ชูซย่ายกอาหารบำรุงตรงหน้าประตูเข้าไป วางไว้บนโต๊ะสี่ขา เปิดฝาภาชนะเครื่องเคลือบดินเผาลายครามรูปนก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้กลิ่นหอมเย็นและควันขาวขุ่นลอยออกมา จึงเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบของเหลวสีน้ำตาลอยู่ในภาชนะนั้น แต่ตอนนี้มันแข็งตัวเป็นกึ่งแข็งกึ่งเหลว แน่นอนว่าต้องออกมาจากโรงเย็นเป็นแน่
“นี่ก็คือน้ำแกงเชียนจินที่เตรียมไว้สำหรับมารดา มีการเพิ่มยาจีนบางตัวสำหรับอาการหลังคลอดโดยเฉพาะ ในช่วงสั้นๆ นี้สำคัญมาก น่าจะช่วยบรรเทาอาการของมารดาได้ ในวันแต่งงานของชิ่นเออร์นี้ เดี๋ยวจะ… พบผู้คนไม่ไหว” อวิ๋นหว่านชิ่นใช้โทนเสียงอ่อนโยน ทว่าแต่ละคำนั้นชัดเจน “ข้าปรุงอาหารยานี้เป็นพิเศษและทำให้เป็นของแข็งเพื่อให้สะดวกขึ้น จะได้ไม่ต้องเอามาให้มารดาทุกๆ วัน แบ่งดื่มได้ทั้งหมดสิบวัน วันละสองเวลา ตอนจะดื่มก็ให้อาเถาละลายให้ เติมน้ำร้อนเล็กน้อย อัตราส่วนหนึ่งต่อห้า ใช้ช้อนคนแล้วจึงดื่ม ดื่มต่อเนื่องไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหลือบไปเห็นซุปเชียนจิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ทำไมกัน มารดากลัวว่าชิ่นเออร์จะทำร้ายมารดาหรือ กลัวว่าในซุปเชียนจินจะมีพิษหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มออกมา
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยส่ายหัว “เจ้าพูดอะไรแบบนั้นเล่า”
สภาพนางเป็นเช่นนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นจะมาทำร้ายนางอีกทำไม เรื่องมันก็นานมาแล้ว หากคิดทำร้ายนางคงลงมือไปตั้งนานแล้ว
ถ้าอยากทำร้ายนางจริงๆ ตามนิสัยของยัยเด็กนี่แล้ว จะมาทำอะไรโจ่งแจ้งในจวนตระกูลอวิ๋นเล่า เช่นนั้นก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ นางจะมาวางยาพิษตน แล้วช่วยชีวิตตนให้รอด เพื่อให้ตนโดนจับขังแล้วนางเองก็โดนตัดหัวเช่นนั้นหรือ ยัยเด็กนี่ไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น
นี่ก็เพื่องานแต่งของนางเอง คงอายคนอื่นถ้าให้ตนมีสภาพเช่นนั้นส่งนางแต่งออกไป ทำให้ตนเองดูดีขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้แก่นางในวันแต่งต่างหากเล่า!
