แรกพบซย่าโหวซื่อถิง เขายังอยู่ในวัดเซียงกั๋ว
เป็นเด็กผอมๆ ที่ไม่ประสีประสา หน้าซีดเล็กน้อย แต่เนื่องจากมีเลือดของชาวเหนืออยู่ในตัว รูปร่างจึงสูงกว่าเด็กผู้ชายในเมืองหลวงที่อายุไล่เลี่ยกันมาก ข้างกายมีบ่าวคอยจูงมือ
ตอนนั้นหย่งจยาไปไหว้พระเป็นเพื่อนเจี่ยไทเฮาที่วัดเซียงกั๋ว พอเห็นเด็กชาย วายร้ายที่อยู่ในใจก็กระโดดโลดเต้นขึ้นมา ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนอยู่อีกยุคหนึ่ง ที่อ่านนิยายย้อนเวลาแล้วจู่ๆ รู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมา
โดยพี่สาวในนิยาย หลังจากย้อนเวลาไปอยู่ในยุคสมัยแปลกๆ ก็ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์หลงใหลมัวเมา มองหญิงอื่นเป็นผักหญ้าไปหมด และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็เป็นคนโปรดในวังหลังอย่างหาที่เปรียบมิได้
คนอื่นทำได้ ตนก็ทำได้เหมือนกัน
พอคิดได้เช่นนี้ ความไฝ่ฝันของหย่งจยาก็ปะทุขึ้น กระทั่งอยากขอบคุณสวรรค์เหลือเกินที่ทำลายชีวิตนางในยุคหนึ่ง แล้วปลูกถ่ายชีวิตใหม่ในยุคนี้ให้!
ทว่าอุปสรรคใหญ่สุดที่กั้นขวางระหว่างนางกับชายในฝัน ก็คือความเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ถ้าเป็นญาติทางฝ่ายแม่ยังพอทำเนา แต่ถ้าสายเลือดเดียวกัน แซ่เดียวกัน คนโบราณถือว่าผิดผี แต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด
นี่จึงกลายเป็นจุดที่นางต้องเอาชนะให้ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดตายที่ส่งผลดีเช่นกัน โดยญาติผู้พี่กับญาติผู้น้อง ก็เหมือนพี่น้อง ต่อให้ใกล้ชิดกัน ผู้อื่นก็คิดแค่ว่า นางติดพี่ชาย ไม่สงสัยในจุดประสงค์ของนางแน่
นางจึงรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก ที่ได้ย้อนเวลามาอยู่ในยุคที่ไม่คุ้นเคย แม้พอเกิดมา พ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ พี่ชายไปอยู่แดนไกลทางเหนือ แต่นางก็มิได้อดมื้อกินมื้อ มิได้เป็นสาวชนบทที่เอาแต่คิดหาเลี้ยงชีพ มิได้เป็นเด็กสาวที่ถูกรังแกทุกวี่ทุกวัน มิได้เป็นเมียน้อยที่ต้องคอยเก็บกด ทว่าถูกอบรมเลี้ยงดูในวัง
และตอนที่เห็นซย่าโหวซื่อถิงเป็นครั้งแรกนั้น นางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ตนต้องไม่เป็นแค่ท่านหญิงอย่างแน่นอน
ท่านหญิงนับเป็นอะไรได้ ถ้าผู้ที่เอ็นดูนางอย่างหนิงซีฮ่องเต้สวรรคต นางก็เป็นอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ตามสถานะที่ไม่สามารถแต่งกับผู้ชายสกุลซย่าโหว นางก็ได้แต่แต่งไปเป็นสะใภ้นอกวัง ซึ่งต่อให้แต่งกับคนในตระกูลสูงส่งเพียงใด จะเทียบกับคนในราชวงศ์ได้หรือ
นางจะเอาอย่างรุ่นพี่เหล่านั้น ที่ย้อนเวลาแล้วเปล่งรัศมีตัวเองให้กว้างไกล เหยียบย่ำพวกสาวเจ้าถิ่นที่โง่งม ทัศนวิสัยแคบ ขึ้นไปเป็นสนมคนโปรด กระทั่งฮองเฮาคนโปรดให้ได้
คิดถึงตรงนี้ หย่งจยาก็รู้สึกเลือดลมสูบฉีด พอเห็นฉินอ๋องเช็ดมีดสั้นเสร็จ และกำลังลับมีดสั้นไปมากับหินลับมีด ก็ยิ้มเงียบๆ ก่อนหันไปรินน้ำชาจนเต็มถ้วยชาสีขาวหวาน แล้วยกไปที่โต๊ะ
“เสด็จพี่ฉินอ๋องดื่มน้ำสักคำก่อน ค่อยง่วนต่อนะเพคะ”
แม้มาถึงยุคนี้ตอนเป็นทารก แต่การพูดคำโบราณที่สง่างามเช่นนี้ ต้องใช้เวลาฝึกฝนอยู่นานหลายปี
