อวิ๋นเสวียนฉั่งชอบเถาฮวาอยู่บ้าง และคิดที่จะรับนางเข้าเป็นอนุในไม่ช้า แต่เขาเพิ่งออกจากบ้านแค่ครึ่งวัน เถาฮวาก็ถูกตีจนสลบไปแล้ว เขาจึงไม่ชอบใจยิ่ง ฟังจากที่บ่าวเล่า นางน่าจะถูกตีแรงเอาการ คิดแล้วก็หันไปมองอนุฟางอย่างโกรธเคือง
แต่พอได้ยินถงฮูหยินว่า ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ เขายังต้องเตรียมงานมงคล และอนุฟางยังเป็นแม่ของถงเอ๋อร์อีก ในเวลาสำคัญเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะลงโทษอนุฟาง เพียงเพราะบ่าวคนเดียว
พอคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่โบกมือเรียกบ่าว “ทำตามที่ผู้อาวุโสบอก เรียกหมอที่ดีหน่อยไปตรวจอาการนางที่ห้อง”
บ่าวขานรับ แล้วรีบวิ่งไปหาหมอ อนุฟางจึงโล่งอกไปอีกหนึ่งเปราะ
ในที่สุดก็เป็นแค่บ่าว เจ้านายในบ้านไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก อวิ๋นเสวียนฉั่งหันไปหารือกับถงฮูหยินเรื่องการออกเรือนของลูกสาวคนเล็ก แล้วรีบบอกให้คนไปสืบข่าวในวังดูว่า คุณหนูใหญ่ออกจากวังแล้วหรือยัง จะกลับถึงจวนเมื่อไหร่
คุยไปคุยมา เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ่าวรับใช้วิ่งกลับมารายงาน
“นายท่าน ผู้อาวุโส ท่านหมอไปที่ห้องเถาฮวา ตรวจดูอาการนางแล้ว เขียนใบสั่งยาแล้ว และไปห้องบัญชีรับเงินแล้ว เพิ่งกลับออกไปเจ้าค่ะ”
“อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง” ถงฮูหยินถาม
สีหน้าของบ่าวบ่งบอกว่ายากที่จะพูดออกมา เอ่ออ่าก่อนตอบ “ท่านหมอว่า แผลไม่มีปัญหา พักไม่กี่วัน ก็สมานสนิท ลุกขึ้นเดินเหินได้ตามปกติ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นขุนนาง มักมองคนจากสีหน้าและคำพูด จึงเอ็ด ”พูดให้มันชัดๆ หน่อย!”
บ่าวจึงรีบคุกเข่าลง “…เพียง เพียงแต่…”
อนุฟางเตรียมยกภูเขาออกจากอก คล้ายจะได้รับข่าวดี จึงขยำผ้าเช็ดหน้า
“เพียงแต่อะไร เถาฮวาเป็นอะไรกันแน่” ถงฮูหยินมองนิ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว
บ่าวจึงตอบเสียงเบา “…ท่านหมอว่า เพียงแต่ตำแหน่งที่ถูกตีไม่สู้จะดี อยู่ใต้ท้องน้อย อาจทำให้…มดลูกอักเสบ ต่อไปอาจมีลูกยาก”
ถงฮูหยินยืดตัวตรง หันมองลูกชายคนรอง
อวิ๋นเสวีนนฉั่งขมวดคิ้ว
บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้น
มีแต่อนุฟางเท่านั้นที่รู้สึกเบิกบานใจ แอบม้วนผ้าเช็ดหน้าไปมา ดีใจจนแทบกลั้นไม่อยู่ เป็นสวะไปแล้ว ต่อให้ท่านพี่ชอบแค่ไหน มันก็เป็นสวะไปแล้ว
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดอวิ๋นเสวียนฉั่งก็เอ่ยปากเรียก “ไคไหล”
