ยกคำพูดของเสด็จปู่พูดขึ้นอีกครั้งเช่นนี้และกอดป้ายเหล็กละตายอาญาสิทธิ์ไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน โดยทำหลายอย่างพร้อมๆ กัน กล่าวคือ นางซิงซื่อฮูหยินแห่งจวนกุยเต๋อโหวเข้าวังครั้งนี้มาเพื่อชัยชนะท่าเดียว ขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ต่างเงยหน้าขึ้นแอบมองไปยังผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรและเดาผลลัพธ์ที่ถูกไว้ในใจ
แน่นอนว่าหนิงซีฮิ่งเต้เงียบสงบลงด้วยความปวดศีรษะ ลูบจมูกที่ชี้โด่ง และคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วมองไปที่เจ้ากรมอาญา
ตราบใดที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดของกรมนั้นๆ ล้วนเป็นหนอนในท้องของโอรสสวรรค์ทั้งนั้น สายตาหรือท่าทางเพียงนิดเดียว ก็ทำให้เจ้ากรมอาญารับรู้ถึงความคิดของฮ่องเต้ทันที จึงก้าวไปข้างหน้าสองถึงสามก้าวเพื่อกระซิบกับฮ่องเต้ แล้วกลับสู่ที่เดิม จากนั้นหันหน้าไปทางขั้นบันไดและอ่านคำพิพากษาต่อ “…เมื่อคำนึงถึงสกุลมู่หรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศและบุตรชายทั้งสองสละชีพ ณ สนามรบ ฮ่องเต้ทรงโปรดเมตตา ลดโทษเหลือเพียงเนรเทศอออกจากเมืองหลวง ซึ่งจะถูกเนรเทศไปยังถิ่นธุรกันดารแห่งดินแดนทางตอนเหนือ ถูกถอดฐานันดรศักดิ์และยศศักดิ์ รวมถึงตัดความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากแม้จะรับโทษทางตอนเหนือครบแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเมืองหลวงตลอดชีวิต อีกทั้ง ถูกลดสถานะเป็นเพียงสามัญชน ลูกหลานนับจากนี้ต่อไปอีกสามรุ่นไม่สามารถเข้ารับราชการของต้าเซวี่ยนได้ ห้ามรับความช่วยเหลือจากจวนกุยเต๋อโหวทั้งสิ้น และต้องตัดขาดสัมพันธ์กับสกุลมู่หรงโดยเด็ดขาด หากมีการติดต่อระหว่างกันเป็นการส่วนตัว ทั้งสองฝ่ายจะต้องรับโทษเพิ่มถึงสามเท่าอย่างไร้ความปรานีใดๆ ทั้งสิ้น”
นางซิงซื่อเหมือนยกภูเขาออกจากอก แม้จะถูกระวางโทษรุนแรงนัก แต่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจี อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา โดยครั้งนี้ถือว่าเป็นการถอยที่มากที่สุดเท่าที่ฮ่องเต้จะทรงทำได้แล้ว ก็มิควรกดดันกันอีกต่อไป ดังนั้น จึงกะพริบตาส่งสัญญาณให้แก่หลานชาย
มู่หรงไท่เมื่อได้ยินว่าตนจะต้องไปใช้ชีวิตทางตอนเหนือที่ไม่คุ้นชินโดยเป็นดินแดนถิ่นธุรกันดารและมีการต่อสู้อยู่ตลอดเวลาทั้งชีวิต และเป็นดินแดนที่อยู่ใกล้กับรัฐมองโกลที่มีแต่ชาวเหนือป่าเถื่อน ลดสถานะเหลือเพียงสามัญชน สามชั่วอายุคนไม่สามารถเข้ารับราชการ และห้ามกลับเมืองหลวง ก็ถึงกับถอนหายใจ แล้วยิ้มด้วยความขมขื่นและอกสั่นขวัญหาย เหล่านี้ดีกว่าตายตรงไหนหรือ นอกจากนั้น เขายังมีโรคประจำตัวซึ่งแทบจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ ในเมืองหลวงมั่งคั่งร่ำรวยและมีหมอที่มีชื่อเสียงมากมายเช่นนี้ยังรักษาไม่ได้ ณ ที่แห่งนั้น เป็นดินแดนรกร้างและยากจนเช่นนั้น จะอยู่รอดได้นานสักเพียงใดกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของท่านย่าแล้ว เขาก็รู้ว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว จึงกัดฟันแล้วถวายความเคารพเพื่อขอบพระทัยต่อฮ่องเต้
