ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปในห้องรับแขก คนในครอบครัวสกุลอวิ๋นก็นั่งกันอยู่ในห้องอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
อวิ๋นเสวียนฉั่งและถงฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้คู่สลักลายนกกางเขนเกาะกิ่งเหมยที่ตั้งอยู่ด้านบนสุด อวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งอยู่ด้านซ้าย คิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น มือหนึ่งถือถ้วยชา สีหน้าหม่นหมองอยู่บ้าง คล้ายมีเรื่องอะไรในใจ ด้านข้างของเขามีม่อไคไหลยืนอยู่
ถงฮูหยินนั่งอยู่ด้านขวา โดยมีโต๊ะน้ำชาไม้แดงคั่นกลาง สองวันมานี้นางหายป่วยในเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้จึงมีสติแจ่มใส ใบหน้ามีเลือดฝาด ถัดจากนางลงมาด้านล่าง ค่อยเป็นอนุฟาง เหลียนเหนียง และฮุ่ยหลาน ยืนอยู่กันสามคน
อวิ๋นจิ่นจ้งที่เพิ่งกลับจากโรงเรียน นั่งเก้าอี้มีฟูกอยู่ด้านหน้าถงฮูหยิน พอเห็นพี่สาวมา ก็กระพริบขนตายาวสวยปริบๆ
ฮุ่ยหลานแต่งตัวตามปกติ สวมชุดสีเขียวอ่อนเรียบๆ ไม่แต่งหน้า และไม่พูดคุยกับอนุอีกสองคน ได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่ใกล้ถงฮูหยิน
ส่วนอนุฟางกับเหลียนเหนียงกลับอยู่ไม่สุข แอบมองสีหน้าเจ้าบ้านเป็นระยะ แล้วหันมาซุบซิบกันว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เหลียนเหนียงสวมชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อน แต่งหน้าสดใส ใช้เครื่องประทินผิวกลิ่นดอกท้อ แม้ดูสีและยี่ห้อไม่ออก แต่ส่วนผสมล้วนเป็นของดีมีชื่อเสียง มองปราดเดียวก็รู้ว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งสั่งทำเพื่อนางโดยเฉพาะ หลายวันไม่เห็นหน้านาง ใบหน้าเล็กๆ ของนางดูชุ่มชื้นดั่งดอกชบา สะดุดตาขึ้นมาก แต่พอเห็นคุณหนูใหญ่ปรากฏตัวที่หน้าประตู นางก็เงียบเสียงลง
ส่วนอนุฟาง หมู่นี้แต่งตัวหรูหราขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่อวิ๋นหว่านถงกลับบ้านมาในวันนั้น นางก็เดินเชิดหน้ายืดอกมาตลอด วันนี้นางสวมเสื้อสีเขียวสด ทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวเข้มเด่นสะดุดตา สวมประโปรงหนาหน้าม้าจีบเล็กสีเขียวอ่อน มวยผมเสียบปิ่นมรกตใสฝังหยกเม็ดเท่าไข่นกพิราบอยู่ด้านใน เป็นปิ่นที่ลูกสาวมอบให้นางเมื่อวันกลับบ้าน ทั้งเนื้อทั้งตัวดูคล้ายยอดอ่อนที่โผล่ขึ้นมาจากต้นไม้ใบหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ โดยเกรงว่าจะไม่มีใครพบเห็นอย่างไรอย่างนั้น พอเห็นคุณหนูใหญ่มา นางกลับไม่เหมือนเหลียนเหนียงที่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา เพียงยิ้มแล้วจ้องมอง พลางพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา แต่คนในห้องได้ยินอย่างชัดเจน
“อ้าว คุณหนูใหญ่มาแล้วจ้า”
น้ำเสียงเหมือนล้อเล่น แต่ก็เหมือนกำลังตำหนิลูกหลานที่มาสาย
สิ้นเสียงอนุฟาง อวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นว่า อวิ๋นเสวียนฉั่งที่นั่งอยู่ด้านบน แม้ไม่พูด แต่หน้ากลับเปลี่ยนสี ขมวดคิ้วแน่น ยิ้มบางๆ หันหน้าเข้าหาถงฮูหยิน แล้วตอบเบาๆ
“พอบ่าวไปตาม ชิ่นเอ๋อร์ก็มาทันที”