พอคิดได้อย่างนั้นไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็พูดขึ้น “อาเถา เอาน้ำแกงเชียนจินไปเก็บให้เรียบร้อย”
อาเถาถือขึ้นมา ไปวางไว้ในครัว อวิ๋นหว่านชิ่นเตือนสติ “อย่าบอกว่าข้าไม่ได้เตือน ต้องผสมหนึ่งต่อห้าถึงจะนำไปใช้ได้ มารดาได้ยินชัดเจนไหม เป็นยาที่มีพิษสามส่วน เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เร็วขึ้น ข้าจึงปรุงมันเข้มมากขึ้น หากดื่มแบบข้นๆ จะเกิดการอันตราย”
ราวกับมีประกายไฟโลดแล่นอยู่ในสมอง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัวใจเต้นแรงขึ้น สีหน้าไม่เปลี่ยนไปจากปกติ พลางแกล้งถามออกไปว่า “ถ้าดื่มแบบข้นๆ ลงไป จะเป็นอย่างไรนะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปทางไป๋เสวี่ยฮุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “เหมือนที่พูดไปก่อนหน้า ซุปเชียนจินนี้เป็นยาต้มสำหรับบำรุงหญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ ที่ใส่ทั้งหญ้าฝรั่น เมล็ดท้อ ถู่เปี๋ยฉง เนื้อช่วงท้องของตัวลิ่น สรรพคุณของแต่ละชนิดล้วนช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด ละลายกับน้ำแล้วดื่มจะเป็นผลดีต่อร่างกายไม่เป็นโทษ เป็นยาดี หากกินดื่มแบบข้นๆ อย่าว่าแต่ดื่มไปทั้งชามเลย แค่ครึ่งชามก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว”
“ปัญหาอะไรหรือ” ในใจไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็แอบสงสัย ก็เลยถามถึงปัญหาไปตรงๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดว่า “เกรงว่าจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก ——แต่ปัญหานี้ดูจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมารดา แต่ก็กลัวว่าคนจะเอาไปพูดลับหลัง อย่างไรก็ต้องเตือนอยู่ดี”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่านางกำลังเยาะเย้ยตนว่านางจะไม่มีโอกาสได้ไปปรนนิบัตินายท่านอีก นางจะมีลูกได้หรือไม่ก็ช่างปะไร ใบหน้าตกตะลึง หัวใจเต้นระรัว ไม่ได้ใส่ใจคำเยาะเย้ยนั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นวางอาหารบำรุง พูดอีกสองสามคำแล้วก็ออกไปกับชูซย่า
หลังอวิ๋นหว่านชิ่นและสาวใช้จากไป ประตูก็ปิดลง คนในห้องเริ่มน้อยลง กลับไปสู่ความหดหู่และอ้างว้างดั่งเดิม
แสงไฟสลัว สายตาของไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองไปยังถ้วยซุปเชียนจินที่อยู่ในตู้
อาเถามองเห็นจิตวิญญาณที่เข้มแข็งที่ไม่เคยได้เห็นมาหลายวันมานี้ในสายตาของผู้เป็นนาย
ตลอดทางเดินจากหอบรรพบุรุษไปยังเรือนหลัก มีแสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาวตลอดทาง ออกจากกระท่อมห่างไกลที่มืดและชื้นมารับแสงแดด เดินเล่นในเรือนแล้วทำให้ผ่อนคลายเป็นที่สุด
