คำพูดนี้ไม่น่าฟังยิ่งนัก! ท่านกั๋วจิ้ว…บอกว่าฝ่าบาทได้เปรียบอย่างนั้นหรือ? เหยาฝูโซ่วฟังแล้วก็ยิ้มไม่ออก ทว่าหนิงซีฮ่องเต้กลับชินกับคำพูดเชือดเฉือนน้ำใจเช่นนี้ของกั๋วจิ้วเสียแล้ว จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น “ประเดี๋ยวกล่าวด้วยเหตุผล ประเดี๋ยวกล่าวข่มขู่ เจ้าพูดจามากความเช่นนี้ เพียงเพื่อจะให้ข้าปล่อยสาวใช้ของเจ้า นางเป็นเพียงแค่สาวใช้เท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องโมโหเช่นนี้ด้วย”
ฝ่าบาทยกมือขึ้น เหยาฝูโซ่วรีบสาวเท้ามาที่หน้าตำหนัก ก่อนจะกำชับองครักษ์ในชุดสีเหลืองให้ไปที่หอชมจันทร์ เพื่อให้สาวใช้นางนั้นใช้เกี้ยวเล็กกลับไปทางเดิม ส่งนางกลับไปที่กระโจมของสตรี
“ขอบังอาจถามเพคะ ว่าฝ่าบาทคิดจะจัดการเมี่ยวเอ๋อร์อย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นถอนใจด้วยความโล่งอก ทว่าเส้นเลือดในสมองกลับขมวดเกร็ง วันนี้พระองค์ตัดสินใจด้วยความรีบร้อน แล้ววันหน้าเล่า เมี่ยวเอ๋อร์ยังสาว อวิ๋นหว่านชิ่นต้องคิดแทนอนาคตที่เหลือของนาง สตรีที่ฝ่าบาทเคยร่วมหลับนอนเช่นนี้ หากตัดสินใจจะแต่งงานในภายหลังคงจะไม่ได้แล้ว เดิมทีชิวิตของพี่สาวต่างมารดาก็ลำบากพอตัว ไหนเลยนางจะทนเห็นอีกฝ่ายช่วยชีวิตตนแล้ว และถูกทอดทิ้งเหมือนรองเท้าคู่เก่า ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตได้อย่างไร
เป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร ถึงคราวจำเป็นก็ต้องเจรจา หาวิธีพูดให้ดี!
เมี่ยวเอ๋อร์? หนิงซีฮ่องเต้งุนงงอยู่นาน ก่อนจะตระหนักได้ว่าเป็นชื่อของสาวใช้คนนั้น พระองค์ยิ้มออกมา “เจ้าอยากให้ข้าจัดการอย่างไร? สาวใช้คนนี้หลอกลวงข้า ข้าโกรธที่นางทำผิด เจ้าหวังให้ข้าตบรางวัลให้นางเป็นกอบเป็นกำ แล้วเรียกนางมาปลอบขวัญหรืออย่างไร”
“คุณหนูอวิ๋น ได้คืบอย่าเอาศอกเลยขอรับ” เหยาฝูโซ่วเดินเข้ามาจากหน้าประตูตำหนัก เขาสะบัดปลายผม พลางขมวดคิ้ว แล้วตำหนิเสียงเบา
เจี่ยงยิ่นก็แอบส่งสัญญาให้อวิ๋นหว่านชิ่นเช่นกัน “เด็กน้อย”
ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากหน้าตำหนัก นางกำนัลเข้ามากราบทูลในตำหนักว่า “ฝ่าบาท ฮองเฮาเสด็จเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้ลังเลก่อน แล้วผงกีรษะเล็กน้อย ฝ่ายเหยาฝูโซ่วรับคำ “ยังไม่ออกไปทูลอีก”
เจี่ยงฮองเฮาสวมชุดคลุมลายนกยูงสีน้ำเงิน มีปีกลายหงส์สีทองที่ขอบนอก นางเกล้าผมทรงสูง ภายในมวยผมปักปิ่นทรงพัดลายดอกโบตั๋น สีหน้าของนางดูเรียบเฉย แววตาไร้ความตระหนก ไม่แตกต่างจากเวลาปกตินัก ไม่เห็นความผิดปกติใด สีหน้าของนางในวันนี้ดีกว่าเมื่อวานมาก ดูสดใสอิ่มเอิบ ก่อนจะประสานมือขาวนวลคำนับฮ่องเต้