อนุฟางจึงกลืนน้ำลายลง แล้วยืนหน้าตาเหลอหลา
ระหว่างย่างเข้าฤดูหนาว จะว่าหนาวก็ไม่เชิง เพียงแต่เมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนเหนือ อากาศจึงเย็นยะ
เยียบ ฟืนในกระถางกำยานรูปปากสัตว์กลางห้องรับแขกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว จนได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะๆ มีประกายไฟสีส้มเปล่งให้เห็นเป็นระยะ ทำให้ภายในห้องอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นหว่านชิ่นถกกระโปรง แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงต่ำ “คารวะท่านพ่อกับท่านย่า”
“มา มานั่งข้างย่านี่” ถงฮูหยินกวักมือเรียกให้หลานสาวเข้ามานั่ง
เมื่อคนในครอบครัวมากันครบ ไม่ขาดสักคนเช่นนี้ ย่อมมีเรื่องภายในครอบครัวบางอย่างที่ต้องการจะแจ้งให้ทราบ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันมองสีหน้าบิดาอีกครั้ง แล้วจึงหันมาทางเมี่ยวเอ๋อร์ ขณะจะบอกให้นางออกไปก่อน คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งจะยกแขนเสื้อขึ้น พลางโพล่ง
“อ้อ ให้เมี่ยวเอ๋อร์อยู่เถอะ อีกสักครู่ ไม่แน่ว่ายังมีเรื่องของนางด้วย”
อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว ส่งสายตาให้เมี่ยวเอ๋อร์ไปยืนข้างม่านประตู แล้วตนค่อยก้าวไปนั่งที่เก้าอี้พนักพิงทรงกลมข้างถงฮูหยิน ทว่าบิดายังไม่ทันพูด อวิ๋นจิ่นจ้งก็พูดขัดจังหวะขึ้นก่อน แต่ด้วยเกรงว่าพี่สาวจะกังวลใจ จึงพูดเกริ่นเบาๆ “พี่ มีเรื่องดีน่ะ”
เรื่องดี?
“จิ่นจ้ง” อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดลูกชาย ก่อนขมวดคิ้ว กระแอมไอเบาๆ พลางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก แล้วเอ่ย
“วันนี้ที่เรียกคนในครอบครัวมา เพราะมีเรื่องสองเรื่องที่ต้องบอกให้ทุกคนรู้”
พูดจบก็หันมองอนุฟาง ด้วยสีหน้าที่หมองหม่นลง เห็นชัดว่าไม่ค่อยสบอารมณ์
อนุฟางพลันสะดุดกึก หมู่นี้ตนไม่ได้ล่วงเกินอะไรท่านพี่นี่ ทำไมถึงมองมาทางตนเล่า แต่สายตาที่ไร้ความปรานี เต็มไปด้วยความบึ้งตึงและดุร้ายคู่นี้ ทำให้อยู่ดีๆ ตนก็รู้สึกสะท้านขึ้นมา จึงแอบใช้มือถูผ้าเช็ดหน้า
“วันก่อน ซุนจวิ้นอ๋องที่ถูกกักบริเวณในจวนจวิ้นอ๋องได้วานให้คนในราชสำนักช่วยส่งจดหมายให้ฝ่าบาท สารภาพเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมพระชนม์เจี่ยไทเฮา บอกว่าเว่ยอ๋องส่งคนมาเอาสุราดอกท้อของตนไปป้ายสีฉินอ๋อง จนเกือบจะทำร้ายไทเฮาเข้า”
ขณะอวิ๋นเสวียนฉั่งพูด สีหน้าก็หม่นหมองลงเรื่อยๆ ทำให้คนสกุลอวิ๋นใจเต้นตึกตัก หายใจไม่ทั่วท้อง
โดยเฉพาะอนุฟาง ที่เสียวสันหลังวาบ เหงื่อไหลไปทั้งตัว เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านพี่ถึงทำท่าไม่พอใจใส่ตน
เรื่องสุราดอกท้อในงานเลี้ยงสังสรรค์ คนในบ้านสกุลอวิ๋นล้วนรู้ดี ส่วนเรื่องที่ตอนนี้เว่ยอ๋องถูกกักบริเวณ โทษฐานขุดเจาะเหมืองแร่ผิดกฎหมายที่เขาชิงเหอนั้น แม้ทำให้คนในบ้านตกใจ แต่อย่างไรก็ยังมีโอกาสพลิกคดีอยู่ แต่ถ้าบวกความผิดฐานป้ายสีพี่น้องต่อหน้าสาธารณะชน กับพยายามทำให้ไทเฮาภูมิแพ้กำเริบเข้าไปด้วย ใยจะไม่เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเล่า!
