แม้วันนี้เจี่ยงยิ่นจะได้พบกับหนิงซีฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง แต่เขกลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
อาจจะเป็นเพราะได้พูดคุยเรื่องในครานั้นกับเขา จนกระทั่งเดินออกจากตำหนักหยวนหาง เมื่อเดินลงจากบันไดหยก เขายังคงกังวลถึงเรื่องในใจ ครั้นเดินมาถึงด้านล่างบันไดหยก เขาถึงเห็นว่าเบื้องหน้ามีองครักษ์และคนของตำหนักถือโคมอยู่ คล้ายกับจะนำคนกลุ่มหนึ่งมายังตำหนัก ทันทีที่เห็นเงาร่างอรชรคล้ายสตรี จึงหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว “เป็นอะไรไปเล่า มีคนมาที่ตำหนักหรือ”
จากนั้นก็มองตามสายตาของท่านกั๋วจิ้วไป ยิ้มพลางกล่าว “โอ้ บุตรีสกุลอวิ๋น บุตรีผู้ที่ไปลานล่าสัตว์หลวงในวันนี้ได้รับพระกรุณาให้อาบน้ำในบ่อน้ำของตำหนัก น้ำพุร้อนในนั้นมีชื่อเสียงยิ่งนัก น้อยคนจะได้ใช้ชโลมกายดังที่ฝันไว้”
สตรีสกุลอวิ๋นอยู่เป็นเพื่อนฉางเล่อที่ลานล่าสัตว์หลวงในตอนกลางวัน หรือนางจะมาที่ตำหนักนี้ด้วยเช่นกัน ความไม่สบายใจของเจี่ยงยิ่นเพิ่มพูนขึ้น นางรู้สึกไม่วางใจนัก จึงจูงมือตามไป พลางกล่าวว่า “ไปที่น้ำพุร้อนนั่นกัน”
ด้วยบ่อน้ำเป็นสถานที่สำหรับอาบน้ำ เพื่อปิดบังสายตาคน จึงสร้างไว้บนกองดินเล็กข้างทางเดินไปตำหนัก เมื่อพื้นดินสูง จึงป้องกันคนมองเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจได้ ด้านข้างบ่อน้ำมีศาลาเล็กๆ เจี่ยงยิ่นรออยู่ตรงนั้นมาพักหนึ่งแล้ว เขาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมาด้วยตาของตนเอง และเห็นเจิ้งหัวชิวและเมี่ยวเอ๋อร์รออยู่ด้านนอก สุดท้ายก็เหลือบเห็นว่ามีสาวใช้ของตำหนักเข้ามาพาทั้งสองคนไป ทันใดนั้นเขารู้สึกไม่ชอบมาพากล ผ่านไปอีกครึ่งเค่อ หนิงซีฮ่องเต้ก็เข้ามาพร้อมสตรีห้อมล้อม
ฮ่องเต้เข้าไปยังบ่อน้ำที่สตรีสกุลอวิ๋นอยู่จริง ในที่สุดเรื่องที่กังวลใจมาทั้งเย็นก็เป็นความจริง เจี่ยงยิ่นออกจากศาลา และเข้าไปในบ่อน้ำโดยที่ไม่คิด เพื่อพาสตรีคุณหนูอวิ๋นนางนั้นออกมา
ตอนที่เข้าไป เขาเห็นสายตาของหนิงซีฮ่องเต้มองสตรีผู้นั้นด้วยความลุ่มหลงกับตาตนเอง พระองค์เข้าใกล้นางอย่างยิ่ง ทั้งยังจับแขนของนางไว้ไม่ยอมปล่อย กระซิบกระซาบกันไม่จบ โชคดีที่นางสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย น่าจะเป็นเพราะนางขึ้นมาจากในบ่อน้ำก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