ทีเดียว แถมยังต้องพยายามอย่างหนักในการรำลึกถึงกวีนิพนธ์โบราณเหล่านั้น แล้วนำมาผสมปนเปให้เป็นของตนเอง เพื่อเอาใจหนิงซีฮ่องเต้อีก ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา หย่งจยาจึงไม่เคยอยู่ว่าง เพียงเสียดายที่ชาติก่อน ตอนไปโรงเรียน ส่วนใหญ่ตนจะเรียนหนังสือไปวันๆ พอเข้าเรียนก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่นอินเทอร์เน็ต เลิกเรียนก็เอาแต่คุยกับผู้ชาย ตอนเรียนจบก็ไม่มีกะใจจะทำงาน วันๆ เอาแต่ฝันว่าต้องจับผู้ชายหล่อๆ รวยๆ สักคน เพื่อเป็นคุณนายน้อยให้ได้…เช่นนี้ หัวสมองจึงมีแต่ความรู้แบบงูๆ ปลาๆ
ถ้ารู้ว่าวันหนึ่งในอนาคต ตนมีโอกาสย้อนเวลามาที่นี่ จะอย่างไรก็ต้องตั้งใจเรียนให้ดีสักวิชา
เมื่อคิดเช่นนี้ หย่งจยาจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกระเพื่อมตาม
ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองถ้วยน้ำชา แล้วจึงยกมีดสั้นออกจากหินลับมีด หย่งจยาเห็นดังนี้ก็ดีใจ แต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เพียงเสียบมีดสั้นเข้าไปในปลอกหนังแกะ ก่อนหยิบลูกศรขึ้นมาตรวจดู
ทว่าหย่งจยาก็ไม่ท้อถอย นั่งใกล้เข้าไปอีกนิด ใบหน้าหมองเศร้าอยู่บ้าง
“เสด็จพี่ฉินอ๋อง การแข่งม้าฝ่ายสตรีในปีนี้ องค์หญิงฉางเล่อได้ที่หนึ่ง หย่งจยาแพ้แล้ว”
“อ้อ” ซย่าโหวซื่อถิงส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง โดยไม่คิดพูดอะไรต่อ
ถ้าแขกเผชิญกับความเงียบขณะสนทนา เจ้าบ้านต้องพยายามหาเรื่องคุยให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เขาเป็นคนไม่ชอบเล่นละครเป็นที่สุด ถ้าเกิดความอึดอัด ก็ปล่อยให้อึดอัดไป แต่พอคิดดูอีกที ค่อยขยับริมฝีปาก
“ฝีมือการขี่ม้าของฉางเล่อไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ปีนี้ทำไมถึงได้ที่หนึ่งล่ะ หรือได้ครูฝึกฝีมือดีมาสอน”
พอพูดถึงองค์หญิงฉางเล่อก็มีเรื่องให้พูดแล้ว เพราะเขารู้ว่าผู้ที่คอยอยู่ข้างกาย เป็นเพื่อนองค์หญิงฉางเล่อคือใคร
นี่เขาอยากรู้เรื่องนก เลยถามถึงรังนกหรือ ท่านหญิงหย่งจยาข่มความเศร้าในใจไว้ ก่อนยิ้มสวย
“ตามที่น้องเห็น ไม่มีครูฝึกนะ แต่กลับมีผู้สูงส่งอยู่คนหนึ่ง น้องเคยได้ยินโหรวจวงพูดถึงคุณหนูอวิ๋นนั่นมาก่อน ว่าครั้งที่พระสนมเอกเชิญนางมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในวัง นางได้รับพระกรุณาธิคุณจากไทเฮาให้พักค้างแรมในวังด้วย ตอนนั้นหย่งจยานอนซมเพราะเป็นหวัด ไม่มีวาสนาพบเจอนาง จึงได้แต่เดาว่านางหน้าตาเป็นอย่างไรนะ พอวันนี้ได้เห็นนางอยู่ข้างกายองค์หญิงฉางเล่อ ค่อยรู้ว่า ที่แท้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ความหมายของเจ้าคือ ที่ฉางเล่อชนะแข่งม้า เพราะมีคุณหนูอวิ๋นคอยสอนหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่
หย่งจยาเอียงคอเล็กน้อย ขนตายาวกระพริบปริบๆ สีหน้าฉงนฉงาย คล้ายตุ๊กตาบ้องแบ๊ว อายุวิญญาณภายในของนางไม่น้อยแล้ว แต่หลายปีมานี้ นางได้เรียนรู้วิธีดัดน้ำเสียงให้เหมาะกับวัยที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอก
“หย่งจยาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอเฉี่ยวเย่ว์เข้ามาช่วยจูงม้า หย่งจยาค่อยเห็นว่าที่เส้นชัยมีปิ่นปักผมตกอยู่อันหนึ่ง ลักษณะไม่เหมือนของเชื้อพระวงศ์สตรี แต่กลับเหมือนเครื่องประดับของลูกสาวขุนนาง จึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึง ม้าขององค์หญิงฉางเล่อตอนวิ่งเข้าเส้นชัยในช่วงสุดท้าย ท่าทางเหมือนถูกกระตุ้น ถึงได้ดุร้ายขึ้นมา วิ่งแซงหน้าเข้าเส้นชัยไป”
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าใจแล้ว หย่งจยากำลังบอกใบ้เรื่องที่ว่า อวิ๋นหว่านชิ่นได้แนะให้องค์หญิงฉางเล่อใช้ปิ่น
ปักผมจิ้มม้า เพื่อกำชัยในการแข่งขัน