นางนั่งลงบนบัลลังก์ไต้ซือลายอีกาทำจากไม้แดง เจี่ยงฮองเฮาเหลือบมองพี่ชายของตนด้วยความไม่พอใจครั้งหนึ่ง ด้วยเขาปกป้องสตรีสกุลอวิ๋นนางนี้ยิ่งนัก ทั้งยังพาอีกฝ่ายมาหาฮ่องเต้ด้วยตนเองอีก
เจี่ยงยิ่นเห็นน้องสาวมีสายตาไม่พอใจ จึงชำเลืองสายตาไปทางอื่น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
หนิงซีฮ่องเต้รู้ว่าอองเฮามาในครั้งนี้ ต้องเป็นเพราะมีเรื่องอยากขอร้องแน่ จึงถาม “ฮองเฮาสบายดีหรือไม่ หากไม่สบายกายก็ควรพักอยู่ในห้องบรรทม มาถึงที่นี่ด้วยเหตุใดกัน”
เจี่ยงฮองเฮาพยักหน้ารับ “ลำบากให้ฝ่าบาทต้องเป็นห่วงแล้ว เมื่อวานข้าดื่มน้ำแกงบำรุงประสาทที่หมอหลวงจัดการให้ไปถ้วยหนึ่ง ตอนเย็นได้แช่น้ำร้อน วันนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมากแล้วเพคะ เพียงแต่ได้ยินว่าเกิดเรื่องเล็กน้อยที่หอชมจันทร์ คล้ายกับมีการวางแผนหลองลวง จึงลองมาดูสักหน่อยเพคะ” นางพูดพลางสอดส่องสายตาไปรอบๆ ก่อนจะจ้องมองที่คุณหนูตระกูลอวิ๋น แล้วถอนสายตากลับไปทันที
ครั้นหนิงซีฮ่องเต้ได้ฟัง ก็รู้ว่าฮองเฮารู้เรื่องที่ตนเรียกคนมาปรนนิบัติที่หอชมจันทร์แล้ว แม้แต่เรื่องที่ตนร่วมหลับนอนกับคนอื่นก็รู้แล้ว เป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกันมาหลายปีเช่นนี้ นางจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างไร ในเมื่อนางมาหาถึงที่ ก็คงไม่ต้องปิดบังให้มากความแล้ว “ฮองเฮารู้เรื่องแล้วสินะ”
ไหนเลยเจี่ยงฮองเฮาจะไม่รู้ ว่าฮ่องเต้บังเอิญพบอวิ๋นหว่านชิ่นที่บ่อน้ำเมื่อวาน จึงให้คนจับตาดูพระองค์ไว้ตลอด วันนี้ได้รู้อีกว่าฮ่องเต้ส่งเหยาฝูโซ่วไปรับเด็กสาวที่กระโจมสตรี นางก็นั่งไม่ติดที่ ครั้นสืบจนได้ความ ว่าสาวใช้ของอีกฝ่ายปลอมตัวมาหลอกลวง ส่งตนเองมาปรนนิบัติแทนคุณหนูสกุลอวิ๋น นางรู้สึกโล่งใจลงได้ ทว่าเมื่อได้ยินว่าอวิ๋นหว่านชิ่นวิ่งโร่มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเอง นางก็ยิ่งวางใจไม่ลง แล้วรีบมาเข้าเฝ้าบ้าง
เด็กสาวคนนี้เหมือนระเบิดเวลา ไม่อาจปล่อยให้คาดสายตาได้เลย
เจี่ยงฮองเฮาหันหน้าไปหาฮ่องเต้ มุมปากระบายยิ้ม “ฝ่าบาทเรียกสาวใช้ข้างกายคุณหนูอวิ๋นมาปรนนิบัติหรือเพคะ แล้วพระองค์คิดจะจัดการกับนางอย่างไร”
เหยาฝูโซ่วมองฮ่องเต้ที่มีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะช่วยตอบ “ฮองเฮา สาวใช้นางนั้น ฝ่าบาทปล่อยคืนให้คุณหนูอวิ๋นแล้ว ตอนนี้…ส่งไปที่กระโจมสตรีแล้วพะยะค่ะ”
เจี่ยงฮองเฮารับถ้วยน้ำชาที่ไป๋ซิ่วฮุ่ยส่งมาให้ ขณะที่หันหน้าไปดื่ม สายตาของนางเหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ตลอด นางตัดสินใจแล้ว พลางลูบปากถ้วยชาอย่างช้าๆ “คนที่เคยปรนนิบัติฝ่าบาทแล้ว จะปล่อยไปเช่นนี้หรือเพคะ”
