ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกกังขาอยู่บ้าง ซ่งลุ่ยก็เดินเข้ามา โค้งกายแล้วว่า
“ท่านหญิง คุณหนูอวี้ บ่าวให้คนจูงม้าตะวันตกจากคอกม้ามาสองตัว ทั้งสองท่านจะขึ้นหลังม้าตอนนี้ หรือว่า…”
ท่านหญิงหย่งจยากลอกตามองอวิ๋นหว่านชิ่นแล้วดึงสายตาคืนกลับ ก่อนพูดอย่างนุ่มนวล
“กว่าจะเดินทางมาถึง ข้าขอพักสักครู่ก่อน” แล้วจึงหันมองรอบๆ กระโจมที่พวกอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งพัก ค่อยว่า “ซ่งลุ่ย เจ้าขนเก้าอี้มาวางไว้ในกระโจมหน่อย”
ซ่งลุ่ยรีบพาขันทีน้อยไปขนเก้าอี้มีพนักทรงกลมตัวใหญ่บุผ้าตาดมา วางไว้ในกระโจม ใกล้ๆ กับที่นั่งของอวิ๋นหว่านชิ่น
แต่อวี้โหรวจวงไหนเลยจะยอมนั่งอยู่กับอวิ๋นหว่านชิ่น
“ท่านหญิง เช่นนั้นโหรวจวงขอตัวไปฝึกขี่ม้าก่อน”
ท่านหญิงหย่งจยายิ้มน้อยๆ ก่อนพูดเสียงเรียบ “ได้สิ เจ้าไปเถอะ”
อวี้โหรวจวงเหล่ตามองอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วจึงเดินนำลวี่สุ่ยกับบ่าวสองสามคนของสนามม้าไป
เฉินจื่อหลิงเอียงหน้าเข้ากระซิบข้างหูอวิ๋นหว่านชิ่น “ดูนางทำ”
ท่านหญิงหย่งจยาคล้ายได้ยินคำพูดของเฉินจื่อหลิง แต่ยังคงยิ้มอยู่ เพียงเหลือบมองแผ่นหลังเพรียวบางของอวี้โหรวจวง แล้วว่า
“คุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูอวี้คล้ายไม่ถูกกันเท่าไรนัก โหรวจวงน่ะ เติบโตในตระกูลใหญ่ ย่อมมีนิสัยเอาแต่ใจของคุณหนูอยู่บ้าง หวังว่าคุณหนูอวิ๋นจะไม่คิดอะไรมาก”
อวี้โหรวจวงเติบโตในตระกูลใหญ่แล้ว คนอื่นควรเป็นฝุ่นใต้ฝ่าเท้านาง ต้องดูสีหน้านางก่อนที่จะทำอะไรงั้นหรือ ถูกนางป้ายสี ถูกนางทำร้าย ก็พูดอะไรไม่ได้งั้นหรือ เฉินจื่อหลิงคิดแล้วก็โมโห
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับแอบจับมือนาง เมื่อท่านหญิงหย่งจยามาสนามม้าสวินหลานพร้อมกับอวี้โหรวจวง ก็แสดงว่าทั้งสองสนิทสนมกันพอสมควร จึงยิ้มรับ
“พูดไม่ได้ว่าไม่ถูกกันเพคะ เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้เจอกันอยู่แล้ว”
แต่คำพูดของท่านหญิงหย่งจยา ยังติดอยู่ในใจเฉินจื่อหลิง นางจึงไม่ยอมท่าเดียว
“ผู้ที่เติบโตในตระกูลใหญ่มีมากมาย ท่านหญิงเองก็มิใช่มีชาติตระกูลที่สูงส่งหรอกหรือ แต่ก็มิได้หยิ่งยโสแม้แต่น้อย เรื่องนี้ต้องดูเป็นคนๆ ไป”
ท่านหญิงพลันหัวเราะ “เจ้าเป็นน้องสาวสนมเฉินสินะ คุณหนูรองกับพระสนมมีส่วนคล้ายกันมากอยู่”