เจี่ยงยิ่นคิดว่าสตรีสกุลอวิ๋นจะตกใจจนลนลาน คิดไม่ถึงว่าพอได้เห็นหน้า แต่กลับถามเรื่องราวในปีนั้นทันทีที่เอ่ยปาก น่าขันดีทีเดียว เหงื่อกาฬเย็นเยียบบนแผ่นหลังของตนเพิ่งแห้ง…เขาเองลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่ายางเสียอีก ได้แต่จ้องมองนาง และกล่าวกับเขาว่า “ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่กระโจม เรื่องในวันนี้อย่าได้แพร่งพรายกับใคร สาวใช้ในตำหนักหลายคนด้านนอกบ่อดอกบัวเห็นเจ้าเข้าไปในบ่อพร้อมกับฝ่าบาท ข้าจะบอกให้พวกนางปิดปากเงียบด้วย” เขาชะงักไป ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “สองสามวันนี้เจ้าอย่าได้มาที่ทางเดินระหว่างตำหนักอีก หากสาวใช้ในตำหนักเล่าเรื่องนี้ออกไป เจ้าคงเดือดร้อนแน่”
อวิ๋นหวานชิ่นเห็นเขาจะจากไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางไม่ได้ปล่อยให้เขาหายไปในป่าไผ่ง่ายเช่นนั้น นางเอ่ยปากว่า “ท่านกั๋วจิ้ว ภายในวันนี้พวกเราเจอกันเพราะวาสนาถึงสองครั้งแล้ว เรื่องในครานั้น ท่านให้ข้าอธิบายบ้างได้หรือไม่”
เจี่ยงยิ่นจนใจกับความโผงผางของนาง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าบุรุษผู้นั้นไม่ใช่ข้า เจ้าไม่เชื่อข้าก็จนใจนัก…ข้าไปได้หรือยัง คุณหนูใหญ่?”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขาเงียบๆ “ข้าไม่บอกว่าไม่เชื่อ ไม่ใช่ท่านกั๋วจิ้ว แต่เป็นคนที่ท่านกั๋วจิ้วรู้จัก”
เจี่ยงยิ่นสบตากับนาง “ข้าไม่รู้จัก”
“ท่านไม่กล้าพูด หรือฐานะของบุรุษผู้นั้นสูงส่งกว่าท่าน ตำแหน่งก็สูงกว่าอย่างนั้นหรือ? หรือว่า…เป็นญาติของท่าน เจี่ยงอวี้สื่อผู้เถรตรง หรือจะกลัวยศตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่มิชอบเพราะเห็นแก่ญาติ มีเรื่องที่ไม่อยากพูดใช่หรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ สืบสาว “หรือจะบอกว่าบุรุษผู้นั้นทำเรื่องน่าอายอะไรต่อแม่ข้า เพื่อที่ท่านกั๋วจิ้วจะปกป้องนาง จึงไม่ยอมพูดกับข้าใช่หรือไม่”
“นี่ เจ้าหนู” เจี่ยงยิ่นแม้จะถูกนางบีบเค้น เขากลับไม่โมโห และยังยิ้มออกมาได้ “วิธียั่วโมโหข้าไม่ได้ผลหรอกนะ” เขากล่าวพลางถอนใจ “ดึกแล้ว รีบกลับไปเถิด หากสาวใช้และนางกำนัลไม่เห็นเจ้า แล้วเอะอะโวยวายขึ้นมา จนทำให้ใครเข้ามาดู ข้าว่าถึงเจ้าอยากจะปิดบัง ก็เกรงว่าจะปิดไม่มิดแล้ว”
“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็เร็วหน่อยเถิด หรือท่านกั๋วจิ้วคิดว่าข้ายังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าก็เพียงอยากได้ยินเรื่องราวฉบับสมบูรณ์จากท่านเท่านั้น แม้แต่เรื่องที่บ่อน้ำในวันนี้จะมีคนตั้งใจวางแผนให้ข้าติดกับ เช่นนั้นก็ช่างเถิด แต่ท่านให้ข้าเข้าใจความจริงหน่อยได้หรือไม่”