ม่อไคไหลยืนอยู่นอกประตู พอได้ยินเสียงเรียก ก็รีบก้าวเข้ามา
“นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ”
“รอให้เถาฮวาอาการดีขึ้น ค่อยหานายหน้าแล้วขายออกไป”
ม่อไคไหลประสานมือ “ขอรับ นายท่าน”
ตนซื้อม้าผอมมา ก็เพื่อที่จะให้ลูกชายได้มีทายาทสืบตระกูลเพิ่ม แต่เมื่อไร้ซึ่งความสามารถ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงคนธรรมดาคนหนึ่งไว้ หรือไม่ก็เหมือนกับการบูชาพระพุทธรูปในบ้าน เมื่อถงฮูหยินได้ยินคำตัดสินของลูกชาย ก็เพียงส่งเสียงเบาออกมา “กรรมแท้ๆ”
เพียงไม่กี่ประโยค ชะตาชีวิตของเถาฮวาก็ถูกกำหนดเรียบร้อย เดิมทีนางเป็นบ่าวที่มีอนาคตไกลสุดในบ้านสกุลอวิ๋น แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวัน อนาคตกลับดับวูบลง กลายเป็นใบไม้ร่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงไปเสีย บ่าวรับใช้แต่ละคนจึงรู้สึกสะทกสะท้อนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่หลายคนกำลังรวมตัวกัน หน้าประตูก็มีเสียงรายงานดังมา “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”
พอคิดว่าชิ่นเอ๋อร์เพิ่งได้รับพระกรุณาธิคุณให้ค้างคืนที่ตำหนักฉือหนิง โดยเกียรติยศนี้ นางเป็นหญิงสาวสกุลอวิ๋นคนแรกที่ได้รับ ถงฮูหยินก็อารมณ์ดีขึ้นมา รีบพูดอย่างปลื้มปิติ
“เชิญคุณหนูใหญ่มาที่ห้องโถงหลักเร็ว” แล้วหันไปสั่งบ่าว “รีบไปบอกคนให้เรียกสะใภ้ใหญ่กับถงเอ๋อร์มาด้วย ยังมีอาเม่ากับอาจู้อีก คนเขาเพิ่งกลับออกจากวัง ต้องต้อนรับเสียหน่อย”
ชิ ก็แค่อยู่เป็นเพื่อนไทเฮาในวัง เป็นบ่าวรับใช้เพิ่มอีกคืนหนึ่ง แต่ลูกสาวตนนี่สิ กำลังจะไปเป็นนายหญิงอยู่รอมร่อ ยังจะเรียกให้ออกมาต้อนรับอีก อนุฟางแอบกัดฟันกรอด รู้สึกไม่พอใจ ทว่าก็ต้องทำตามแต่โดยดี จึงหันไปบอกบ่าวให้ไปเรียกอวิ๋นหว่านถงมา
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นที่ได้ใช้เวลาพักใหญ่อยู่ในร้านบนถนนจิ้นเป่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเมี่ยวเอ๋อร์เร่งรัด นางก็ไม่คิดที่จะกลับบ้านจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่ายืดเวลาต่อไปไม่ได้อีก จึงค่อยขึ้นรถม้ามา
พอรถม้าจอด อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวลง เดินเข้าจวน ก็เห็นบ่าวในบ้านกลุ่มหนึ่งคุกเข่าพร้อมกันแล้วเปล่งเสียงเรียกคุณหนูใหญ่ มีคนก้าวเข้ามาปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าและช่วยตนปลดผ้าคลุมไหล่ออก แถมยังกลัวว่าตนจะหนาว ส่งกระเป๋าน้ำร้อนมาให้อุ่นมือ พลางถามสารทุกข์สุขดิบไม่หยุดหย่อน ซึ่งน่าจะเป็นการทำตามคำสั่งของเจ้าบ้านมากกว่า