เหยาฝูโซ่วตะลึงงัน ไม่รู้ว่าฮองเฮาหมายความว่าอย่างไร ฝ่ายหนิงซีฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น “ฮองเฮามีอะไรจะพูด ก็พูดมาตามตรงเถิด”
“สตรีที่ได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาท ขอเพียงไม่ใช่ขโมยและกระทำอาชญากรรม ก็ไม่มีเหตุผลใดต้องปล่อยไป นางเป็นของฝ่าบาทแล้ว ก็ไม่อาจแต่งให้กับชายใดอีก หากทำให้ตนเองแปดเปื้อนอยู่ภายนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เท่ากับทำให้ฝ่าบาทเสียหน้า คงจะไม่ดีกระมัง” เจี่ยงฮองเฮาพูดจาหนักแน่น สายตาเด็ดเดี่ยว เหมือนทะเลสาบที่สงบเงียบ
เจี่ยงฮองเฮาจะให้หนิงซีฮ่องเต้รับเมี่ยวเอ๋อร์เข้าวังหรือ? อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกหวั่นใจ
หนิงซีฮ่องเต้ก็ประหลาดใจมากอย่างเห็นได้ชัด “เช่นนั้น ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไร”
เจี่ยงฮองเฮาเม้มดูดยาสูบหลงจิ่งเบาๆ ควันสีขาวลอยฟุ้ง วนเวียนอยู่ตรงหน้าใบหน้าเย็นชา ปิดบังความรู้สึกของเขาไปเกินครึ่งหน้า “ในเมื่อเป็นคนที่ฝ่าบาทเอ็นดู ขอเพียงฝ่าบาทไม่รังเกียจ ก็รับเข้าวังเถิดเพคะ หนึ่งเพื่อป้องกันคนพูดลับหลัง ให้พวกเขาเห็นถึงความเมตตาของฝ่าบาท ส่วนข้อสอง เมื่อครู่หม่อมฉันได้พูดไปแล้ว ว่าสตรีนางนั้นจะได้ไม่ทำให้ราชวงศ์เสียหน้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งขยับมือ ทว่าเจี่ยงยิ่นกลับแอบดึงรั้งอยู่ข้างหลังนาง ครั้นนางหันหลังกลับไป ก็ได้สบสายตาของเจี่ยงยิ่น ทำเอานางรู้สึกผ่อนคลาย และเข้าใจถึงความหมายของอีกฝ่าย บางทีนี่อาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของเมี่ยวเอ๋อร์ ในเมื่อได้เข้าวังแล้ว จะต้องไห้รับตำแหน่งทรงเกียรติแน่นอน
สำหรับเมี่ยวเอ๋อร์ที่ตัวคนเดียว เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นเฟยผินเหนือสนมเป็นหมื่นคน ก็นับเป็นก้าวใหญ่ทีเดียว
แต่หากคิดในอีกมุมหนึ่ง มารดาของเมี่ยวเอ๋อร์จากไปโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกระทั่งวันนี้ยังไม่กระจ่างแจ้ง นางเป็นบุตรสาวคนโตของสกุลอวิ๋นแท้ๆ แต่กลับไม่มีเกียรติ ทำได้เพียงเป็นสาวใช้ เดิมทีก็ทั้งน่าอดสู น่าอึดอัด บัดนี้ยิ่งน่าเวทนา ได้เจอโชคดีสักครั้ง แต่ยังต้องเสียโชคนั้นไป ชีวิตสาวใช้ในภายภาคหน้าจะต้องมีแต่คนตราหน้า ไม่มีทางมีความสุข
หากได้กลายเป็นหยกงามในวังหลัง ได้ขึ้นเป็นเฟยผินอย่างถูกต้อง อย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่ต่างออกไป
