคิ้ว แล้วเงียบเสียงลง
รอจนอวิ๋นหว่านชิ่นไปถึงศาลาปทุมหอม งานเลี้ยงก็ดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว ละครเรื่องแปดเซียนถวายพระพรของรัชทายาทก็แสดงมาถึงฉากสุดท้ายพอดี
นางรู้สึกว่าถูกหลอกไปพูดคุยไม่กี่คำเอง ทำไมถึงนานขนาดนี้ได้
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นนางวิ่งหอบแฮ่กๆ มา ใบหน้าแดงระเรื่อ ก็ไม่ได้ถามมากความ เพียงบอกให้นั่งลง แล้วห้ามไม่ให้ไปไหนอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้ นางยังไม่ทันกินอิ่มก็ถูกรัชทายาทเรียกตัวไป ตอนนี้ท้องจึงร้องขึ้นมา สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นนางขมวดคิ้วพลางจับท้อง ก็สงสารพลางยิ้ม วัยรุ่นมักทนความหิวไม่ได้ จึงบอกคนในวังว่าให้ไปนำกับข้าวชาววังที่ตนเก็บเผื่อไว้ให้นางออกมา
เมื่อละครปิดฉากลง ผู้คนก็ปรบมือเกรียวกราว
และพอนางเงยหน้าขึ้น ชายผู้นั้นก็เดินกลับเข้ามาพอดี ช่างกะเกณฑ์เวลาได้เหมาะเจาะยิ่ง ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกินไป เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวย่างพลิ้วไหว คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะนั่งลง ก็ดึงดูดสายตาของเหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ให้หันมามอง
ในศาลาปทุมหอมริมทะเลสาบ เจี่ยไทเฮาเห็นฉินอ๋องกลับมาแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยเสียงสูง
“เจ้าสามไร้วาสนา ดันออกไปก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้ดูละครเฉลิมพระชนม์ที่ซื่อจุนซ้อมมาอวยพรย่า ซื่อจุนแสดงเป็นหลี่ต้งปิน เข้าถึงบทบาทเซียนมาก หล่อไม่บรรยะบรรยังเลย!”
แล้วจึงหันหาหลานๆ พระบรมวงศานุวงศ์ “…วันเกิดของข้าในปีนี้ นอกจากสุราลูกหลานบ่มของพวกเจ้าแล้ว ก็มีละครของรัชทายาทนี่ล่ะ ที่โดนใจข้ามากที่สุด!”
พระบรมวงศานุวงศ์ของต้าเซวียนชอบชมละครกันอยู่แล้ว ในวังก็มักจัดแสดงละครให้ชนชั้นสูงชม จนกลายเป็นความบันเทิงที่ขาดไม่ได้ การเล่นละครของรัชทายาท ขอเพียงไม่กระทบงานหลัก ทุกคนก็อนุโลมให้ได้
พอได้ยินคำพูดของไทเฮา ซย่าโหวซื่อถิงก็ลุกขึ้น ก้าวเข้าไปยืนด้านล่างของบันไดหยกในศาลา ยกชุดยาวขึ้น คุกเข่าลงบนพรมแดง
“สุราลูกหลานบ่มเกือบทำร้ายไทเฮา! เพราะความประมาทของหลานพ่ะย่ะค่ะ!”
พอคำพูดนี้หลุดออกจากปาก ผู้คนก็ส่งเสียงฮือฮา
เจี่ยไทเฮาหน้าเปลี่ยนสี จูซุ่นจึงรีบก้าวเข้าไปหาฉินอ๋อง “ทรงหมายความว่าอะไร”
“สุราในป้านของหลาน หลังจากถูกสาดออก แล้วเปลี่ยนป้านมาใหม่ ก็มีคนในวังรายงานให้ฟังว่า จาก
การตรวจสอบ พบว่าสุราก่อนหน้านี้ คือสุราดอกท้อ ตอนนั้นหลานเหงื่อเย็นหลั่งไหล รู้สึกโชคดีที่พระพุทธองค์
ทรงคุ้มครอง ไม่ให้ไทเฮาดื่มสุราป้านนั้นเข้าไป เรื่องนี้จึงไม่รายงาน ไม่ได้!”