เมื่อราศีจ้าวมาโดนตัว สถานะย่อมไม่เหมือนเดิม ที่ผ่านมา ตนไหนเลยเคยได้รับการต้อนรับเช่นนี้
ชูซย่าก้าวเข้ามา เล่าเรื่องของเถาฮวาให้อวิ๋นหว่านชิ่นฟังอย่างละเอียด
อวิ๋นหว่านชิ่นคิด ตนช้าไปก้าวหนึ่ง จึงสกัดแผนยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อนไม่ทัน เถาฮวาหนีไม่พ้นชะตากรรมนี้จริงๆ เพียงแต่อนุฟางนั่น ถึงกำจัดสุนัขป่าตรงหน้าไปได้ แต่ก็มีพยัคฆ์ตามมาด้านหลังติดๆ กำจัดเถาฮวาไป ก็เท่ากับให้ใบเบิกทางกับเหลียนเหนียง ต่อไปก็ไม่แน่ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี
ที่ผิดคาดก็คือ เหลียนเหนียงโหดร้ายกว่าที่ตนคิดไว้เยอะ พริบตาเดียว นางสามารถใช้อนุที่อยู่ในบ้าน
โค่นล้มอุปสรรคใหญ่สุดตรงหน้าลงได้
พออวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปในห้องโถงหลัก และคารวะผู้อาวุโสทั้งหลายเรียบร้อย ก็ถูกถงฮูหยินลากตัวไปคุยด้วย ถงฮูหยินยิ้มพลางถามถึงสถานการณ์ในวัง ถามว่าไทเฮารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ได้พบฮ่องเต้ไหม
หวงน้าสี่ซึ่งเป็นคน ใครดีมาก็ดีตอบ ใครร้ายมาก็ร้ายตอบ ก็ยิ้มให้อวิ๋นหว่านชิ่นแล้วว่า
“ข้าว่า คุณหนูใหญ่เข้าวังสัมผัสราศีจ้าวในครั้งนี้ ทำให้ตัวเองราศีจับกว่าเดิมเยอะ” ว่าแล้วก็ผลักลูกชายลูกสาวเข้าหา
“ยังไปเข้าไปทักทายพี่ใหญ่ของพวกเจ้าอีก พี่ใหญ่เนี่ย กระทั่งเตียงในวังก็นอนมาแล้วนะ! ไปลูบมือนางหน่อย จะได้ติดราศีจ้าวไปด้วย! ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจทำให้พวกเจ้าสอบติดจอหงวนแล้วได้เป็นสมุหนายกได้!”
พอเจ้าตัวเล็กทั้งสองได้ยินแม่พูด ก็รีบวิ่งเข้าไป พัวพันแนบชิดกับญาติผู้พี่เป็นการใหญ่ คนหนึ่งถามซ้าย คนหนึ่งถามขวา
“ฮ่องเต้มีเกล็ดเต็มตัว บนหัวมีเขาใช่ไหมท่านพี่” อาเม่าสงสัย
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “พี่ไม่เห็นฮ่องเต้นะ แต่ที่อาเม่าพูดถึง มันคือมังกรนี่”
กลุ่มคนหัวเราะคิกคัก บรรยากาศจึงเป็นไปอย่างปรองดอง ต่างรู้สึกยกย่องอวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งอวิ๋นเสวียนฉั่งด้วย ทำให้เวลาพูดจากับลูกสาวคนนี้ เขามีความเกรงใจอยู่ไม่น้อย มีเพียงอนุฟางเท่านั้นที่หน้าดำ ปากยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม
เคยนอนเตียงในวังแล้วไง ไม่ได้นอนเตียงมังกรสักหน่อย คุณหนูใหญ่นี่ พอกลับมา โลกของคนทั้งบ้านก็หมุนตามนาง คล้ายลืมไปแล้วว่า ลูกสาวของตนต่างหากที่เก่งสุด คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องอะไร จึงหันหน้าไปอีกทาง ขี้คร้านจะมอง