โดยไม่ว่าอย่างไร เว่ยอ๋องก็ถือเป็นคนในสกุลอวิ๋นแล้ว ถ้าเขาล่มจม สกุลอวิ๋นไหนเลยจะได้ดีเล่า
อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้เป็นท่านเจ้ากรม ทุกสิ่งเริ่มต้นยากเสมอ เพิ่งได้นั่งเก้าอี้ ก้นยังไม่ทันร้อน และกำลัง
อยู่ในช่วงทำอะไร ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ประมาทไม่ได้ในทุกๆ เรื่อง เพราะอาจถูกคนนำมาใช้ข่มขู่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อเว่ยอ๋องถูกซุนจวิ้นอ๋องฟ้องร้อง ถ้าได้รับโทษ เกรงว่าอาจมีคนตาร้อนชี้หัวหอกมาที่ตน
ดังนั้น พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ข่าวว่าซุนจวิ้นอ๋องฟ้องร้องเว่ยอ๋องกับฝ่าบาท ก็เครียดจัด แล้วใยไม่ระบายอารมณ์ใส่อนุฟางเล่า
อนุฟางกลืนน้ำลายสองรอบ ราวกับมีเม็ดบ๊วยติดอยู่ในลำคอ ลูกสาวแต่งไปจวนเว่ยอ๋อง นางนึกว่าลูกสาวจะได้เป็นชายาคนโปรดขององค์ชายที่มีอนาคตไกลสุดแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเว่ยอ๋องเป็นพวกท่าดีทีเหลว ที่ถูกคนเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงไปเสียทุกครั้งเล่า!
เรื่องเหมืองแร่ครั้งก่อนยังดี…ที่ชายาถูกลดขั้นและส่งคืนกำลังทหาร พอได้ยินคำตัดสินจากเหล่าขุนนาง ฝ่าบาทจะมากจะน้อยก็ยังคงอยากที่จะปกป้องโอรส ได้ยินถงเอ๋อร์ว่า ขอเพียงเว่ยอ๋องอยู่อย่างสงบระยะหนึ่ง ไม่ก่อเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นอีก รอให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤต คนในวังหยุดซุบซิบ มเหสีรองเหวยค่อยพูดคำหวานเพิ่มเข้าไป เว่ยอ๋องก็น่าจะค่อยๆ กลับคืนสู่สถานะเดิมได้ ดูตัวอย่างจากรัชสมัยก่อน ที่องค์ชายหรือขุนนางคนโปรดทำความผิด ต่อให้ถูกเนรเทศไปถึงขอบฟ้า ถ้าฝ่าบาทมีใจปกป้อง อย่างไรก็สามารถอ้างบรรดาศักดิ์แล้วเรียกตัวกลับมาใหม่ได้
แต่ตอนนี้…เรื่องป้ายสีพี่น้องยังไม่ต้องพูดถึง โยงใยไทเฮาเข้าไปด้วยนี่สิ นั่นเป็นถึงไทเฮาเชียวนา คิดว่าฝ่าบาทจะอภัยให้ไหมล่ะ!