ชูซย่ายืดแขนออกสองข้าง มีชีวิตชีวาอย่างอดไม่ได้ “คุณหนูใหญ่ คุณหนูคิดว่าฮูหยินไป๋จะทำให้เหลียนเหนียงดื่มน้ำซุปเชียนจินนั่นลงไปจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ถึงตอนนี้นางยังมีตัวเลือกอื่นอยู่อีกหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นไม่แยแส มองไปข้างหน้า มีบางอย่างซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ในชาติที่แล้ว ฮูหยินไป๋ใช้วิธีการเช่นเดียวกันนี้ทำร้ายตนเอง สันดอนขุดง่าย แต่สันดานจะกี่ชาติก็เปลี่ยนไม่ได้ ในชาตินี้ก็ช่วยให้หล่อนได้กำจัดเสี้ยนหนามออกไปด้วยตัวเองล่ะกัน
มีดก็เอาให้นางไปแล้ว จากสันดานของคนที่อยู่หลังเรือนมาตลอดแล้วล่ะก็ นางต้องไม่ทรยศความหวังของตัวเองแน่ๆ ในที่สุดนางก็มีโอกาสทำลายความฝันที่จะมีลูกของเหลียนเหนียงแล้ว
ปล่อยให้สุนัขมันกัดกันเอง นางชอบใจนัก
*********
ในขณะที่ตระกูลอวิ๋นกำลังเกิดมรสุม ทางจวนกุ้ยเต๋อโหว ฮว่าซั่นก็ยังคงทำอยู่เหมือนเดิม ยังคงใช้ทาสชั้นต่ำที่อยู่นอกเรือนไปส่งอาหารนอกจวนอยู่ทุกๆ วัน
เมื่อตะวันลับ อวิ๋นหว่านเฟยถูกผูกติดกับเตียงราวกับคนตาย ทุกๆ วันที่รอฮว่าซั่นมา ทุกครั้งหลังถูกขุนด้วยอาหารและน้ำ ความอัปยศอดสูที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่กี่วันต่อมา มีรอยฟกช้ำจ้ำแดงตามร่างกาย เหลือไว้ด้วยตราบาปที่ทาสพวกนั้นทิ้งไว้
อวิ๋นหว่านเฟยเริ่มเสียงแหบลงเรื่อยๆ จากการสะอื้นราวกับได้สูญเสียทุกอย่างไปอีกแล้ว
ใครจะไปรู้ว่าบ้านหลังเล็กที่อยู่หลังจวนโหวจะเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถึงจะรู้ แต่ใครเล่าจะมาสนใจเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้นที่จวนโหว
วันนี้ ฮว่าซั่นป้อนอาหารอวิ๋นหว่านเฟย ได้เพียงครู่เดียวก็ออกไป
หลังจากที่ทาสสองคนที่รอโอกาสอยู่ข้างประตูได้ยินเสียงปิดประตูลง ก็กระโจนไปยังหญิงสาวที่มีสภาพเหมือนผ้าขี้ริ้วที่อยู่บนเตียงนั่น…
หลังจากนั้น ฮว่าซั่นก็ได้ยินเสียงผู้ชายร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก “แย่ล่ะ! มันตายแล้ว!”
“พี่ฮว่าซั่น”
นางตกใจเป็นอย่างมากแล้วรีบเข้าไปดู ก็ได้เห็นอวิ๋นหว่านเฟยเปลือยกายอยู่บนเตียง เลือดออกจากร่างกายส่วนล่าง สองตาเหลือกเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ ทาสทั้งสองเปลือยท่อนบนยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าสะพรึง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
ฮว่าซั่นเข้าไปใช้นิ้วมือเพื่อตรวจดู อวิ๋นหว่านเฟยสิ้นลมหายใจแล้ว ถอนหายใจและด่าไปยังสองคนนั้น “เฮงซวย! พวกเจ้าเบาๆ กันไม่เป็นหรือไร เกินเรื่องแล้วเนี่ย!” ด่าแล้วด่าอีก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อวิ๋นหว่านเฟยก็ตายไปแล้ว ตอนนี้การจัดการเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญกว่า ไม่ว่าอวิ๋นหว่านเฟยจะเป็นคนตระกูลไหนก็ช่างเถอะ ตอนนี้ก็ตายๆ ไปแล้ว อย่างไรก็ต้องรายงานอยู่ดี แล้วตายแบบนี้ ถ้าตระกูลอวิ๋นเห็นเข้า จะคิดอย่างไรกันละเนี่ย
ฮว่าซั่นให้ชายสองคนไปเอาถังน้ำมา แล้วเอาศพใส่เข้าไป สามคนช่วยกันเอาศพไปล้างเนื้อตัวให้สะอาด ไม่ให้หลงเหลือร่องรอยไว้ แล้วก็เอากลับมาไว้บนเตียง ปิดตาของศพแล้วใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย
หลังทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ฮว่าซั่นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ บอกทาสทั้งสองให้ปิดปากเงียบไว้ ทั้งสองไหนเลยจะกล้าพูด ได้แต่พยักหน้า ฮว่าซั่นเดินออกมาแล้วทำจิตใจให้สงบ จากนั้นวิ่งไปจวนโหวเพื่อรายงานเรื่องนี้
ฮว่าซั่นเล่าเพียงว่าตอนที่กำลังไปป้อนอาหารให้อนุอวิ๋นก็เห็นนางนอนตายอยู่บนเตียงแล้ว วันนี้ตระกูลมู่หรงก็เพิ่งจะวุ่นกับเรื่องของมู่หรงไท่ไปเอง แล้วจะจัดการกับอวิ๋นหว่านเฟยได้อย่างไร ตอนเป็นๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ตอนตายก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเลย
ท่านโหวอาวุโสมู่หรงในตอนนี้ที่กำลังยุ่งกับการจัดการเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือของมู่หรงไท่ที่เกิดข้างนอกนั่นอยู่ จึงไม่ได้ตอบกลับแม้แต่น้อย สิงฮูหยินก็ไม่มีเวลาสนใจ ถ้าเป็นอนุภรรยาเล็กทั่วๆ ไป ก็เพียงม้วนเสื่อหาหลุมฝังศพแล้วฝัง แต่อนุอวิ๋นนั่นอย่างไรก็เป็นลูกสาวของตระกูลซางซู ก็ต้องขอให้หัวหน้าจวนโหวนำเรื่องฮว่าซั่นไปแจ้งให้กับทางตระกูลอวิ๋นด้วยก็ถือว่ากรุณามากแล้ว
มีสองสามคนมายังตระกูลอวิ๋น ยื่นป้ายให้ก่อน แล้วบอกเรื่องการตายของอนุอวิ๋นให้กับม่อไคไหลฟัง
ม่อไคไหลตะลึง แล้วรีบเดินเข้าไปแจ้งข่าว
ในศาลาท่ามกลางแสงจันทร์ วันนี้อวิ๋นเสวียนฉั่งได้กลับมายังจวนตามปกติ และตรงไปหาเหลียนเหนียง
เหลียนเหนียงต้มเหล้าอุ่นๆ หนึ่งกา กลิ่นไอร้อนโชยออกผ่านหน้าต่าง รินใส่สองถ้วย กะมัดใจนายท่านด้วยเครื่องดื่ม เพียงแค่ได้ยินเสียงจากใครสักคนที่อยู่นอกประตู ขานรับอย่างมีเสน่ห์ “เข้ามาสิ”
ม่อไคไหลได้เอาเรื่องของคุณหนูรองไปบอกให้นายท่านฟังแล้ว อวิ๋นเสวียนฉั่งตกใจ เหล้าในมือเอียง หกออกไปเล็กน้อย ลูกสาวคนนี้น่าผิดหวังจริงๆ ทำไมถึงทำให้ตัวเองเสียหน้าอีกแล้วเนี่ย สุดท้ายก็เอาแต่ใจตัวเอง ตั้งแต่ตอนที่แต่งออกไปก็ไม่มีการติดต่อกลับมา แล้ววันนี้ก็มาตกตายเสียนี่ อย่างไรก็ดีใจไม่ขึ้นอยู่ดี ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คนในจวนรู้กันหมดหรือยัง”
ม่อไคไหลรู้ว่านายท่านถามถึงฮูหยินใหญ่ คุณหนูใหญ่ รวมไปถึงไป๋ฮูหยินที่ถูกกักในบริเวณหอบรรพบุรุษ ไป๋ฮูหยินนั่นที่เป็นมารดาของคุณหนูรอง ลูกสาวตายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแจ้งให้ทราบ “ยังไม่ทราบเลย บ่าวเพิ่งจะได้รับข่าวที่ส่งมาจากจวนโหวเอง เลยรีบมารายงานยังนายท่านก่อน แล้วบ่าวค่อยไปแจ้งข่าวต่อ”
คุณหนูรองที่แต่งเข้าจวนโหวเป็นอนุภรรยานั้นตายแล้วหรือ เหลียนเหนียงชอบใจ งานศพก็เป็นเรื่องภายใน ตอนงานแต่งของคุณหนูใหญ่หล่อนก็ไม่ได้เข้าร่วม งานศพของคุณหนูรองนี้หล่อนต้องมีส่วนร่วมให้ได้ พอคิดแบบนั้น นางขมวดคิ้ว ตีหน้าเศร้าบีบน้ำตา “นายท่านสูญเสียลูกสาว คงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก นายท่านกับพ่อบ้านโม่ไปแจ้งเรื่องนี้กับคนทั้งบ้านเถิดเจ้าค่ะ”