คำพูดไม่ใส่ใจของซย่าโหวซื่อถิงทำเอาขุนนางหลายคนกระซิบกระซาบกัน
ครั้นหนิงซีฮ่องเต้เข้าใจความหมายของฉินอ๋อง สีหน้าของพระองค์ประหลาดใจใจทันที ริ้วรอยบนหน้าผากขมวดเข้าหันกัน ความกดอากาศรอบตัวพลันลดต่ำลง แต่กลับไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
เจี่ยงฮองเฮากลับรู้สึกหวั่นใจ ทว่าก็ยินดีอยู่หลายส่วน ถึงแม้เมี่ยวเอ๋อร์จะเข้าวังแทนอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว แต่ถ้าหากเด็กสาวอยู่ในจวนทั้งวัน ไม่ได้แต่งให้ผู้ใด ก็ยากจะรับนองได้ว่าฮ่องเต้จะขจัดความคิด สายตาที่หนิงซีฮ่องเต้มองเด็กสาวสกุลอวิ๋นอยู่ไกลๆ นั้น ฮองเฮาจะไม่เห็นได้อย่างไร!
องค์ชายสามชิงลงมือเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสคลี่คลายจุดวิกฤตได้พอดี นับว่าเป็นไฟกลางหิมะเลยทีเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจี่ยงฮองเฮาก็วางแผนอยู่ในใจ นอกจากรัชทายาท นางไม่เคยถามองค์ชายองค์ไหนมาก่อน สำหรับองค์ชายสาม นางยิ่งไม่เคยถาม ทว่าดูท่าทางวันนี้นางจำต้องสนับสนุนเขาแล้ว
ซย่าโหวซื่อถิงทำเป็นว่ามองไม่เห็นสีหน้าซับซ้อนของหนิงซีฮ่องเต้ เมื่อเหล่าขุนนางปรึกษากันเสร็จสิ้น พวกเขาก็มองไปทางซือเหยาอัน
ฝ่ายซือเหยาอันก็ไม่ชักช้า เขาเดินออกไปหลายก้าว พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ “คนสนิทของคุณหนูอวิ๋นเล่า”
เจิ้งหัวชิวเป็นเหมือนคนอื่นๆ ในงานเลี้ยง ตกใจจนพูดไม่ออก เรื่องอวี้เฉิงกังในครั้งก่อน แม้นางจะเดาได้แล้วว่าฉินอ๋องกับคุณหนูอวิ๋นคุ้นเคยกันดี แต่ไม่คิดว่าทั้งคู่จะสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ ทั้งยังมอบของล้ำค่าทองหยกแก้วสามชิ้นให้เช่นนี้ เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็รีบก้าวออกมา “บ่าวนามว่าเจิ้งหัวชิว เป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้คุณหนูอวิ๋นเจ้าค่ะ”
ซือเหยาอันพยักหน้า “ดี” เขาโบกมือ ก่อนจะมองทุกคน และบอกองครักษ์ในชุดสีเหลืองให้นำของล้ำค่าทั้งสามชิ้นไป
ฉินอ๋องทำเรื่องได้ชัดเจนยิ่งนัก พูดจริงทำจริง เมื่อพูดออกมาแล้ว เขาก็มอบให้อวิ๋นหว่านชิ่นทันที เจิ้งหัวชิวไม่กล้าชักช้า รีบบอกขันทีข้างกายให้รับของมีค่าชุดนั้นไว้ นางมองสีหน้าของคุณหนูอวิ๋นไม่ออกว่าดีใจเพียงใด ครั้นมองใกล้ๆ ถึงจะเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจึงรีบดึงชายเสื้อของเด็กสาว “คุณหนูอวิ๋น ควรจะออกไปกล่าวขอบคุณนะเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นประคองชุดกระโปรงออกจากที่นั่ง แล้วยืนท่ามกลางผู้คน พลางมองไปด้วยความใจเย็น ขณะกวาดสายตาผ่านซย่าโหวซื่อถิง หัวใจของนางก็เต้นแรงไม่ยอมหยุด