คอหอยของเจี่ยงยิ่นพลันขยับ ขณะกำลังจะเรียกคนเข้ามาพาตัวนางไปส่ง เด็กสาวก็เข้ามาใกล้ใต้จมูกโด่งของเขา ราวกับผีเสื้อมีปีกบินก็ไม่ปาน ก่อนจะพ่นลมหายใจหอมหวนออกมา “ชิงเหยา ท่านกั๋วจิ้วจำชื่อนี้ได้หรือไม่”
น้ำเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล เจือความถากถางเล็กน้อย
ชื่อคนตายที่จากไปหลายปีแล้วก็เหมือนวิญญาณร้ายจากสุสาน วนเวียนอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำหนัก
เจี่ยงยิ่นไม่เคยเห็นเด็กสาวที่ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น มีสายตาหนักแน่นและโกรธเคืองเช่นนี้ เขาเห็นนางอ้าปาก ทว่าได้ยินเพียงเสียงพ่นลมหายใจ ก่อนที่นางจะกล่าวกับเขาอย่างไม่ปิดบัง
“…ชิงเหยา สวี่ชิงเหยา เป็นชื่อท่านแม่ของข้า ก่อนออกเรือนนางไม่ก้าวเท้าออกจากบ้านสักนิด หลังเป็นฝั่งเป็นฝายิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคุณหนูติดบ้าน เป็นภรรยาที่คอยดูแลเรือน หลังจากนั้นไม่นาน ข้ากลับได้ยินจากปากของราชสำนัก ท่านกั๋วจิ้ว ท่านว่าข้าควรดีใจ หรือควรร้องไห้”
เจี่ยงยิ่นจ้องเขม็งไปที่เด็กสาว
อวิ๋นหว่านชิ่นควักผ้าเช็ดหน้าสีทองอ่อนที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมา สะบัดตรงหน้าอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง “ในบทกลอนนี้ ข้าทรมานมานานเหลือเกิน ด้วยคิดไม่ตกมาโดยตลอด แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้ากลับเข้าใจแจ่มแจ้ง ‘จิตเหมือนธรรมในวัด’ ไม่รู้นับว่าเป็นอนุสรณ์ระหว่างคนในวัดกับแม่ของข้าหรือไม่ ‘ใจลอยจากกระจก’ ข้าไม่เคยรู้ว่ากระจกนั่นหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้ถึงได้ตระหนัก ว่าหลังคาบ้านใครบนโลกจะใช้กระจกมุง หากไม่ใช่บ้านของฮ่องเต้”
เจี่ยงยิ่นกลั้นหายใจ ทว่าสายตากลับล่อกแล่ก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ยืนกรานเช่นเมื่อครู่แล้ว
เสียงของเด็กสาวค่อยๆ ดังขึ้น เหมือนเสียงจากภวังค์ฝัน “เห็นทีกลอนห้านี้อาจจะเป็นกลอนตกลงคบหาดูใจ ‘ผูกพันใต้ต้นไม้’ ก็มีชื่อของแม่ข้า ในเมื่อมีชื่อของสตรี ก็ต้องมีชื่อของบุรุษด้วย วันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ข้าถึงนึกขึ้นได้ว่าฝ่าบาทมีสกุลเซี่ยโหว นามว่า ‘จ่างเยว่’”
