ขณะเดียวกัน ในป่าไผ่ พอเจี่ยงยิ่นจากไป อวิ๋นหว่านชิ่นก็เดินออกมา
พอกลับมาถึงที่เดิม ก็เห็นหยิ๋นเชวี่ยมองหานางไปรอบๆ อย่างหน้าตาตื่น ขณะทำท่าจะตะโกนเรียก ก็เห็นอวิ๋นหว่านชิ่น จึงรีบเข้ามาจับมือ
“โธ่คุณหนูอวิ๋น ท่านไปไหนมานี่ ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า อย่าเดินสะเปะสะปะ ให้บ่าวตามหาแทบแย่!”
แล้วจึงยัดหยกประจำตัวที่หาเจอในห้องพักผ่อนไว้กับมือนาง “นี่เจ้าค่ะ หาให้ท่านจนได้ สายมากแล้ว ตรงองค์หญิงไม่มีใคร เราต้องรีบกลับไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นนำหยกเกี่ยวเข้าไปในพู่ของสายรัดเอว ก่อนรับปากอย่างเกียจคร้าน
หยิ๋นเชวี่ยรู้สึกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นซึมลงไปไม่น้อย จึงเดินพลางชวนคุยโน่นคุยนี่ ให้บรรยากาศดีขึ้น
“คุณหนูอวิ๋นเจ้าคะ ตอนนี้พอเรากลับไป ก็น่าจะไล่ทันกลุ่มล่าสัตว์ของฝ่าบาทพอดี คุณหนูอวิ๋นเข้าร่วมประเพณีล่าสัตว์เป็นครั้งแรก ย่อมไม่รู้ว่า บรรยากาศก่อนออกล่าสัตว์นั้นคึกคักแค่ไหน ตอนข้าไปหาหยกประจำตัวให้คุณหนูอวิ๋นนั้น ได้ยินขันทีน้อยคุยกันว่า ครั้งนี้เป้าหมายสูงสุดของการล่าสัตว์ที่ฝ่าบาทวางเอาไว้ก็คือ ต้องจับหมีดำตัวที่กินหัวหน้าอวี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้มันทำร้ายคนอีก ใครจับได้ก่อน ตบรางวัลอย่างงาม! ทุกคนพอได้ยินก็กระตือรือร้นกันยกใหญ่!”
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังไปเช่นนั้นเอง จิตใจนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ตบรางวัลอะไร”
พอพูดถึงรางวัล หน้าตาหยิ๋นเชวี่ยก็แจ่มใสขึ้นทันที
“บรรพบุรุษฮ่องเต้ต้าเซวียนเรา สร้างอาณาจักรจากการพิชิตศึกบนหลังม้า ดังนั้นทุกๆ ปี ฝ่าบาทจึงให้ความสำคัญกับรางวัลในการล่าสัตว์เป็นพิเศษ ซึ่งก็ทรงใจป้ำมาก แทบจะสนองตอบในทุกคำขอ! ที่บ่าวจำได้ก็ เมื่อหลายปีก่อน ยวนจวิ้นอ๋องกับบุตรชายคนโตนำกลุ่มของเขา จับสุนัขจิ้งจอกขนสีขาวปลอดอายุร้อยปีได้ตัวหนึ่ง ฝ่าบาทจึงมอบปะการังเรืองแสงสามชั่วอายุคนที่เก็บไว้ในท้องพระคลังให้ยวนจวิ้นอ๋องสองพ่อลูก ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี องค์ชายรองใช้ธนูยิงเสือดาวเลื่องชื่อในป่าล้อมได้ ฝ่าบาทก็มอบอำเภอทั้งสี่ในเมืองทงโจวให้องค์ชายรองไปปกครอง ปีก่อน หลานของเจี่ยไทเฮา ท่านโหวเจี่ย ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน จับจ่าฝูงสุนัขป่าได้ตัวหนึ่ง ตอนตบรางวัล เนื่องจากท่านโหวมีลูกน้องคนสนิทต้องโทษฆ่าคนตาย จึงไม่เอารางวัล เพียงขอให้ฝ่าบาทละเว้นโทษประหาร ฝ่าบาทก็ล้วนรับปาก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ มิน่าเล่า นางมักได้ยินว่าตอนเชื้อพระวงศ์ออกล่าสัตว์ ทุกคนต่างทุ่มเทกันอย่างสุดฤทธิ์ เพื่อให้ได้สัตว์ป่าติดไม้ติดมือกลับมา ที่แท้ก็มีรางวัลใหญ่มาล่อนี่เอง อย่างที่เขาว่า ที่ไหนมีรางวัล ที่นั่นมีผู้กล้าหาญ แต่นางกลับส่ายศีรษะ
“แต่ปีนี้ไม่เหมือนกัน หมีดำตัวนั้น จับยากกว่าสุนัขจิ้งจอกหรือเสือดาวอะไรในปีก่อนๆ มาก ได้ยินว่ามันดุร้ายยิ่ง ฉลาดเหมือนคน และเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน ดังนั้นไม่มีทางหาตัวเจอในตอนกลางวันแน่ อีกทั้งมันยังหลบหลีกสายตาคนเก่ง จึงเกรงว่ามิใช่วันสองวันจะจับตัวมันได้ บวกกับที่มันเพิ่งทำร้ายคนจนเสียชีวิตไปหนึ่ง
ทุกคนจึงน่าจะยังขวัญหนีดีฝ่ออยู่”
“หึๆ คุณหนูอวิ๋นอย่าพูดไป บ่าวได้ยินขันทีน้อยทั้งสองคุยกันอีกว่า พอมีพระบัญชาให้จับหมีดำ ก็มีคนๆ หนึ่งก้าวออกมารับหน้าที่นี้เป็นคนแรก!” หยิ๋นเชวี่ยพูดอย่างแตกตื่น
หนังตาอวิ๋นหว่านชิ่นกระตุก รู้สึกว่ามีลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่สู้จะดี และแล้วหยิ๋นเชวี่ยก็พูดออกมาจนได้ “ท่านไม่มีทางเดาถูกแน่ เพราะเขาคือองค์ชายสาม ฉินอ๋อง!”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลืนน้ำลาย “ฉินอ๋องสุขภาพไม่ค่อยดี อยู่แต่ในจวนอ๋องมาตลอด เกรงว่าแม้แต่การขี่ม้ายิงธนูก็ยังฝึกได้ไม่มากเท่าคนอื่นๆ ฝ่าบาทก็รับปากเขาเช่นนั้นหรือ”
ถ้าอาการป่วยกำเริบขึ้นมา หรือเรี่ยวแรงไม่ดีพอ ไม่เท่ากับไปตายหรอกหรือ!
“ถ้าเสนอตัวเป็นการส่วนพระองค์ ฝ่าบาทอาจตักเตือนไปบ้าง แต่ฉินอ๋องขอทำหน้าที่นี้ต่อหน้าผู้คน ถ้าฝ่าบาทออกปากเตือน ก็จะเห็นชัดว่า โอรสของพระองค์ไร้ความสามารถ ทำลายศักดิ์ศรีขององค์เอง จะไม่รับปากอย่างไรเล่า” หยิ๋นเชวียพูดต่อ “ไม่เพียงรับปาก ยังจัดม้าและอุปกรณ์ให้ด้วยองค์เอง รวมทั้งแม่ทัพนายกองที่พร้อมจะจับหมีด้วย”
สีหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นเรียบนิ่ง แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว รีบก้าวตามหยิ๋นเชวี่ยไปยังปรัมพิธีด้านหน้า
ในกระโจมเชื้อพระวงศ์