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ทีแรกนางคิดว่าเขามาล่าสัตว์เพื่อทำภารกิจล่าหมีด้วยตนเอง เพื่อฝังจิตใจด้านดุดันของตนเอง ไหนเลยจะคิดว่าจะมีเวลานี้
ตั้งแต่นางเจอเขาครั้งแรก ก็ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นคนรักของนาง
องค์ชายสามมีสีหน้าเรียบเฉยมาแต่ไหนแต่ไร แม้กระทั้งนางคิดว่าเขาเป็นบุรุษที่ชอบเก็บงำความรู้สึกคนหนึ่ง
ความผิดหวังต่อบุรุษในชาติก่อน ความเจ็บปวดที่ได้รับจากความรัก ทำให้นางต้องคิดหน้าคิดหลัง รักษาระยะห่าง สุท้ายก็สร้างหน้าต่างที่ยากจะข้ามผ่านไปได้…
ทว่าวันนี้เขากลับใช้การกระทำมอบสิ่งของล้ำค่าหายากให้นางต่อหน้าฮ่องเต้ ต่อหน้าเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่พระองค์เอ็นดู ต่อหน้าข้าราชบริพาร ทำให้นางตระหนักได้ในทันที ว่าชาติก่อนก็คือชาติก่อน ชาตินี้ก็คือชาตินี้ คนที่อยู่ตรงหน้าต่างหากที่สำคัญที่สุด เหตุใดต้องนำมู่หรงไท่มาเปรียบเทียบกับองค์ชายสามด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความรักพันผูกที่อยู่ในใจจากชาติก่อนก็หายไปโดยสิ้นเชิง
เด็กสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพ สีหน้าของนางเคร่งขรึมเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยองค์ชาย สกุลอวิ๋นโชคดีนัก ทว่าเสียดายนักหากได้รับของล้ำค่าโบราณเช่นนี้ เหล่าคนร่ำรวยอยากได้แต่ไม่มีทางได้ครอบครอง ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้อื่นจะพูดเช่นไร หากไม่ระวังทำพังเข้า ข้ายิ่งไม่มีหน้าจะพบฝ่าบาท”
เซี่ยโหวซื่อถึงหมุนฝ่ามือ ใบหน้าคมหม่นลงในทันที เด็กสาวคนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ทำลายเกียรติของตนเองหรืออย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขากำลังขอพระราชทานอภิเษกจากฝ่าบาทแท้ๆ! หรือว่านางจะไม่ยินยอม?
เมื่อคืนวานนางห้อตะบึงไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง ทั้งยังรักษาแผลให้เขาด้วย แล้วยังทำเช่นนั้นในรถม้า…
ผ่านไปเพียงคืนเดียว ก็เปลี่ยนไปได้เช่นนี้เลยหรือ?
ความคิดของนาง ช่างยากจะคาดเดาเสียจริง!
หรือว่าในใจของนางยังมีความกังวลอื่นอยู่อีก คุณชายรองสกุลมู่หรง ที่เป็นคู่หมั้นของนางก็เป็นตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว คาดว่าคงไม่มีอำนาจอะไรแล้ว เขาไม่เชื่อว่านางจะฝังใจ หรือจะเป็นเพราะเฉินจ้าว?