เมื่อคำสุดท้ายออกจากปากนาง กล้ามเนื้อของเจี่ยงยิ่นพลันขมวดเกร็ง ก่อนที่เขาถอนหายใจออกมา สวรรค์โปรด เด็กหญิงคนนี้ไม่ใช่เด็กอายุสามสี่ขวบแล้ว นางโตเป็นสาวแล้ว จิตใจละเอียดอ่อนยิ่งกว่าคนวัยเดียวกันเสียอีก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คงจะปิดบังไม่ได้แล้วเช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็เปิดเผยทุกอย่างเลยแล้วกัน
ครั้งที่ไปไหว้พระที่วัดเซียงกั๋วในปีนั้น มีบุรุษผู้หนึ่งร่วมเดินทางไปกับเจี่ยงยิ่น ด้วยคนผู้นั้นสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ไม่เปิดเผยฐานะ จึงไม่ได้โดดเด่นและเตะตาไปมากกว่าเจี่ยงยิ่นเท่าไรนัก ส่วนท่านยายเว่ยก็สนใจแต่เจี่ยงยิ่ง ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นสนใจแต่เขาด้วยเช่นกัน จึงมองข้ามบุรุษที่ร่วมเดินทางมาด้วยไปโดยปริยาย
ไม่มีใครคาดคิด ว่าความจริงแล้วคนที่ให้คนมาตาแม่นางสวี่ชิงเหยาเข้าตำหนัก และพูดคุยกับนางในตำหนัก เป็นบุรุษที่แต่งกายธรรมดาข้างกายเจี่ยงยิ่น…องค์ชายรัชทายาทในอาภรณ์สามัญ
กวีที่แต่งกลอนให้มารดาของนางอย่างลับๆ ในค่ำคืนฤดูหนาว กับบุรุษที่นางรู้จักก่อนแต่งงงาน ล้วนเป็นเซี่ยโหวรุ่ย หนิงซีฮ่องเต้
สายตาของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันเฉยชาขึ้นหลายส่วน “มิน่าเล่าพ่อของข้าถึงไม่กล้าแพร่งพราย ยอมถูกสวมเขาเช่นนี้ ทั้งยังจัดหาเรือนให้คนทั้งคู่ไปพบกันข้างนอกด้วยตัวเอง ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า…น่าขันนัก น่าขันเสียจริง หลายปีมานี้พ่อของข้ารุ่งเรืองในราชสำนัก ทั้งยังมีการเลื่อนขั้นเร็วๆ นี้อีก หรือจะเป็นเพราะ…มอบภรรยาของตนเองให้องค์ฮ่องเต้” ครั้นพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางยิ่งเฉยชาราวกับจะกรีดเนื้อได้ หากรู้ก่อนว่าพ่อของนางอาศัยสตรีนางหนึ่งเพื่อให้ได้ซึ่งยศตำแหน่งมาทั้งชีวิต ใช้ภรรยาแลกมาซึ่งเกียรติยศสูงสุด เช่นนั้นก็ช่างน่ารังเกียจเสียเหลือเกิน!
เจี่ยงยิ่นจ้องนางเขม็ง “เจ้าหนู เจ้าอย่าได้คิดมากจนเกินไป แม่ของเจ้ากับ…คนผู้นั้น ไม่ได้ทำเรื่องเลวทรามเช่นที่เจ้าคิด และไม่เคยมีเรื่องเกินเลย คนผู้นั้นไม่เคยบังคับให้แม่เจ้าทำเรื่องที่นางไม่เต็มใจ หากแม่เจ้ารู้จักเขาตั้งแต่เจอกันโดยบังเอิญในวัด และยังรู้จักกันก่อนเรียนตำรา พูดแล้ว…” เขาถอนหายใจ “หากไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิด แม่ของเจ้าคงไม่คลาดกับคนผู้นั้น และคงไม่ได้แต่งให้พ่อของเจ้า จนได้เข้าวังในท้ายที่สุด”
ความหมายของเจี่ยงยิ่นคือ แม่ของนางและคนผู้นั้นแอบรักใคร่กัน ควรจะเป็นคู่กันกระนั้นหรือ?
