อวิ๋นหว่านชิ่นตกตะลึง เยี่ยนอ๋องเหลือบมองเหยากวงเหย้า ก่อนพูดต่อ
“ในตอนนั้น หมอหลวงเหยาก็รีบรุดไปที่ชานเมือง แม้ช่วยคนไว้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็นับว่าช่วยคนทั้งสิบแปดครัวเรือนนี้ไว้ได้ โดยก่อนอื่น ให้คนออกไปหาสถานที่ แล้วพาพวกเขามา สร้างที่พักขึ้น จากนั้นค่อยฝังเข็มและให้ทานยาทุกวัน แต่การติดต่อของโรคระบาดกินวงกว้างจริงๆ ทำให้คนในเมืองพากันหวาดกลัว และคนสิบกว่าครัวเรือนนี้ก็เกรงว่าถ้ากลับเข้าไปในเมือง พวกเขาจะถูกผู้คนมองด้วยสายตาแปลกๆ และเกรงว่าอาจถูกทางการจับไปคุมขัง จึงไม่ยอมกลับไป ยอมตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านไร้ชื่อแห่งนี้ยังดีเสียกว่า และนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าเห็นในวันนี้”
เช่นนี้เป็นอันว่า เหยากวงเหย้าใช่เป็นเพียงเจ้าของบ้านสวนซิ่งในหมู่บ้านไร้ชื่อ แต่เขาคือผู้มีพระคุณของหมู่บ้านไร้ชื่อไปแล้ว ถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีทางมีหมู่บ้านแห่งนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านสิบแปดครัวเรือนนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นตกอยู่ในภวังค์สักพัก รู้สึกหวั่นไหวกับอะไรบางอย่าง จึงจ้องมองเยี่ยนอ๋องนิ่ง
พอเยี่ยนอ๋องเห็นว่านางเหมือนเดาอะไรออก หนังตาก็กระตุก คิดในใจ นางเป็นคนละเอียดอ่อนจริงๆ
และแล้ว เขาก็เห็นเด็กสาวขยับสายตา เหมือนนึกอะไรได้ ก่อนหันมองเหยากวงเหย้า
“ผู้ที่มาช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อในตอนนั้น เกรงว่าไม่น่าจะมีหมอหลวงเหยาแค่คนเดียว”
การหาสถานที่ให้ผู้ป่วยสิบแปดครัวเรือนพักพิง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่เพียงอ้าปากสั่งการ ก็สามารถทำได้สำเร็จ เนื่องจากคนทั้งสิบแปดครัวเรือนล้วนป่วยด้วยโรคติดต่อร้ายแรง ขนาดเดินก็ยังไม่มีแรง การพาไปไหนจำเป็นต้องมีคนกรุยทางให้และนำทางไป กระทั่งต้องใช้รถม้าและเกวียนมาขน และต้องทำกันอย่างลับๆ ไม่สามารถให้เจ้าหน้าที่ทางการหรือคนในราชสำนักพบเห็นเป็นอันขาด…เหล่านี้ล้วนต้องใช้แรงพาหนะและแรงงานคน ลำพังหมอหลวงคนเดียว คงยาก
หลังจากองค์ชายถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง ก็สามารถควบคุมทหารชุดเกราะในอาณัติได้ราวสามพันคน การลอบย้ายองครักษ์คนสนิทมาแอบดำเนินการให้แล้วเสร็จ ย่อมทำให้ง่ายกว่า
เหยากวงเหย้าหัวเราะเสียงดัง “ปิดนังหนูอย่างเจ้าไม่ได้จริงๆ”
ก่อนหันไปกระพริบตาปริบๆ กับเยี่ยนอ๋อง
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว รัชศกหนิงซีปีที่สิบสอง เยี่ยนอ๋องยังเด็กอยู่ ยังตั้งให้เป็นอ๋องไม่ได้ และยังไม่มีความสามารถที่จะทำอะไรเช่นนี้…เช่นนั้นก็มีแต่ฉินอ๋องแล้ว
