อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจเป็นนัยๆ แล้ว ในตำนานเล่าว่า มังกรมีบุตรเก้าองค์ ปี้อั้นเป็นบุตรคนที่เจ็ดจากทั้งหมด มันมีนิสัยเข้มงวดและรักความยุติธรรม ชอบตัดสินคดีมาก โดยเฉพาะเรื่องการจำคุกกักขัง ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้ว ส่วนหัวของปี้อั้นจะสลักอยู่บนประตูคุก เพื่อเพิ่มอานุภาพและให้ผู้อื่นยอมสยบ และสามารถกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินคดีในศาล
เจี่ยงยิ่นเคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจการ มีหน้าที่ตัดสินบทลงโทษจำคุก ป้ายหยกสลักปี้อั้นนี้ จึงเหมาะสมกับเขาอย่างยิ่ง
เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขากระมัง?
“ท่านกั๋วจิ้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นประคองป้ายหยก แล้วถามด้วยความสงสัย “นี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
เจี่ยงยิ่นอ้มยิ้มน้อยๆ “ป้ายหยกปี้อั้นนี้ เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้บุรุษสกุลเจี่ยง พ่อของข้ากับข้าในวัยหนุ่มล้วนเคยทำหน้าที่ตัดสินโทษจำคุก ข้าไม่ได้ทำงานในราชสำนักแล้ว วันหน้าก็ไม่อาจทำงานให้ราชสำนักได้อีก ป้ายหยกนี้ไม่มีความหมายต่อข้าแล้วจริงๆ ข้าขอมอบให้เจ้าแล้วกัน”
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลเหมือนแมลงปอสัมผัสน้ำ ทำเอาอวิ๋นหว่านชิ่นตกใจจนตัวโยน รีบถอยหลัง “นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมอบให้ท่านกั๋วจิ้ว ท่านจะมอบให้ข้าได้อย่างไร อีกอย่างข้าเก็บป้ายหยกนี้ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มันมีค่าเกินไป…”
“ใครบอกว่าไม่มีประโยชน์” เจี่ยงยิ่นยิ้มที่มุมปาก ตั้งใจบิดเบือนคำพูดของนาง “อย่าได้ดูถูกมันเชียว” เขาหก้มหน้าลง กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของนาง “เจ้าเป็นฮ่องเต้ แต่เหตุใดปล่อยข้าไปง่ายดายเช่นนี้ หรือว่าไม่เชื่อคำพูดของข้าจริงๆ? เจ้าอาจจะต้องพึ่งมัน มีอะไรล้ำค่ากัน เจ้าคิดว่ามันเทียบไม่ได้กับเสื้อกันลมตัวนี้หรือ ของของข้า ข้ายินดีจะมอบให้ใคร ก็จะมอบให้ผู้นั้น”
ว่าจบแล้วเขาก็หัวเราะ ก่อนจะหมุนตัว ดึงเชือกในมือ พร้อมทั้งก้าวขา พาม้าของราชสำนักเดินไป
เงาร่างผอมบางหายไป ท่ามกลางหมอกสีขาวในยามเช้า
อวิ๋นหว่านชิ่นกำป้ายหยกไว้ พลางมองส่งเจี่ยงยิ่นจากไป สติของนางค่อยๆ กลับมา นางก้มหน้าลง ตระหนักได้ถึงคุนค่าของป้ายหยกปี้อั้นนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจการมักจะตัดสินคดีแทนฮ่องเต้ และถือป้ายหยกนี้ไว้ในมือ ตรวจการไปทั่วทั้งสี่มุมเมือง เพื่อให้ทำงานได้สะดวก ไม่ถูกขัดขวาง และนี่ยังเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ แม้แต่หนิงซีฮ่องเต้เห็นเข้า ก็หมดหนทางจะขัดขวางการจากไปของเจี่ยงยิ่นอีก มีอำนาจเหนืออ๋อง โหว กง ชิง หรือแม้กระทั่งรัชทายาท ไม่แน่ว่าไม่ต่างอะไรกับดาบประหาร
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจเอาอากาศเย็นๆ ออกมา เพียงเก็บป้ายหยกปี้อันไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อ ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าเป็นของที่ระลึก
ผ่านไปนานทีเดียว ขบวนล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิออกเดินทาง
ทุกคนเดินทางกลับอย่างราบรื่น รวดเร็วกว่าขาไปนัก ด้วยระหว่างทางไม่ได้หยุดพัก ตั้งแต่ออกจากลานล่าสัตว์ฮู่หลง ใช้เวลาสองคนก็ใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว
ชุมนุมล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิในปีก่อนๆ ใช้เวลาเดินทางไปกลับเกือบสิบวัน ครั้งนี้กลับใช้เวลาไม่ถึงเจ็ดถึงแปดวัน วันก่อนองครักษ์กลุ่มหนึ่งได้รับบัญชาจากเบื้องบนว่าให้เก็บของ จัดการเก็บกวาดทุกอย่าง เตรียมเดินทางกลับ นับว่ากะทันหันอยู่บ้าง ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
หลังจากรถม้าอยู่ระหว่างทาง อวิ๋นหว่านชิ่นดึงเจิ้งหัวชิวมาถามเป็นการส่วนตัว เพราะอยากรู้ว่ามีสถานการณ์พิเศษอะไรหรือไม่
เจิ้งหัวชิวเห็นนางคิดมาก จึงไม่ปิดบัง และบอกเหตุผลที่หนิงซีฮ่องเต้กลับเมืองหลวงไปก่อนเมื่อสองวันก่อน
เดิมทีก่อนการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ซุนจวิ้นอ๋องเปิดโปงว่าเว่ยอ๋องใช้เหล้าดอกท้อใส่ร้ายฉินอ๋อง แต่เกือบจะทำร้ายไทเฮาเข้า หนิงซีฮ่องเต้ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ เพียงมอบให้ฝ่ายอาญาไปตรวจสอบ กลับเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากัน
ใครจะไปคิดว่าออกจากเมืองหลวงมาหลายวันนี้ เรื่องนี้กลับถึงหูไทเฮาเข้าแล้ว
เจี่ยไทเฮาเดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าห้า ตอนนี้ได้รู้ว่าซุนจวิ้นอ๋องยอมพูดความจริงแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้บอกนาง ทั้งยังปิดบังไว้แน่นหนา คิดเพียงว่ายังคงปกป้องเว่ยอ๋อง ทำเอานางโกรธจนต้องเรียกรัชทายาทและอวี้เหวินผิงมา อยากไรก็จะสอบถามและตัดสินในทันที
รัชทายาทกับอวี้เหวินผิงร่วมมือกัน ส่งม้าเร็วมามอบจดหมายให้ฮ่องเต้ที่ลานล่าสัตว์ฮู่หลง ครั้นหนิงซีฮ่องเต้ได้ยินเข้า พระองค์ถึงได้เดินทางกลับก่อน เพื่อเร่งกลับไปจัดการปัญหาโดยเร็วที่สุด
เพราะเร่งเดินทางตลอดทั้งคืน เมื่อเข้าใกล้ชายขอบเมืองหลวงในยามค่ำคืน ทั้งคนและม้าต่างก็หมดแรง หลังจากปรึกษากันในจวนทรงงานแล้ว รถม้าก็หยุดลง เพื่อให้ม้าได้พักกินหญ้ากินน้ำ และพักหายใจสักหน่อย
ช่วงที่ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ผืนดินตรงหน้ากว้างใหญ่ ถูกยอมด้วยแสงสีทอง ทิวทัศน์ยามนี้งดงามอย่างยิ่ง ขุนนางและเชื้อพระวงศ์หลายคนเก็บตัวอยู่ในรถม้ามานาน จึงพากันลงมายืดเส้นยืดสาย สูดอากาศสดชื่น
เมื่อรถม้าหยุด เฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงก็ลงจากรถม้าอย่างอดไม่ได้ ฝ่ายอวิ๋นหว่านชิ่นเปิดผ้าม่าน เดิมทีนางก็อยากลงจากรถม้าเช่นกัน ทว่าเจิ้งหัวชิวกลับรั้งนางไว้ แล้วยิ้มหยอกเย้า “คุณหนูอวิ๋น บัดนี้ท่านไม่ได้มีฐานะทั่วไปแล้ว จะทำตัวแบบก่อนหน้านี้ ออกไปทักทายผู้อื่นตามใจชอบไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยู่ปาก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ามีเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มดังมาจากอีกด้านหนึ่ง “ท่านพี่!”
เจิ้งหัวชิวรีบลงจากรถ ก่อนจะปราม “คุณชายอวิ๋นมีมารยาทหน่อยเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจิ่งจ้งเห็นเจิ้งหัวชิวเดินมาแต่ไกล ใบหน้าของเขาผ่อนคลาย แสร้งทำเข้มแข็งต่อไม่ไหว จมูกเล็กๆ ย่นเข้าหากัน เด็กชายเดินเข้ามาใกล้หลายก้าว ก่อนจะพิจารณพี่สาวราวกับมองเห็นผี แล้วถามเสียงเบา “ท่านพี่ ดีเหลือเกินนะขอรับ! มีเรื่องอะไรล้วนปิดบังข้า! ไม่ยุติธรรมเลย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเดาได้แล้วว่าเขาต้องถาม เพียงแต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ นางเลิกคิ้ว ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว “จะปิดบังเจ้าได้อย่างไรกัน”
อวิ๋นจิ่นจ้งยิงฟันขาว “ยังกล้าทำเป็นไม่รู้อีกหรือขอรับ คนที่มารับพวกเราออกไปในคืนนั้น ไม่ใช่พ่อบ้านของจวนอ๋อง เป็นเจ้าของจวนอ๋องเอง! ใช่หรือไม่? เป็นท่านฉินอ๋อง!”
