เสียงตะโกนของหญิงสาวทั้งใสและสูง เปี่ยมพลังสุดๆ เสียงหัวเราะก็ดุจระฆังเงินกระทบกันในสายลม
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองไปตามเสียง เห็นสาวน้อยคิ้วเข้มตาโต มวยผมสูง ดูเท่และองอาจ สวมชุดรัดกุมสีน้ำเงิน ขี่ม้าสีแดง ย่ำสนามหญ้าสีเขียวเข้ามาอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป ก่อนโบกแส้ม้าในมือไหวๆ พลางส่งเสียงทักทาย “ชิ่นเอ๋อร์!”
อวิ๋นจิ่นจ้งยิ้มพลางว่า “พี่ นางโจรชั้นสองของบ้านสกุลเฉินน่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเฉินจื่อหลิงตามเสด็จไปล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย ตอนนี้พอเห็นนางจึงไม่แปลกใจ หรือต่อให้ไม่ได้ไป เฉินจื่อหลิงก็ต้องมาที่สนามม้าสวินหลานเป็นประจำอยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วโบกมือตอบ พลางทักทายกลับ
“จื่อหลิง”
พอมองไป ก็เห็นว่าด้านหลังของเฉินจื่อหลิงห่างออกไปไม่ไกล มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ขี่ม้าเจริญวัยตัวใหญ่สีน้ำตาลแดงตามมา เขาสวมชุดขี่ม้าสีครามรัดรูปและผ้าคาดเอวลายแมงมุมสีทอง มวยผมไว้บนกะหม่อม สวมที่ครอบหยก เสียบปิ่นหยก เหมือนคนตัดผมสั้น เป็นเฉินจ้าวนั่นเอง
ตอนนี้เขาดึงบังเ**ยนให้ช้าลง ขี่ม้าเงียบๆ ตามอยู่ด้านหลังของน้องสาว ก่อนมองมาที่อวิ๋นหว่านชิ่น วันนี้นางมวยผมทรงหอยทาก หนีบที่หนีบผมรูปดอกเหมยหนึ่งดอกเล็กไว้กลางมวยดำสลวย ถ้าจะบอกว่าเป็นเครื่องประดับ มิสู้บอกว่า หนีบไว้ให้มวยหอยทากแน่นยิ่งขึ้น เวลาขี่ม้าจะได้ไม่หลุดลุ่ยจนยุ่งเหยิง นอกนั้นตลอดทั้งร่างของนางก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีเครื่องประดับใดๆ สวมชุดรัดกุม เสื้อและกางเกงเนื้อหนาสีเขียวอ่อน ที่เอวบางๆ มีสร้อยหยกสีเหลืองที่ร้อยอย่างปราณีตรัดไว้ พอลมพัด สร้อยหยกที่เนียนละเอียดก็ลู่ไปตามลมเช่นเดียวกับแถวต้นอ้ออย่างไรอย่างนั้น มีความยืดหยุ่น คาดเดาไม่ได้ ขับให้ผู้สวมใส่พลิ้วไหวดุจเซียน
สดชื่นเหมือนดอกชบาที่ได้น้ำ มีเสน่ห์และสง่างามเหมือนดอกซิ่งใต้แสงจันทร์
ม้าวิ่งเหยาะๆ พาเฉินจ้าวเข้ามา เขาตะลึงงันอยู่สักพัก พอได้สติ ค่อยผงกศีรษะทักทาย
ขณะเดียวกัน เฉินจื่อหลิงก็ขี่ม้ามาถึงสองพี่น้องสกุลอวิ๋น พอเข้าใกล้อวิ๋นจิ่นจ้ง ก็โน้มตัวลง แล้วยืดตัวขึ้นพร้อมแขน ขว้างเม็ดเกาลัดที่ไม่เบาไม่หนักใส่ศีรษะอวิ๋นจิ่นจ้ง
“นางโจรชั้นสอง? ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกหะ! กระต่ายน้อย! นางโจรก็พอ ยังมีชั้นสองอีก? เจ้าสิชั้นสอง! บ้านเจ้าทั้งบ้านก็ชั้นสอง…ยกเว้นพี่สาวเจ้า!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ เฉินจื่อหลิงใช้อาวุธได้ทุกชนิด เลื่องชื่อในการขี่ม้ายิงธนูขนาดไหน แวดวงลูกหลานขุนนางในเมืองหลวง เหล่าคุณชายคุณหนูล้วนรู้ดี เพียงไม่รู้ว่าน้องชายตั้งชื่อเล่นให้นางตั้งแต่เมื่อใด
“อูย…” อวิ๋นจิ่นจ้งลูบศีรษะไปมา
เขาถูกยั่วยุจนเกิดนึกสนุก จึงไม่ยอมง่ายๆ ฟาดแส้ม้ากลับไป แต่ดันฟาดถูกศีรษะม้าของเฉินจื่อหลิงเข้า
พอม้าตกใจ ก็ยกขาหน้า โก่งคอร้องฮี้ๆ และดีดขาหลังขึ้น เฉินจื่อหลิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงจับบังเ**ยนไว้แน่น
พยายามควบคุมศีรษะม้า พลางใช้เท้าหนีบท้องม้าไว้ ทำให้ม้าวิ่งวนไปมาอยู่กับที่หลายรอบ อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นแล้วก็หัวเราะท้องแข็ง จนอวิ๋นหว่านชิ่นต้องหันไปดุ
“เหลวไหลจริงๆ! นี่ถ้าทำให้พี่จื่อหลิงตกลงมาล่ะก็ เห็นดีกันแน่!”