การช่วยคนทั้งสิบแปดครัวเรือนนี้ ฉินอ๋องเป็นผู้สั่งให้เหยากวงเหย้าดำเนินการ อีกทั้งยังจัดเตรียมสถานที่แห่งนี้ไว้ให้ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สวนซิ่งแห่งนี้ ฉินอ๋องก็เป็นผู้สั่งให้สร้างขึ้น
เพราะเหตุใด เขาถึงต้องสร้างโรงหมอแห่งนี้ขึ้นมา นางไม่คิดว่าเขาเป็นคนมีจิตใจเมตตา ที่เกรงว่าชาวบ้านในบริเวณชานเมืองเหล่านี้ เวลาป่วยไข้จะไม่สะดวกในการไปหาหมอ
ขณะสงสัย เหยากวงเหย้าก็เลิกผ้าม่านขึ้น เดินเข้าไปด้านใน นางจึงดึงสติคืนกลับ แล้วตามเข้าไป
ห้องด้านในกว้างขวางสว่างไสว ตู้หนังสือหลายตู้เก็บหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ไว้ พอเหยากวงเหย้าส่งสายตาอนุญาติ อวิ๋นหว่านชิ่นก็หยิบหนังสือหลายเล่มขึ้นพลิกดู ในนั้นย่อมมีหนังสือหายากและบันทึกประสบการณ์ของหมอหลวงเหยารวมอยู่ด้วย
ตรงหน้าต่าง มีกล่องหนังสือไม้แดงกล่องใหญ่วางอยู่ ในนั้นยัดสมุดเล่มเล็กกับอุปกรณ์การเขียนไว้ ยังมีใบสมุนไพรกับชามใบเล็ก คล้ายกำลังทดลองยาตัวใหม่อยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบหนังสือ ‘การรักษาโรคควบคู่กับการใช้สมุนไพร’ ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาพลิกดู
เป็นหนังสือบันทึกประสบการณ์ในหลายปีที่ผ่านมาของหมอหลวงเหยา เพิ่งเขียนได้กว่าครึ่งเล่ม ล้วน
แล้วแต่เป็นกรณีของโรคที่ต้องใช้สมุนไพรบางอย่างมาช่วยในการรักษา
เขาเขียนบรรยายเรื่องยากให้เข้าใจง่าย จนนางอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน โดยไม่วางตาไปชั่วขณะ สักพักค่อยเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน
“สวนซิ่งเงียบสงบ ไม่มีคนมารบกวน มิน่าเล่า หมอหลวงเหยาถึงได้มาที่นี่ ค้นคว้าวิจัยทักษะการรักษา ที่นี่เหมาะกับการศึกษาหาความรู้มากกว่าอยู่ในวังจริงๆ”
เหยากวงเหย้ามีชีวิตอยู่มาหกสิบกว่าปีแล้ว ไหนเลยจะฟังไม่ออกว่า เด็กสาวกำลังหยั่งเชิงเขา เพราะรู้สึกว่าสวนซิ่งดูแปลกๆ เขาจึงเดินไปที่หน้าต่าง แล้วกวักมือเรียกนาง “นังหนู มานี่”
อวิ๋นหว่านชิ่นวางหนังสือลง เหยากวงเหย้าผลักหน้าต่างออก แล้วชี้ไปยังสวนหลังบ้าน
ที่ดินในสวนหลังบ้านนอกหน้าต่างถูกแบ่งออกเป็นแปลงๆ มีแปลงเพาะต้นกล้าอยู่ด้านนอก บางแปลงมีกระโจมหนาสีขาวขุ่นคลุมไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิ บริเวณใกล้เคียงยังมีป่าอยู่ผืนหนึ่ง
หลังบ้านก็คือที่ดินที่ต่อจากตัวบ้านสวนซิ่ง ปลูกสมุนไพรหลากชนิดหลายประเภทไว้ ซึ่งก็คือพื้นที่เพาะปลูกสมุนไพรดีๆ นี่เอง
สมุนไพรจากร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำและสมุนไพรในสี่ฤดูถูกรวบรวมมาปลูกไว้ที่นี่ มีคนคอยดูแลและควบคุมอุณหภูมิ
ขณะยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ให้ความรู้สึกเหมือนแสงแดดในชนบทสาดต้องร่าง อวิ๋นหว่านชิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศบริสุทธิ์สดชื่นพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรโชยเข้าจมูก ซึมไปถึงปาก ผ่านลงลำคอ ชะล้างสิ่งสกปรกในร่างกายออกจนหมด ต่อชีวิตให้ยืนยาวไปได้อีกหลายปี
อากาศดีกว่าในเมืองมากมายก่ายกอง
สมุนไพรบางชนิดงอกงามเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่ามี มะกล่ำตาหนู หญ้าลิ้นงู รากมังกรคราม ผักเบี้ยใหญ่ ชนิดที่ใช้บำรุงร่างกายก็มี กัญชาเทศ ข้าวเย็นใต้ ตั่วเล็กจี้ เป็นต้น ที่ล้ำค่าหน่อยก็มี โสมคน ตู้จ้ง หวงป๋อ ลูกเร่ว มะเดื่อหอม ลูกยอ
เยี่ยนอ๋องเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยืนทึ่ง ก็หันไปสบตากับเหยากวงเหย้า ก่อนเดินมือไพล่หลังเข้าไปสองก้าว แล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยนและแฝงความนัย
“ตอนนี้ คุณหนูอวิ๋นรู้หรือยังว่า ทำไมเราถึงต้องมาสร้างโรงหมอ และปลูกสมุนไพรที่นี่”
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปสักพัก สมองสว่างวาบ สวนซิ่ง สร้างขึ้นเพื่อรักษาอาการป่วยของฉินอ๋อง
ชาติก่อน เหยากวงเหย้าเป็นหมอประจำตัวของเขา หมอประจำตัวของฮ่องเต้จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไรกัน ย่อมต้องเป็นคนสนิท
ที่แท้ก่อนขึ้นครองบัลลังก์ เหยากวงเหย้าก็ไม่มาหาสู่กับฉินอ๋องอยู่หลายปี
ปัจจุบัน เหยากวงเหย้าก็คือหมอเฉพาะทางที่รักษาฉินอ๋อง
สวนซิ่งก็คือที่ๆ เหยากวงเหย้าค้นคว้าวิจัยยาแก้พิษให้ฉินอ๋อง แปลงสมุนไพรที่ถูกเพาะปลูกและดูแลอย่างดีเหล่านี้ ล้วนเป็นสมุนไพรที่ใช้ทดลองกับฉินอ๋อง
ดังนั้นการสร้างสวนซิ่งในหมู่บ้านนี้ ก็เพื่อเขา เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ทางทิศเหนือ และห่างจากจวนฉิน
อ๋องไม่ไกล ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงม้าเร็วก็มาถึง ถ้าฉินอ๋องอาการกำเริบ หรือต้องการอะไรเพิ่มเติม จะได้มาถึงอย่างสะดวกรวดเร็ว
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพูดออกไปตรงๆ “การใช้งูไม่มีพิษ ดูดพิษในร่างกาย ที่แท้ก็เป็นวิธีที่หมอหลวงเหยาคิดค้นขึ้น”
เยี่ยนอ๋องมองหน้าเหยากวงเหย้า คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้นางยังรู้ แสดงว่านางกับฉินอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งพอสมควร จึงเห็นนางเป็นคนกันเองได้อย่างสนิทใจขึ้น
เหยากวงเหย้าพยักหน้า ใบหน้าที่อวบอิ่มแสดงความรู้สึกเสียใจออกมาบ้าง
“การใช้งูไม่มีพิษดูดพิษนั้น เป็นแค่การระงับไม่ให้พิษกำเริบในทุกๆ หนึ่งเดือน รักษาแต่ปลายทาง มิได้รักษาที่ต้นทาง ต้องโทษข้าที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ยอดเยี่ยมพอ จนถึงตอนนี้ก็ยังหาวิธีรักษาให้หายขาดไม่ได้ ทำให้ป่านนี้ท่านสามก็ยังต้องทุกข์ทรมานอยู่”