“เที่ยวเทศกาลอะไรกัน ตรุษจีนต่างหาก!” อวิ๋นหว่านชิ่นทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ยังจะหลอกข้าอีกหรือ? ข้าเห็นทุกอย่างในงานเลี้ยงลิ้มรสอาหารป่า ก็ว่าเหตุใดถึงได้คุ้นตานัก! ท่านพี่ ข้าเป็นน้องชายของท่านนะ ท่านบอกมาเถิด ว่าพวกท่านรู้จักกันตอนไหน คบหากันมานานเท่าใดแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง แล้วขยี้ศีรษะของน้องชายอย่างอ่อนโยน นางยกยิ้มที่มุมปาก “หากใช้ความคิดเช่นนี้กับการเรียนบ้าง ข้าคงจะเป็นห่วงเจ้าน้อยลงได้บ้าง!”
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นพี่สาวอมพะนำ จึงยู่ปาก ด้วยรู้นิสัยของนางดี หากไม่อยากพูดแล้ว นางจะเอาแต่ปิดปากเงียบ เขาเห็นขันทีที่ติดตามตนเข้ามาเร่งเร้า “คุณชายอวิ๋น ควรกลับไปแล้วขอรับ”
เขาจำใจต้องกล่าวลาไปก่อน ทว่าเดินไปได้ครึ่งทาง ความอยากรู้อยากเห็นยังไม่ได้รับการเติมเต็ม จึงหยุดฝีเท้า ก่อนจะยืดคอ “จริงสิ องค์ชายสามอยู่ที่ไหนหรือ”
ขันทีที่ติดตามมาด้วยอายุมากกว่าอวิ๋นจิ่นจ้งไม่กี่ปี เขาพลันตะลึงงัน “เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นองค์ชายดูคนตกปลาอยู่ที่ริมแม่น้ำขอรับ”
อวิ๋นจิ่นจ้งกลอกตา แล้วตบไหล่ของขันที กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าอยากปลดทุกข์ จะไปหาที่ปลดทุกข์สักหน่อย เจ้าขึ้นรถไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
ขันทีน้อยเกาหัว “เช่นนั้นคุณชายอวิ๋นเร็วหน่อยนะขอรับ ไม่เช่นนั้น…ข้าไปกับท่านด้วยดีกว่า”
อวิ๋นจิ่นจ้งหันหน้าไปทันที “หากมีคนเห็นข้าตอนกำลังปลดทุกข์ ข้าก็ถ่ายไม่ออกสิ! เจ้าก็อย่าเร่งเร้าข้าเลย หากมีคนเร่งตอนกำลังปลดทุกข์ จะป่วยเอาได้ง่ายๆ นะ”
ขันทีน้องหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “ขอรับ เช่นนั้นคุณชายอวิ๋นโปรดรีบหน่อย”
อวิ๋นจิ่นจ้งพยักหน้า พร้อมทั่งเดินไพล่หลังเดินไปที่ริมแม่น้ำ เขามองจากที่ไกลๆ เห็นองค์ชายสวมชุดคลุมสีทองม่วงหลายคนอยู่ริมแม่น้ำจริงดังว่า คล้ายกับมีองครักษ์กำลังตกปลา ส่วนเหล่าองค์ชายยืนมองอยู่
เมื่อเดินเข้าไปมองใกล้ๆ อีกก้าวหนึ่ง กลับไม่เห็นฉินอ๋อง
หรือว่าจะไม่ได้มา? อวิ๋นจิ่นจ้งผิดหวังเล็กน้อย ทว่ามาถึงที่นี่แล้ว เขาไม่อยากยอมแพ้ จึงมองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง ทว่ายังไม่เห็นใคร ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงกลับไปที่จวน แล้วค่อยว่ากัน
อวิ๋นจิ่นจ้งกลับหลังหันเดินไปไม่กี่ก้าว เขาได้พบหญิงงามเดินมาพร้อมกับสาวรับใช้ กำลังเดินตรงมาที่ริมแม่น้ำ
หญิงงามอายุไล่เลี่ยกับท่านพี่ นางปักไข่มุกที่มวยผม สวมชุดกระโปรงลายก้ามปูสีเขียว ตกแต่งด้วยดิ้นสีทอง พร้อมทั้งสวมรองเท้าหนังแกะ ดูแล้วสง่างามยิ่งนัก
เขาจำได้ นางเป็นหลานสาวของฮ่องเต้ หย่งเจียจวิ้นจู่ บัดนี้นางมีสีหน้ารีบร้อน เอาแต่พูดคุยกับสาวใช้ข้างกาย จึงไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ขณะที่นางเดินผ่านไป อวิ๋นจิ่นจ้งกลับได้ยินเสียงของนางลอยมา “…องค์ชายสามอยู่ที่ชายป่าหรือ เขาอยู่คนเดียวใช่หรือไม่”
“เพคะ บ่าวเพิ่งไปดูมาเมื่อครู่” เฉี่ยวเยว่ตอบเสียงเบา
องค์ชายสามหรือ? อวิ๋นจิ่นจ้งเลิกคิ้ว เขาคือองค์ชายที่อาจจะแต่งกับท่านพี่ของตนไม่ใช่หรือ?
เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้า ก่อนจะกลับหลังหันไปกะพริบตาปริบๆ แล้วแอบตามหลังหย่งเจียจวิ้นจู่ไปเงียบๆ