พอหยิ๋นเชวี่ยเดินจาก อวิ๋นหว่านชิ่นก็เดินตามกลุ่มของเจี่ยงยิ่นไป
กระโจมหงส์ของเจี่ยงฮองเฮาห่างจากกระโจมทองของฝ่าบาทไม่ถึงจิบน้ำชาครึ่งถ้วย อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าเจี่ยงยิ่นจะเดินถึงกระโจมทองก่อน จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หัวก็คิดหาข้ออ้างเตรียมไว้ให้พร้อม พอเห็นกระโจมทองอยู่ตรงหน้า และเห็นราชองครักษ์ยืนรักษาการณ์อย่างแน่นหนา ก็รีบก้าวเข้าไป กะขวางเจี่ยงยิ่นไว้ แต่กลับเห็นเจี่ยงยิ่นเดินเลี้ยวไปอีกด้านหนึ่ง ผละออกจากองครักษ์ ไปทางป่าไผ่ที่อยู่ขวามือ
อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจ แต่ไม่มีเวลาคิดมาก รีบเดินตามเข้าป่าไผ่ไป
ตามไปได้สักระยะ ชายวัยกลางคนก็ยังคงค่อยๆ เดิน เหมือนมาเดินเล่นก็มิปาน จวบจนเสียงของผู้คนในป่าล้อมค่อยๆ จางหาย ได้ยินเพียงเสียงลมพัดใบไผ่ดังซ่าๆ เขาค่อยชะงักเท้าหยุดเดิน
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบหลบเข้าหลังกอไผ่ที่หนาทึบ แต่กลับได้ยินเสียงบุรุษลอยมา
“ยัยหนู ตามข้ามาครึ่งค่อนวัน มิใช่มีเรื่องอยากพูดกับข้าหรือ”
ที่แท้เป็นการล่อให้ตนเข้ามาในป่าไผ่! แต่เขาก็เป็นกันเองมาก ดีแล้ว ไม่มีใครรบกวน เงียบสงบดี
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่เกรงใจอีก ปรากฏตัวขึ้น ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ประสานมือทั้งสองไว้ที่เอวข้างหนึ่ง แล้วย่อตัวลง “ถวายบังคมพระมาตุลา”
รูปร่างดุจเทพเซียนของบุรุษ เมื่อเทียบกับความแข็งแรงที่ยืดหยุ่นได้ของป่าไผ่สูงสง่าด้านหลัง ดูกลมกลืนอย่างบอกไม่ถูก จนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดวงตาสวยๆ กึ่งหรี่กึ่งสำรวจมองหญิงสาวตรงหน้า หางตาแม้มีรอยตีนกาเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่ก็มีเสน่ห์ชวนหลงใหลที่ไม่เหมือนใคร
เป็นนาง ลูกสาวสกุลอวิ๋นที่ช่วยเหลือลูกสาวกำพร้าของหงซื่อฮั่น
เจี่ยงยิ่นจำนางได้ ข้างทะเลสาบเฉิงเทียนในวัง เขาเห็นนางแบบผ่านตามาแล้วครั้งหนึ่ง คิ้วยาวจึงขยับ
“เจ้าก็ร่วมตามเสด็จมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย? เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
น้ำเสียงบุรุษอ่อนโยน แต่หนักแน่น คล้ายใจกว้างกับทุกๆ คน ทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
อวิ๋นหว่านชิ่นบิดชายเสื้อ ชายผู้นี้…ใช่บุรุษที่ท่านแม่รู้จักจริงหรือ อย่างที่เห็น ขนาดอยู่ในวัยกลางคน เจี่ยงยิ่นยังมีบุคลิกดีเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าจะบอกว่าตอนหนุ่มๆ เขาน่าจะหล่อชนิดที่ทำให้สาวๆ หลงไหลเมื่อแรกพบ
ทว่า ไม่ควรรุกถามในทันที อาจทำให้เขาตกใจได้ ต้องค่อยๆ เกริ่นก่อน…ดวงตาที่ทอประกายของอวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบ
“วันนี้หม่อมฉันได้รับพระกรุณาธิคุณให้อยู่เป็นเพื่อนข้างกายองค์หญิงฉางเล่อ…พอดีเห็นฮองเฮาทรงไม่สบายพระวรกาย ขอกลับไปพักที่กระโจมชั่วคราว ยังได้ยินว่าเชิญหมอหลวงไปด้วย องค์หญิงทรงกังวลพระทัย จึงให้หม่อมฉันตามมาดู หม่อมฉันเห็นพระมาตุลาเดินออกมา จึงคิดเข้าไปถามว่า ฮองเฮาทรงมีพระอาการดีขึ้นแล้วหรือยัง” ต่อให้พูดไปเรื่อยเปื่อย การที่ลูกสาวถามถึงอาการป่วยของแม่ ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล อย่างไรก็ไม่
ถือว่าผิด
เจี่ยงยิ่นเห็นนางยังคงพูดจาเฉไฉ ก็กระพริบตา แล้วอมยิ้ม
“โอ้ องค์หญิงสิบเป็นเด็กที่ซุกซนมาก สิบกว่าขวบแล้วยังไม่ประสีประสา แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ไปได้ รู้จักกตัญญูตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ ฮองเฮาเพิ่งกลับมาที่กระโจม ก็รีบส่งคนมาถามไถ่? เจ้ากลับไปบอกองค์หญิงนะว่า ฮองเฮาทรงไม่เป็นไรแล้ว แดดแรงเกิน จึงแค่มึนศีรษะไปชั่วขณะ” ว่าแล้วก็ยกแขนเสื้อ กำลังจะเดินจาก