สายตาของอวิ๋นหว่านชินมองไปที่หิมะตรงปลายกิ่งต้นเหมยเหนือผ้าคาดผมของอีกฝ่าย บนนั้นมีดอกเหมยสีทองอ่อน ทำเอานางหวั่นไหว ตอนที่ท่านแม่ยังไม่แต่งออกไป ก็เคยปลูกต้นเหมย ต้นกล้วยไม้ ต้นไผ่ และต้นเก๊กฮวยอยู่ที่หมู่บ้านโย่วเสียน ดอกเหมยบานสะพรั่งที่สุดในบรรดาทั้งหมด และนางได้รู้จากปากของเฮ่ยเหลียนกุ้ยผินครั้นเข้าวังคราวก่อน ว่าหนิงซีฮ่องเต้โปรดดอกเหมยเป็นที่สุด
หากไม่ใช่เพราะอาลัยรักเก่า เหตุใดต้องโปรดสิ่งที่มารดาของนางชอบด้วยเล่า
พูดเช่นนี้ เรื่องราวแต่เดิมควรจะเป็น ครั้นมารดาเป็นนางกำนัล นางพบเซี่ยโหวรุ่ยขณะจุดธูปอยู่ในวัดโดยบังเอิญ จากนั้นนางก็แอบชอบพอเขาอยู่ฝ่ายเดียว หรือทั้งสองฝ่ายอาจจะชอบกัน มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เซี่ยโหวรุ่ยอยากพานางเข้าวังในทันที แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดบางอย่าง ผลสุดท้ายท่านแม่ก็แต่งให้กับขุนนางหน้าใหม่ของราชำนัก ภายใต้การจัดการของท่านกั๋วจิ้วอย่างนั้นหรือ?
ถึงแม้จะไม่มีใครรับประกันได้ ว่าท่านแม่จะมีความสุขไปชั่วชีวิตในวังหลวง แต่อย่างน้อยก็เป็นคนที่ตนเลือกเอง เป็นชีวิตที่ลิขิตเอง
หากพูดเช่นนี้ ความเข้าใจผิดที่ทำให้ทั้งสองคนต้องแยกจาก นับเป็นจุดพลิกผันในชีวิตของท่านแม่ พูดได้ว่าเป็นเหตุผลให้ท่านแม่ตรอมใจตาย
“ท่านกั๋วจิ้ว เหตุใดท่านแม่ของข้าถึงแยกกับคนผู้นั่นเล่า” อวิ๋นหว่านชิ่งตัดสินใจแล้ว แต่กลับไม่ชินที่จะเรียกยศหรือชื่อของคนผู้นั้น
บนใบหน้าของเจี่ยงยิ่นปรากฎความลังเล แต่สุดท้ายก็เอ่ยปาก “เรื่องราวล้วนเป็นอดีตไปแล้ว พูดขึ้นมาก็ไม่มีอะไรดี เจ้ารู้แล้วก็พอ เมื่อได้รู้เรื่องเช่นนี้แล้ว ทุกฝ่ายก็คงสบายใจ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ในเมื่อท่านกั๋วจิ้วไม่อยากตอบ เช่นนั้นท่านควรจะตอบคำถามข้าข้อหนึ่ง เหตุใดท่านลุงถึงช่วยข้าเช่นนี้”
เจี่ยงยิ่นมองนาง เด็กสาวผู้นี้ไม่ยอมแพ้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังวางกับดักทางคำพูดกับเขาอีก หากไม่ใช่เพราะใบหน้ารูปไข่สะสวยของนางแล้ว เขายังคิดว่านางอายุมากกว่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันมาหนึ่งชั่วอายุคน นางโตเกินวัยอย่างยิ่ง ก่อนจะยิ้มด้วยความเสียดาย “ปีนั้นข้าเกิดความคึกคะนอง พาฝ่าบาทไปจุดธูปไหว้พระที่วัดเซียงกั๋ว หากไม่ใช่เพราะข้า แม่ของเจ้ากับเขาก็คงไม่รู้จักกัน พูดขึ้นมาแล้วข้าก็นับว่ามีวาสนาต่อแม่เจ้า ช่วยเหลือเจ้าในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”