ว่าแล้วก็หันไปนั่งลง จากนั้นก็ยกมือที่ขาวดุจหยก และเนียนลื่นดุจน้ำนมขึ้นเรียก
“ยืนคุยกันเมื่อยจะแย่ มา พวกเจ้านั่งลงกันเถอะ”
ตอนเฉินจ้าวเห็นท่านหญิงมา ก็คิดอยู่ว่าตนเป็นบุรุษ ยืนใกล้ๆ ไม่สู้จะดี จึงพาอวิ๋นจิ่นจ้งเดินไปทาง
ทิศตะวันออก แล้วขึ้นนั่งบนหลังม้า ฝึกขี่ม้าต่อ ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นกับเฉินจื่อหลิง เมื่อได้ยินท่านหญิงพูดเช่นนี้ ก็เดินไปนั่งลงข้างๆ นาง
แม้นั่งอยู่ในกระโจม แต่บ่าวทั้งสองก็ยังคงกางร่มบังแดดให้ท่านหญิงทั้งซ้ายและขวา บ่าวอีกคนก็คอยยกน้ำชามาให้เป็นระยะ และยังมีบ่าวใช้พัดคอยพัดเบาๆ ไล่ยุงและแมลงที่อยู่ข้างสนามหญ้าให้ด้วย
พอท่านหญิงนั่งได้สักพัก ก็หันคอหยกมาเอ่ยปากเบาๆ น้ำเสียงเหมือนพูดคุยสบายๆ ไปเรื่อย
“จริงๆ แล้วเรื่องของคุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูอวี้ตอนอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ข้าได้ยินมาบ้างเหมือนกัน จะว่าไป แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับโหรวจวงขัดแย้งอะไรกัน แต่โหรวจวงก็ทำเกินไปจริงๆ ถึงกับใช้หญิงสาวบนเรือสำราญมาทำให้คุณหนูอวิ๋นเสื่อมเสียชื่อเสียง ดีที่ในยามคับขันนั้น คุณหนูอวิ๋นพลิกสถานการณ์ได้ แต่คุณหนูอวิ๋นก็อย่าได้โกรธไปเลย ไหนๆ โหรวจวงก็ถูกลงโทษไปแล้ว ทำให้นางไม่อยากออกจากบ้านไปหลายวัน วันก่อนถึงได้เข้าวังมาเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง แต่นางก็ยังไม่ยอมอยู่บ้าง บ่นกับข้าเรื่อยๆ ข้ายังเคยเตือนนางแล้วว่า พวกเราต่างก็เป็นลูกสาวของผู้สูงศักดิ์ ต่อไปไม่ควรบาดหมางกันอีก ยิ่งไม่ควรทำร้ายซึ่งกันและกัน คิดว่าโหรวจวงไม่น่าจะทำเรื่องพรรณนั้นอีกนะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งเห็นว่าท่านหญิงหย่งจยาเดินทางมาสนามม้าพร้อมกับอวี้โหรวจวงอยู่หลัดๆ และยังเห็นอีกด้วยว่าทั้งสองพูดคุยกันอย่างเป็นอันเอง เดิมทีนึกว่าทั้งสองสนิทสนมกันพอควร แต่พอได้ยินคำพูดข้างต้น ก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง…ถ้าตนฟังไม่ผิด คำพูดนี้ ทำไมไม่เหมือนกำลังเจรจาประนีประนอมให้เพื่อนรัก แต่กลับเหมือน…เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ จึงพูดขึ้นเพื่อยุแหย่ตนกับอวี้โหรวจวงต่อ?
อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปสักพัก ค่อยพูดอย่างอ่อนโยน
“ท่านหญิงกับคุณหนูอวี้น่าจะมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ต้องรบกวนให้ท่านหญิงมาคลายปมความขัดแย้งของเราสองคนด้วยตัวเองแล้ว”
พอท่านหญิงหย่งจยาเห็นว่าคุณหนูอวิ๋นผู้นี้ เผยความรู้สึกจนหมดเปลือกและยังถามตนกลับอีก จึงอึ้งไปชั่วขณะ เปลี่ยนเป็นยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนว่า
“โหรวจวงมักติดสอยห้อยตามหวากั๋วฮูหยินเข้าวังแต่เด็ก และข้าก็อยู่ในวังแต่เด็ก เห็นนางเป็นประจำ บางครั้งยังเรียกหากันแบบพี่น้องเป็นการส่วนตัว ก็ต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันเป็นธรรมดา”
ว่าแล้วก็หันสายตาอันอ่อนโยนไปทางเฉินจื่อหลิง “ก็เหมือนคุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูรองเฉินนั่นล่ะ”
เหรอ? แต่ว่า…ถ้าเฉินจื่อหลิงทำเรื่องน่าอาย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่คิดว่าตนจะเปลี่ยนข้าง ไปพูดกลบฝังนางกับศัตรูนาง ลับหลังนางหรอกนะ
แต่จะว่าไป ท่านหญิงหย่งจยากับอวี้โหรวจวงก็เป็นพี่น้องที่โตมาด้วยกันแต่เด็ก และเป็นเพื่อนสนิทกันโดยบริบูรณ์
เช่นนี้ อาจเพราะตนอาจคิดมากไปเอง ซึ่งจริงๆ แล้ว ที่ท่านหญิงหย่งจยาพูดเช่นนี้อาจไม่มีอะไรในกอไผ่ก็เป็นได้ เพราะน้ำเสียงนางก็ดูนิ่งๆ ไม่ยี่หระ ลื่นไหลและอ่อนหวาน ไม่เหมือนกำลังยุแหย่คน
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเก็บความรู้สึกนึกคิดนี้ไว้ ไม่อยากถกกับท่านหญิงถึงปัญหาเกี่ยวกับอวี้โหรวจวงต่อ แต่
จะทำเป็นใบ้ตอบก็ไม่ได้ จึงได้แต่เปลี่ยนเรื่อง คุยสรรพเพเหระไปเรื่อย
“เมื่อก่อนเคยได้ยินว่า ท่านหญิงเป็นผู้ที่ดูแลผิวพรรณได้ดีเอามากๆ วันนี้พอได้เห็นกับตา ก็รู้สึกว่าสมดั่งคำร่ำลือ ปกติแล้ว น่าจะบำรุงรักษามาเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่ามีวิธีอะไรบ้าง”
ท่านหญิงยิ้ม “พอคุณหนูอวิ๋นพูดถึง ข้ากลับนึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินไทเฮาพูดว่า คุณหนูอวิ๋นมีทักษะเฉพาะตัวในด้านนี้อยู่ กระทั่งยังทำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับความงามด้วยมือตนเองอีก ข้ายังเคยได้ยินลวี่สุ่ยเล่าด้วยว่า โหรวจวงก็เคยใช้ยาสระผมที่คุณหนูอวิ๋นทำขึ้นเอง ซึ่งใช้ดีทีเดียวล่ะ ตอนนี้คุณหนูอวิ๋นยังจะให้ข้าเล่าให้ฟังอีกว่าดูแลผิวพรรณอย่างไร นี่มิใช่ให้ข้าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ทำให้ข้าต้องอับอายหรอกหรือ”
คำพูดแม้ถ่อมตน แต่กลับยกมุมปากขึ้นแบบคนได้ใจยิ่ง เห็นชัดว่ามิได้ภาคภูมิใจกับผิวเนียนลื่นขาวดุจหยกธรรมดาๆ เสียแล้ว โดยสาวใช้อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ที่ถือร่มอยู่คนหนึ่ง ดูไปแล้วน่าจะเป็นสาวใช้คนสนิทของท่านหญิง พอเห็นทีท่าของท่านหญิง ก็ยิ้มพลางตอบแทนนาย
“ตั้งแต่ท่านหญิงหย่งจยารู้ความ ก็ไม่ทานอาหารที่มีเครื่องปรุงรสสีดำ อย่างซีอิ๊ว หรือซอสเปรี้ยวอีก และไม่ทานของเผ็ด เช่นพริกต่างๆ น้ำมันกับเกลือก็ใส่แต่น้อย ปกติออกจากบ้าน ก็จะแต่งหน้าทาแป้งปกป้องผิวสูตรพิเศษจากหมอหลวงในวังตลอดทั้งสี่ฤดู พยายามตากแดดให้น้อยที่สุด หน้าหนาวก็ไม่ละเว้น ตั้งแต่นั้นมา นอกจากปกป้องไม่ให้ผิวคล้ำจากการตากแดดได้แล้ว ยังป้องกันไม่ให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อีก จึงมีผิวขาวสวยไปทั้งตัวมาจนทุกวันนี้”