“พระมาตุลาเพคะ…” อวิ๋นหว่านชิ่นเรียก
พอเห็นว่าเขาไม่มีเจตนาหยุดฝีเท้า มือไม้ก็ว่องไว ไม่สนใจใครทั้งสิ้น หันมองรอบด้านแล้วไม่มีคน ก็จับหมับเข้าที่แขนเสื้อของเขา
ป่าไผ่ที่เงียบสงบ ไม่มีคนเดินผ่าน เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้ากำลังกอดแขนชายวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าไว้ จะพูดอย่างไรก็ดูเกินไปอยู่
เจี่ยงยิ่นตั้งใจบำเพ็ญเพียร มิได้ใกล้ชิดผู้หญิงมานานหลายปี พอหันมอง ก็สบตากับดวงตากลมโตกระจ่างใสคู่หนึ่ง ราวกับดวงดาวในคืนวันอันเหน็บหนาว ใบหน้ารูปไข่หมดจดเกลี้ยงเกลา ไร้ซึ่งเครื่องประทินผิว พอสูดดม ก็ยังได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่สง่างามจนพูดไม่ออก ราวกับกลิ่นหอมตามธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิด
เจี่ยงยิ่นรู้สึกหวั่นไหว จึงกลั้นหายใจ ท่องบทสวดทำวัตรเช้าเย็นจากคัมภีร์ลัทธิเต๋าในใจ เพื่อขจัดกิเลศ ทำใจให้บริสุทธิ์ ครั้นเหลือบมองแขนของนางที่จับแขนเขาไว้แน่นและค่อนข้างมุ่งมั่น ก็คลับคล้ายรู้สึกว่า การหลอกล่อนางเข้ามาในป่าไผ่ ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนัก
เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาไม่ไปไหนแน่ ค่อยปล่อยมือลง แต่สายตาก็ยังจับจ้อง ไม่ละไปจากทุกอิริยาบถของเขา พลางว่า
“วันหนึ่งเมื่อสิบหกปีก่อน พระมาตุลาเคยไปวัดเซียงกั๋วหรือเปล่า”
เจี่ยงยิ่นจ้องมองนาง อึ้งเล็กน้อย แต่กลับไม่เปลี่ยนสีหน้า
“วัดเซียงกั๋วเป็นวัดโบราณขนาดใหญ่ที่ราชวงศ์ปฏิสังขรณ์ ตอนข้ายังหนุ่มก็ไปอยู่หลายรอบ ไหนเลยจะจำได้หมด”
“แล้วที่วัดเซียงกั๋ว พระมาตุลาเคยเจอ…หญิงสาวคนหนึ่งโดยบังเอิญหรือเปล่า ตอนนั้นนางอายุราวสิบห้าสิบหก เป็นคุณหนูบ้านพ่อค้า มาไหว้พระ ข้างกายมีมอมอวัยกลางคนๆ หนึ่ง กับสาวใช้เยาว์วัยคนหนึ่ง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหยั่งเชิงต่อ กลอกตา แล้วว่า
“หน้าตาก็ คล้ายๆ ข้าเจ็ดแปดส่วน เดิมทีพระมาตุลาไปวัดเซียงกั๋ว พระภิษุกสงฆ์ต้องกันพื้นที่ไว้ให้ แต่พระมาตุลาพระทัยกว้าง อนุญาตให้พุทธศาสนิกชนคนอื่นๆ ไหว้พระต่อ ซึ่งในวิหารตอนนั้นมีเพียงพระมาตุลากับหญิงสาวผู้นั้นที่อยู่ด้วยกัน และไม่ได้ออกมาตลอดช่วงบ่าย”
นี่กำลังบอกว่า เขาเห็นสาวงามที่ออกมาเที่ยวนอกบ้าน แล้วเกิดสนใจ จึงจงใจรั้งตัวนางไว้ในวัดเพื่อเกี้ยวพาราสี? ถ้าตอนนี้ตนมีนิสัยเหมือนตอนวัยรุ่น คงหยิบตัวยัยหนูนี่ขึ้น แล้วโยนออกไปทันที แต่ตอนนี้…
เจี่ยงยิ่นเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า
“ยัยหนู อย่าว่าแต่ข้าจำไม่ได้เลย ต่อให้มีเรื่องแบบนี้ พวกเราอยู่ในวัดกับหญิงสาวคนหนึ่ง ย่อมต่างคนต่างไหว้พระ จะมาอยู่ด้วยกันอย่างไรได้ วิหารมีกฎเข้มงวด พระพุทธรูปอยู่เบื้องบน ไม่เคารพไม่ได้ เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก สมองเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนแล้ว”
เขาพูดว่า ‘พวกเรา’ ! อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินชัดเจน ใจจึงเต้นโครมคราม ป้าเว่ยเล่าว่า วันนั้นข้างกายเจี่ยงยิ่นมีผู้อื่นอยู่ด้วย น่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ที่เข้าไปในวิหารด้วยกัน…นางเน้นว่า เจี่ยงยิ่นกับท่านแม่อยู่ด้วยกันสองคน แต่ตามคำพูดของเจี่ยงยิ่น ชัดเจนว่ามีคนอื่นอีก หมายความว่า วันนั้นเขากับท่านแม่พบกันโดยบังเอิญ และอยู่ด้วยกันในวิหารจนถึงบ่ายแก่ๆ เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคของอวิ๋นหว่านชิ่นจึงดุจหินงอกหินย้อย ไม่อ้อมค้อมหยั่งเชิงใดๆ อีก ถามออกไปตรงๆ
“เช่นนั้น คืนหนึ่งในฤดูหนาวเมื่อสิบปีก่อน พระมาตุลาเคยไปจวนรองเจ้ากลมกลาโหมฝ่ายซ้ายหรือไม่”
เจี่ยงยิ่นขมวดคิ้ว