ซย่าโหวซื่อถิงสวมชุดยาวปักลายงูใหญ่ห้าเล็บ ทับด้วยเสื้อคลุมขนมิงค์สีม่วง ข้อมือสวมปลอก หน้าอกสวมเกราะเสร็จเรียบร้อย มวยผมแน่น นั่งอยู่หลังโต๊ะแคบยาวอย่างสงบนิ่งกล้าหาญ รัศมีจับราวเทพ กำลังใช้ผ้าแพรเช็ดดาบที่อีกสักครู่จะใช้ล่าสัตว์
ดาบถูกเช็ดจนคมกริบ แสงสีเงินยวงเยือกเย็นดุจหิมะ ความวาวของดาบสะท้อนโครงหน้าอันหล่อเหลาและแข็งแรง เผยให้เห็นความเย็นชา ขับให้สีหน้ายิ่งดูเขียวซีด ทว่าเปี่ยมความกระตือรือร้น
ตอนเสียบดาบกลับเข้าฝัก มุมปากชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้ม
ซือเหยาอันยืนอยู่ข้างม่านประตู หลายปีมานี้ แม้ท่านสามแอบฝึกขี่ม้ายิงธนูในจวน โดยมิได้ประกาศให้คนภายนอกรู้ แต่ตอนนี้กำลังจะออกล่าสัตว์ป่าจริงๆ มิใช่ลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆ แต่อย่างใด
เฮ้อ แต่ก็มีที่มาที่ไป ท่านสามใช้หมีดำ สังหารอวี้เฉิงกัง เพราะคุณหนูอวิ๋น
ตอนนี้ ก็เตรียมกำจัดหมีดำที่ปิดทองหลังพระ เพราะคุณหนูอวิ๋นอีก
คิดพลาง ก็ตัดสินใจพูดขึ้นด้วยความรู้สึกค่อนข้างเป็นห่วง “ท่านสาม ตัดสินใจแล้วจริงๆ ห…”
“เหยาอัน อาหารแห้งกับน้ำสำหรับม้าและสุนัขที่จะเข้าป่าไปด้วยกัน เอาไปพอหรือยัง” ซย่าโหวซื่อถิงขัดจังหวะคำถามไร้สาระของผู้ติดตาม
หมีดำไม่ออกมาตอนกลางวัน เกรงว่าอาจจับมันไม่ได้ในวันเดียว ดังนั้นต้องเตรียมอาหารสำหรับสัตว์ให้มากพอ ซือเหยาอันจึงรีบตอบ “กระหม่อมสั่งไว้แล้ว ตอนนี้ขอไปตรวจดูอีกรอบ”
ว่าแล้วก็หันกาย เลิกผ้าม่านขึ้น เดินออกจากกระโจมไป
ในกระโจมเหลือคนเพียงคนเดียว จึงเงียบสงบ นอกกระโจมมีเสียงผู้คนมากมายดื่มโลหิตดื่มสุรา ควบคู่ไปกับเสียงกลองเสียงดนตรีเอาฤกษ์เอาชัยก่อนออกล่าสัตว์ดังมาเป็นครั้งคราว
ซย่าโหวซื่อถิงเช็ดหน้าไม้ต่ออย่างมีสมาธิ แล้วจึงนำซองใส่ลูกธนูออกมา ตรวจดูว่าลูกธนูมีปัญหาหรือไม่ พอก้มศีรษะลง กลับเห็นรองเท้าคู่หนึ่งปรากฏอยู่นอกม่านประตู
รองเท้าบูทผ้าซาตินปักลายสีชมพู หัวรองเท้าประดับมุกทะเลใต้สองเม็ด ดูน่ารักและสง่างามไปในตัว
เป็นสตรี ความประณีตของรองเท้าบ่งบอกว่าเจ้าของมิใช่สาวชาววังธรรมดา
ใบหน้าเขาขยับเล็กน้อย เป็นนาง?
เขารู้ว่าวันนี้นางมาที่นี่ มาอยู่เป็นเพื่อนข้างกายองค์หญิงสิบ ฝ่ายสตรีน่าจะได้ข่าวเรียบร้อย หรือนางเห็นว่าตนกำลังจะออกล่าสัตว์ จึงมาดูๆ ตนหน่อย
เขาวางหน้าไม้ลง มุมปากปรากฏรอยยิ้ม “ยังไม่เข้ามาอีก”