พอฉินอ๋องพูดจบ ก็หันไปกำชับให้คนในวังไปหยิบป้านสุราที่ตกพื้นนั้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังคีบแผ่นเนื้อได้หนึ่งแผ่น แต่พอได้ยินฉินอ๋องพูด แผ่นเนื้อก็ตกลง
สนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าเปลี่ยนสี
เว่ยอ๋องลนลาน ก่อนทำขรึม ตรวจพบแล้วไง ต่อให้รู้ว่าตนเป็นคนสับเปลี่ยน แล้วมีหลักฐานหรือเปล่า
เจี่ยไทเฮารับป้านสุรามาดู แล้วหน้าก็เปลี่ยนสีทันที
สุราดอกท้อถูกสาดออกไปจนหมด ในป้านจึงแห้ง เหลือร่องรอยอยู่เพียงเล็กน้อย เป็นเกสรดอกไม้ชิ้นเล็กๆ ติดอยู่ พอเอาเข้ามาดมใกล้ๆ ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว ขืนดื่มลงไปจริงๆ ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ได้ ขนาดปีก่อนแค่สัมผัสถูกเกสรดอกไม้ ก็ทำให้มือเท้าชาไปหมด หายใจไม่ออก ถ้าวันนี้ดื่มเข้าไป ยังจะเหลือหรือ!
พอจูซุ่นเห็นไทเฮาหน้าซีด ร่างโงนเงนไปมา ก็รีบนำป้านสุราเจ้าปัญหาออกไป
เจี่ยงฮองเฮากับมเหสีรองเหวยรีบกุลีกุจอเข้าไป แยกกันบีบนวดไทเฮาซ้ายขวา พลางปลอบประโลม จากนั้น เจี่ยงฮองเฮาก็หันมาต่อว่ามองฉินอ๋อง
“เจ้า ทำไมถึงทำเช่นนี้”
เจี่ยไทเฮาแม้ตกใจ แต่สมองยังแจ่มใส รีบยกมือปราม ไม่ให้ฮองเฮาตำหนิฉินอ๋อง เนื่องจากฉินอ๋องกล้าเปิดโปงเรื่องราวต่อหน้าสาธารณะชน ก็แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าป้านสุราของตน มีสุราดอกท้ออยู่ เขาจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฉินอ๋องมีเรื่องอะไร ก็ว่ามาตามตรง” เจี่ยไทเฮาพูดอย่างสงบนิ่ง
ซย่าโหวซื่อถิงจึงค่อยๆ พูด “ป้านใส่สุราดอกท้อเมื่อครู่ ไม่ใช่ของหลาน ของหลานจริงๆ ถูกสับเปลี่ยนกับของคนในงานเลี้ยง”
ป้านสุราของฉินอ๋องก็คือป้านสุราสีทองสลักลายมังกรหงส์ที่เหล่าองค์ชายใช้ใส่สุราโดยเฉพาะ ถ้าถูกสับเปลี่ยน ก็ได้แต่ต้องสับเปลี่ยนกับองค์ชายทั้งหลายแล้ว เจี่ยไทเฮาจึงขมวดคิ้ว
“ป้านสุราทุกป้านก็เหมือนๆ กันหมด ทำไมฉินอ๋องถึงได้แน่ใจว่าถูกสับเปลี่ยน และถ้าถูกสับเปลี่ยนจริง แล้วฉินอ๋องรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนสับเปลี่ยน”
เดิมทีเว่ยอ๋องกำลังกลั้นหายใจ แต่พอฟังถึงตรงนี้ ค่อยระบายลมหายใจออกมายาวๆ
ป้านสุราบนโต๊ะของเหล่าองค์ชายเหมือนกันหมดจริงๆ ด้วยทำจากช่างฝีมือในสำนักพระราชวังคนเดียวกัน เป็นป้านสุราชุบทอง แกะสลักลายมังกรและหงส์ ถ้านำมาวางไว้ด้วยกัน ก็แยกไม่ออกแล้วว่า ของใครต่อของใคร