เอาเถิด ถึงวันนี้จะต้องบังคับ ก็ต้องทำให้นางรับให้ได้! เฮอะ
ชายหนุ่มกัดฟันขาว พลางมองเด็กสาวตรงหน้าที่ตนชอบพอ เหมือนกำลังมองสัตว์ตัวจ้อยที่กำลังจะถูกกินแต่ไม่เชื่อฟัง
ซือเหยาอันเห็นคุณหนูอวิ๋นกล่าวขอบคุณ ทว่าปฏิเสธของขวัญ เขาก็ตกใจจนตัวโยน กลัวแต่เพียงองค์ชายสามจะจัดการสถานการณ์ไม่ได้
“คุณหนูอวิ๋นไม่ต้องถ่อมตัว” ซย่าโหวซื่อถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนตัวตรงดังต้นไผ่ “สกุลอวิ๋นทำงานหนักเพื่อราชสำนัก เสนาบดีอวิ๋นเพิ่งนำทัพทำภารกิจ ต่อไปราชวงศ์ยังต้องการการสนับสนุนของสกุลอวิ๋น ไม่ว่าอย่างไรก็เหมาะกับของมีค่าเหล่านี้ เหตุใดรับแล้วต้องเสียดายด้วยเล่า ข้าไม่ได้สละตนเพื่อราชวงศ์มากนัก แต่วันนี้หากมอบของขวัญให้ขุนนางสำคัญของเสด็จพ่อได้ เอาชนะใจเสนาบดีได้ ก็นับว่าเป็นการเสียสละต่อราชสำนักแล้ว”
เมื่อเห็นฉินอ๋องกล่าวเช่นนี้ หนิงซีฮ่องเต้ก็อยากพูดอะไรบ้าง บุตรชายของเขามอบของให้เด็กสาวแล้ว ยากจะแย่งกลับคืนต่อหน้าขุนนางมาหมาย แต่หากไม่พูดอะไรบ้าง ก็จะยิ่งทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจ จึงพูดเพียงว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของฉินอ๋อง เจ้าก็รับไว้เถิด”
เจี่ยงฮองเฮายืนอยู่ข้างฮ่องเต้มาโดยตลอด ครั้นได้ยินว่าหนิงซีฮ่องเต้เอ่ยปากอนุญาต นางถึงกล่าวอย่างใจกว้างบ้าง “คุณหนูอวิ๋นอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”
คราวนี้อวิ๋นหว่านชิ่นเงยใบหน้าตื่นกลัวขึ้น “เช่นนั้นหม่อมฉัน…ความเคารพนบน้อมไม่สู้น้อมรับคำสั่ง” ครั้นพูดจบ เด็กสาวก็เหลือบมองฉินอ๋อง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม
รอยยิ้มของนางเจ้าเล่ห์นัก ซย่าโหวซื่อถิงมองเห็นอย่างชัดเจน ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเจตนาที่นางตั้งใจปฏิเสธเมื่อครู่แล้ว
หากนางรับของล้ำค่าทันที ผู้อื่นจะเห็นว่านางไม่รู้จักถ่อมตน โลภมากจนเกินไป ไม่รู้จักอ่อนน้อม และนางก็รู้ว่าฮ่องเต้ไม่พอใจที่ฉินอ๋องมอบสิ่งของให้นางเช่นนี้ จึงยึดเยื้อสักครู่หนึ่ง อย่างน้อยก็ทำให้หนิงซีฮ่องเต้สบายใจลงบ้าง เมื่อมีคนโน้มน้าวใจอีก นางถึงรับไว้ ถือว่าทำไปเพราะความจนใจ
องค์ชายสามกังวลไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยคิดว่านางจะไม่ยินยอมจริงๆ!