หนิงซีฮ่องเต้ปฏิเสธความคิดของสกุลเจี่ยงน้อยครั้งนัก ครั้นเห็นฮองเฮายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างใจกว้างด้วยตนเอง เขาก็ไม่ลังเลอีก “ฮองเฮาดูแลวังหลังมาหลายปี เช่นนั้นก็จัดการตามเจ้าว่าแล้วกัน เด็กสาวคนนั้นเป็นเพียงบ่าวในเรือน ฐานะต่ำต้อย เทียบกับทายาทในตระกูลไม่ได้ ให้นางเป็นสนมก่อน ผ่านไปนานวันเข้าค่อยเลื่อนยศ ส่วนเรื่องที่เหลือ ข้าฝากให้ฮองเฮาจัดการด้วย”
เหยาฝูโซ่วบันทึกไว้ทุกคำพูดอย่างคร่ำเคร่ง แล้วค่อยกลับไปประกาศให้สาวใช้ในวังหลังไปจัดการ เจี่ยงฮองเฮาตอบรับอย่างใจเย็นเช่นกัน “เพคะ ฝ่าบาท”
หลังจากตอบรับฮ่องเต้เสร็จ เจี่ยงฮองเฮาก็มองอวิ๋นหว่านชิ่นครั้งหนึ่ง แล้วทูลลากับฝ่าบาทไปก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดเพียงจะกลับไปพบเมี่ยวเอ๋อร์ เมื่อเห็นเรื่องราวจัดการลงตัวแล้ว นางจึงก้าวไปข้างหน้าบ้าง “หม่อมฉันไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว”
หนิงซีฮ่องเต้เห็นนางจะไป กลับเอ่ยปากเรียกนางไว้ “หยุดก่อน เจ้าอยู่ก่อน ข้ามีบางอย่างจะพูดกับเจ้าเพียงลำพัง”
เหยาฝูโซ่วได้ยินดังนั้น ก็รีบถอยออกไป แต่เจี่ยงยิ่นกลับระแวงขึ้นมา “ฝ่าบาทจะแต่งตั้งสนมใหม่ไม่ใช่หรือพะยะค่ะ”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการถากถาง ทว่าหนิงซีฮ่องเต้กลับไม่มีเวลารับมือกับเขา เพียงพูดย้ำอีกครั้งหนึ่ง “กั๋วจิ้วโปรดออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับคุณหนูอวิ๋นเพียงลำพัง”
เจี่ยงยิ่นกล่าวเสียงเบา “ฝ่าบาทไม่เห็นหัวประชาชนได้ ส่วนประชาชนทำได้เพียงปกป้องอยู่ข้างกาย”
แม้หนิงซีฮ่องเต้จะใจดีกับกั๋วจิ้วเพียงใด ทว่าคราวนี้เขากลับอายจนโมโหแล้ว เขาตบโต๊ะทรงงานครั้งหนึ่ง “ไร้สาระ! ปกป้องรึ? หรือว่าข้าเป็นสัตว์ป่า จะกินนางเข้าไป เจี่ยงยิ่น เจ้ากำลังรังแกข้า ความอดทนของข้ามีจำกัด อย่าคิดว่าเจ้ามีฝีมือเพียงเล็กน้อยก็จะลำพองใจได้ ระวังข้าจะเด็ดหัวเจ้า!”
“ฮ่าๆ” เจี่ยงยิ่นสวมชุดนักพรตเต๋าประยุกต์ เข้าสะบัดแขนเสื้อ พลางอมยิ้ม “เรื่องที่ฝ่าบาทเพิ่งทำในวันนี้ เรียกว่าไม่กล้าปล่อยประชาชนไป! ส่วนเรื่องเด็ดหัว สองสามปีนี้หม่อมฉันฝึกสมาธิอยู่ในเขา เกือบจะถูกสัตว์ป่าในภูเขาเด็ดหัวอยู่หลายครั้ง ฝึกความกล้าขึ้นได้มาก ไม่กลัวอะไรเท่าไรนัก ครั้งนี้ก็ไม่เป็นไรพะยะค่ะ จะต้องถูกเด็ดหัวก็เป็นไปตามนั้น”
นี่เท่ากับว่าเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว! อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหนิงซีฮ่องเต้โมโหจนหน้าแดง หลังจากได้ยินคำพูดดักทางของกั๋วจิ้ว เขาแทบจะสำลัก ทั้งยังไอไม่ยอมหยุด นางกำนัลในตำหนักล้วนหวาดหวั่นจนออกไป แม้แต่ถวายน้ำให้ชุ่มคอก็ไม่มี เมื่อใจเน็นลงได้บ้าง อวิ๋นหว่านชิ่นถึงกล่าวอย่างประนีประนอม
“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใด โปรดพูดเถิดเพคะ”