กลุ่มคนจึงกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบจากฉินอ๋อง
สนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าซีด ร่างโอนเอนคล้ายจะเป็นลม แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่กังวลใจ จึงแอบกระซิบข้างหูพระสนมเอกว่า ทรงวางพระทัย เมื่อฉินอ๋องกล้าบีบตัวเองให้ไปถึงสุดขอบหน้าผา ก็ต้องมีเชือกเตรียมพร้อมไว้ที่จะพาตนเองลงจากหน้าผาอย่างปลอดภัย
ซย่าโหวซื่อถิงยืดเอวบางๆ ขึ้น ลำตัวตั้งตรงดุจหน่อไม้ไผ่ตง ร่างสูงยาว หน้าตาหล่อเหลา เปล่งรัศมีราศีจับ และพูดได้อย่างทรงพลังดุจโยนก้อนหินลงไปในน้ำแล้วก่อให้เกิดคลื่น
“เรียนไทเฮา ดูจากภายนอก ป้านสุราของหลานกับของพี่น้องทุกคนเหมือนกันหมดก็จริง แต่ภายในกลับไม่เหมือนกัน หลานทนทุกข์จากพิษในร่างมานานหลายปี คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้ดี แต่เล็กจนโต หลานจึงไม่แตะต้องสุรา เรื่องนี้คนในจวนอ๋องเป็นพยานได้ แต่ในงานเลี้ยง ย่อมต้องดื่มสุราตามประเพณี หลานเกรงว่าจะทำให้ไทเฮาและเสด็จพ่อเสียความรู้สึก จึงใช้ให้คนไปบอกช่างฝีมือที่สำนักพระราชวังว่า ช่วยแก้ไขป้านสุราให้หลานหน่อย ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยง หลานจะได้ใช้แต่ป้านสุรานี้…”
“โอ้? แก้เป็นแบบไหน” เจี่ยไทเฮายืดคอขึ้นอย่างสนพระทัย
“แก้เป็นป้านสุราสองชั้น คือในป้านจะกั้นเป็นสองวง วงนอกบรรจุน้ำเปล่า วงในบรรจุสุรา ในงานเลี้ยง ถ้าหลานต้องดื่ม ก็กดลงทีหนึ่ง ที่รินออกมาก็คือน้ำเปล่า” ซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ อธิบาย
อวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบตาปริบๆ อ้อ มีกลไกเช่นนี้จริง ในต้าเซวียนไม่ถือว่าแปลก โดยเฉพาะคนในตระกูลใหญ่ๆ จะใช้กันมากในหน้าร้อน เรียกว่า ‘แก้วน้ำแข็ง’ โดยวงนอกจะเป็น** ซึ่ง**นี้ไม่สามารถนำออกมา โดยมีสภาพใกล้เคียงกับสูญญากาศ พอใส่เครื่องดื่มลงไป แล้วนำไปแช่ในถังน้ำแข็งให้เย็น ตอนนำออกมา **ที่อยู่วงนอกจะแข็งดุจน้ำแข็ง สามารถรักษาอุณหภูมิของเครื่องดื่มที่อยู่ด้านในให้ต่ำได้นาน เวลาดื่มจึงเย็นสดชื่นเสมอ
ทว่า…เขาไม่แตะต้องสุรา? แล้วผู้ที่เมาจนขาดสติในหมู่บ้านสกุลเกาคือใคร เฮอะ
ตอนอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว อย่างว่าจริงๆ เขาแสร้งทำเป็นพ่อหนุ่มคนดี ว่านอนสอนง่าย ใสซื่อบริสุทธิ์สุดยิ่ง!
อวิ๋นหว่านชิ่นเบะปาก กลับผ่อนคลายลงได้ทั้งหมด ที่แท้เขาก็มีเบื้องหลังเช่นนี้นี่เอง