ซย่าโหวซื่อถิงเกิดความน้อยใจอย่างน่าประหลาด ครั้งหน้าหากเจอนางเป็นการส่วนตัว เขาต้องให้นางชดใช้อย่างสาสมแน่ บัดนี้ดวงตาดำเรียวยาวของนางฉายแววขบขัน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ หยัดตัวตรง เสื้อขนสัตว์สีม่วงยิ่งขับให้ร่างสง่างามของนางชัดเจนยิ่งขึ้น ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ กล่าวทีเล่นทีจริงว่า “หลังจากส่งกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว คุณหนูอวิ๋นเลือกสถานที่แห้งสักหน่อย แล้วกำหนดวันทำความสะอาดก็ใช้ได้ ข้าเชื่อว่าคุณหนูอวิ๋นจะต้องดูแลของล้ำค่าโบราณชุดนี้อย่างดี หากมีความเสียหายใด ข้าจะเรียกคุณหนูอวิ๋นมาสอบถามเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นขบฟัน ขี้เหนียวเสียจริง อย่างไรเขาก็จะทำให้นางยอมแพ้ให้ได้ สุดท้ายนางกลับทำเสียงหวานหยดย้อย ยิ้มทรงเสน่ห์ กล่าวเสริมอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันจะรักษาของล้ำค่าชุดนี้ด้วยชีวิต จะไม่ให้ฉินอ๋อง…ได้มีโอกาสสอบถามแม้สักนิด”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ด้วยนางยังคงมีท่าทางมียอมถอย อยากเอาชนะให้ได้ถึงจะยอมหยุด แต่เขากลับไม่พูดอะไรอีก ยอมให้นางเหนือกว่า มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มยินยอม
ซือเหยาอันมองเห็นทุกอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว ยังไม่ทันได้อภิเษกก็มีท่าทียอมถอยเช่นนี้แล้ว หากองค์ชายสามได้แต่งกับเด็กสาวนางนี้จริง เขากลับเป็นห่วงโชคชะตาชีวิตที่เหลือขององค์ชายสามอยู่บ้าง
เจี่ยงฮองเฮามองเห็นประกายไฟระหว่างที่ทั้งคู่ตีฝีปากกัน นางยกยิ้มที่มุมปาก พลันเอ่ยปากว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินจากนางกำนัลหลายคน ว่าฉินอ๋องสนิทสนมกับคุณหนูอวิ๋น วันนั้นข้าประทานเสื้อจนสัตว์ให้คุณหนูอวิ๋น ยังคิดว่าเป็นเรื่องพูดมั่ว แต่วันนี้เห็นฉินอ๋องมอบทองหยกแก้วให้คุณหนูอวิ๋นแล้ว ถึงนับว่าเชื่อแล้ว”
เจี่ยงยิ่นได้รับความกรุณา ให้นั่งอยู่เบื้องล่างของฮองเฮา เขารู้ว่าน้องสาวตนเองมีเจตนาอย่างไร ด้วยจุดเริ่มต้นของเขาไม่เหมือนกับนาง ทว่ายากจะมีวันนี้ได้เช่นเดียวกัน
หากพูดตามตรง ความสัมพันธ์ของคุณหนูอวิ๋นและหนิงซีฮ่องแต้ในเวลานี้เหมือนวางซาลาเปาไส้เนื้อไว้ใต้จมูก หากไม่กินในครั้งนี้ ก็ยากจะรับรองได้ว่าวันหน้าจะมีอีกสักชิ้น
หากประทานการอภิเษกให้อวิ๋นหว่านชิ่นโดยเร็ว ก็จถลดความปรารถนาในใจของหนิงซีฮ่องเต้ลงได้ นับว่าเป็นวิธีที่ดีทีเดียว
ดังนั้นเจียงยิ่นจึงเอ่ยอย่างใจเย็น “ฮองเฮา กระหม่อมก็เคยได้ยินเรื่องเช่นนั้นเช่นกัน พูดขึ้นมาแล้ว ฉินอ๋องและคุณหนูอวิ๋นก็ถึงวัยออกเรือนพอดี ทั้งยังไม่ได้หมั้นหมายกับใคร ดูท่าทางแล้ว…เป็นความคิดที่ดีทีเดียว” เขาพูดจาตรงไปตรงมามากกว่าเจี่ยงฮองเฮามาก เพราะขี้เกียจจะอ้อมค้อม เขาหันหน้าไปพูดกับหนิงซีฮ่องเต้อย่างไม่นิ่มนวลสักนิด “ฝ่าบาท ในวังน่าจะไม่ได้จัดการมงคลเข่นนี้มาหลายปีแล้วกระมัง เหตุใดไม่ใช่โอกาสนี้ทำเรื่องน่ายินดีให้ไทเฮาเล่าพะยะค่ะ”
หย่งเจียจวิ้นจู่กำหมัด ท่านกั๋วจิ้วผู้นี้ยุ่งไม่เข้าเรื่องแล้ว! หลายปีมานี้ไปเป็นนักพรตหรือแม่สื่อกันแน่! เหตุใดถึงจุ้นจ้านทุกเรื่องเช่นนี้!