“พี่! อย่าล้อข้าเล่นน่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ถ้านางจะตกนะ!” อวิ๋นจิ่นจ้งหัวเราะขึ้นอีก ค่อยพูดต่อ “แล้วจะมีฉายาว่านางโจรได้อย่างไรเล่า!”
และแล้ว ยังไม่ทันไร เฉินจื่อหลิงก็ทำให้ม้าที่ตกใจสงบลงได้ พอม้าเชื่อง นางค่อยสบถออกมา
“ชิ่นเอ๋อร์ วันนี้เจ้าห้ามขวางข้า!”
ว่าแล้วก็หันศีรษะม้า กระทุ้งท้องม้า เลียริมฝีปาก ควบเข้าหาอวิ๋นจิ่นจ้ง
พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นท่าไม่ดี ก็ไม่โง่งม รีบจับบังเ**ยนให้แน่น แล้วควบม้าหนี
สองคนนี่…จริงๆ เลย เพิ่งสามขวบกันหรือเปล่า อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ แล้วเสียงก็ดังมาจากด้านหน้า
“อย่าห่วงไปเลย พวกเขาแหย่กันเล่นแบบเด็กๆ น่ะ ขี่ม้าได้ไม่เลวทั้งคู่ ไม่เป็นไรหรอก จื่อหลิงรู้จักแยกแยะ”
คนล้วนไปกันไกลลิบแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงา ยังจะพูดอะไรได้อีก
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองเฉินจ้าว เห็นเขาลงจากหลังม้า คลายบังเ**ยนออก กำลังปล่อยม้าให้กินหญ้า จึงจ้องหน้าเขา แล้วเรียกทำลายความเงียบออกมาคำหนึ่ง “พี่ใหญ่”
สองคำนี้ ทำให้เฉินจ้าวหน้าตึง ก่อนขานรับ
“อึม ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าสบายดีไหม”
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “ก็ สบายดี”
ขณะทั้งสองกำลังทักทายกัน ขันทีน้อยผู้ดูแลสนามม้าที่ยืนอยู่ด้านข้างอาจเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ได้ขึ้นม้าสักที จึงถามขึ้น
“คุณหนูอวิ๋นต้องการให้ข้าน้อยช่วยไหม”
อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ไม่เป็นไร” ว่าแล้วก็จับบังเ**ยนม้า
เฉินจ้าวเห็นนางก้าวขึ้นหลังม้าไม่ถูกต้อง จึงขยับคิ้ว ทิ้งแส้ม้าลง แล้วหันไปบอกขันทีน้อยทั้งสอง
“ไม่เป็นไร ข้าเอง”
พอขันทีน้อยทั้งสองเห็นว่าเป็นคุณชายจากจวนแม่ทัพ และดูเหมือนสนิทสนมกับพี่น้องสกุลอวิ๋นมาก คิดว่าถ้าไม่ใช่ทางบ้านสนิทกัน ก็ต้องเป็นสหายเก่าแก่ จึงไม่ถามมากความอีก ถอยไปยืนด้านข้าง
เฉินจ้าวก้าวเข้าไป กดอานม้าของอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ แล้วก้มลงมอง
“ขั้นตอนการขึ้นนั่งบนหลังม้า จำไม่ได้แล้วหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงทำตามความทรงจำอันน้อยนิดในวัยเด็กที่หลงเหลืออยู่ พอเฉินจ้าวถาม ก็ชักไม่มั่นใจ
จึงยิ้มแหยๆ ให้ ก่อนรู้สึกว่ามีมือใหญ่ข้างหนึ่งตกลงบนไหล่ตน แล้วผลักตนเบาๆ ไปยังด้านซ้ายของตัวม้า เยื้อง
ไปด้านหลัง
“ขึ้นม้าต้องขึ้นด้านซ้ายของตัวม้า เยื้องไปด้านหลังหน่อย” เฉินจ้าวสอนช้าๆ “หาไม่แล้วจะถูกม้าดีดเอาง่ายๆ อืม ถูก มือซ้ายจับบังเ**ยนกับแผงคอม้าไว้ เท้าซ้ายก็สอดเข้าไปในโกลนม้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ตอนเป็นเด็กอยู่ที่บ้านสกุลสวี่ ท่านลุงคลับคล้ายจะสอนเช่นนี้ ตอนนี้พอถูกเฉินจ้าวเตือนสติ ความทรงจำก็ค่อยๆ กลับคืนมา รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ ด้านหนึ่งก็จับบังเ**ยนกับแผงคอม้าไว้ อีกด้านหนึ่งก็สอดเท้าเข้าไปในโกลนห่วงโลหะ
“เขย่งปลายเท้ากับพื้น ยืมแรงแล้วดีดตัวขึ้นไป อย่าทำตัวแข็ง บิดตัวเล็กน้อย ค่อยนั่งลงบนอานม้า”
เฉินจ้าวตามติดอยู่ด้านหลังของหญิงสาว ปกป้องประหนึ่งกำแพงเมือง ไม่ให้หญิงสาวมีโอกาสไม่ทันระวังแล้วตกลงมาแม้แต่นิดเดียว
ซ่งลุ่ยเห็นคุณหนูอวิ๋นอายุยังน้อย รูปร่างไม่ถือว่าสูง จึงเลือกม้าตอนสีขาวที่เพิ่งเจริญวัยให้ ซึ่งเป็นม้าที่ไม่ถือว่าสูงมาก กำลังพอดีกับรูปร่างของอวิ๋นหว่านชิ่น