ทุกคนในงานเจี่ยงฮองเฮาและเจี่ยงกั๋วจิ้วเสนอความคิดเรื่องงานอภิเษก ก็ยิ่งปรึกษาหารือกันมากยิ่งขึ้น
ขุนนางอาวุโสที่ร่วมเดินทางมาด้วย และอำมาตย์ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ต่างก็สบตากัน ฉินอ๋องถึงวัยอภิเษกนานแล้ว ความจริงแล้วควรจะเลือกชายาได้แล้วต่างหาก เดิมทีฝ่าบาทหมายตาบุตรสาวของอวี้เหวินผิงไว้ให้ ทว่ายังไม่ได้เจรจากับพวกเขาเป็นการส่วนตัว ทว่าบัดนี้คุณหนูสกุลอวี้ไม่ทะเยอทะยาน ทั้งยังทำความผิดร้ายแรงเช่นนั้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว หากให้บุตรสาวของอวิ๋นเสวียนฉั่งมาแทนที เหล่าขุนนางอาวุโสเห็นว่าเหมาะสมยิ่งกว่า อย่างไรฉินอ๋องก็มีสายเลือดของบ่าวอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นหนามยอกอกพวกเขา สกุลอวี้มีอำนาจเกินไป หากวันหน้าฉินอ๋องมีใจทรยศ ใช้อำนาจองค์ชายกับอำนาจของสกุลอวี้ จะต้องเป็นภัยร้ายแรงต่อบ้านเมืองแน่
ส่วนสกุลอวิ๋นก็เป็นสกุลรากหญ้า ถึงแม้อวิ๋นเสวียนฉั่งจะค่อยๆ ปีนขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางระดับสูงได้อย่างทุกวันนี้ ก็ต้องผ่านอุปสรรคใหญ่มากมาย หากฉินอ๋องเป็นทองแผ่นเดียวกันสกุลอวิ๋น เขาก็คงไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากฝ่ายชายามาก เช่นนี้ก็ทำให้เหล่าขุนนางวางใจลงได้มากทีเดียว
ตอนนี้เห็นฉินอ๋องถือโอกาสแสดงความในใจ แม้แต่ฮองเฮาและกั๋วจิ้วก็เอ๋ยปาก ขุนนางอาวุโสหลายคนจึงไม่ลังเลอีก กราบทูลเป็นเสียงเดียวกัน “ฝ่าบาท ท่านกั๋วจิ้วกล่าวถูกต้อง นับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตพะยะค่ะ”
“ฝ่าบาท องค์ชายสามเติบใหญ่แล้ว หากยังไม่แต่งตั้งชายาอีก เกรงว่าภายนอกจะนินทาเอานะพะยะค่ะ!”
“ฝ่าบาท เพราะองค์ชายสามร่างกายไม่แข็งแรง หากเสียเวลาต่อไปอีกสักสองสามปี เกรงว่าหญิงสาวคนไหนจะเข้าใจผิด ทว่าปีนี้องค์ชายจับสัตว์ป่าในการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงสำเร็จ ก็คงจะไม่เป็นปัญหาใหญ่ กลัวแต่จะเป็นคำเตือนจากสวรรค์ เง็กเซียนฮ่องเต้เร่งเร้าให้องค์ชายสามออกเรือน!”
แต่ละคนพูดกันน้ำไหลไฟดับ