เมื่อมู่หรงไท่ถูกนำตัวกลับไปที่คุกของกรมอาญา เพื่อรอเดินทางไปทางตอนเหนือ นางซิงซื่อขอบพระทัยเสร็จสรรพจึงออกมากจากท้องพระโรงและกลับไปยังจวนโหว คำพิพากษาของเว่ยอ๋องก็ออกมาแล้วเช่นกัน เนื่องด้วยมู่หรงไท่รับโทษส่วนใหญ่เพียงคนเดียวไปแล้ว จึงเหลือเพียงกักบริเวณเว่ยอ๋องให้นานขึ้น ลดเงินเดือนและอาวุธไปมากอยู่
**
ณ จวนสกุลอวิ๋น
ห้าวันก่อนที่บุตรสาวจะออกเรือน สินสอดทองหมั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นชุดๆ โดยแบกทีละ**บไปยังจวนฉินอ๋องตรงเมืองเหนือเป่ยเฉิง สินสอดรวมทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชิ้น แต่ละ**บที่มีสีแดงเข้มถูกปิดด้วยขอบทองและรูกุญแจตาแมวใส่ผ้าไหมสีแดงไว้ **บสุดท้ายที่ขนไปคือขวดคริสตัลหยกสีทองซึ่งจะเป็นสิ่งของที่ดึงดูดสายตาคนได้มากที่สุด
เมื่อขนของออกไปหนึ่งรอบ สีหน้าของอวิ๋นเสวียนฉั่งก็แย่ลงหนึ่งครั้ง ราวกับว่าถูกแล่เนื้ออกไปก็ไม่ปาน และปวดกระเพาะอยู่นานหลายวัน เลี้ยงดูบุตรีถือว่าขาดทุนจริงๆ ย้ายออกครั้งนี้ แทบจะขนย้ายสมบัติของสกุลอวิ๋นออกไปครึ่งหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปที่ท่าทางของเขา ก็แอบหัวเราะกับชูซย่าอยู่หลายหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยไม่ใช่นางหรอกที่ขนของออกจนหมด แต่นี่แสดงให้เห็นว่าท่านแม่นำสินสอดมามากเพียงใด บัดนี้นำออกไปบ้าง จะโกรธเคืองอะไรเล่า สกุลอวิ๋นเก็บรักษาไว้นานถึงเพียงนี้ ถือว่าจ่ายค่าดูแลก็แล้วกัน
ถนนยาวสิบไมล์ เต็มไปด้วยสีแดงเต็มไปหมด ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงส่องสะท้อน ทุกครั้งที่มีงานรื่นรมย์เช่นนี้ ราษฎรแห่งเขตเยว่โจวอดไม่ได้ที่จะออกมาแสดงความยินดี สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีและอุทานด้วยความตื่นตะลึง
บุตรีคนโตแห่งสกุลอวิ๋น เดิมที่ในเมืองหลวงไม่ได้เป็นที่รู้จักและไม่มีชื่อเสียง ในบรรดาบุตรีของสกุลใหญ่ นางยังเป็นรองบุตรีของอัครมหาเสนาบดีอวี่อยู่มากนัก คิดไม่ถึงว่าปีนี้จะเปล่งประกายเฉิดฉายมากดุจพลิกชีวิตเพียงชั่วครู่ชั่วยาม โดยเข้าวังร่วมงานเลี้ยงก่อนจนเป็นที่ชื่นชอบของไทเฮา จากนั้นก็ได้รับความสนใจจากพี่น้องซื่อจื่อทั้งหลาย และติดตามไปล่าสัตว์ของช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยได้รับวัตถุโบราณที่ล้ำค่าจากฉินอ๋องต่อหน้าสาธารณะชน ทำให้บรรดาหญิงสาวต่างอิจฉานางกันยกใหญ่ และท้ายที่สุดก็เป็นบ่อเกิดแห่งคู่สมรสใหม่ขึ้น
บัดนี้ หากมองสำรวจอีกครั้ง แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่โชคดีในปีนี้เท่านั้น แต่ร่ำรวยมากอีกด้วย เพียงแค่สินสอด บรรดาราษฎรทั้งหลายก็ถึงกับส่ายหัวพร้อมกับชื่นชม คนที่ปิดปากนิ่งเงียบถึงจะเป็นคนที่ได้รับมหาโชคจริงๆ
วันนี้ ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่ตรงหน้าต่างกำลังอ่านตำราวิชาทางการแพทย์ที่เหยากวงเหย้าส่งมาให้อยู่ ก็ได้ยินชูซย่าเล่าถึงมู่หรงไท่ ซึ่งผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากพิจารณาคดีในท้องพระโรง นางหยุดอ่านตำราในมือและวางลง พร้อมกับขมวดคิ้วว่า“มู่หรงไท่ถูกส่งตัวออกจากเมืองหลวงแล้วหรือไม่”
“น่าจะยังนะเจ้าคะ แต่น่าจะเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ” ชูซย่าเกาศีรษะและรู้สึกแปลกๆ เหตุใดนายหญิงถึงเป็นห่วงเป็นใยไอ้บ้านั่น ถามอย่างกะทันหันว่าออกจากเมืองหลวงแล้วหรือไม่ นี่อยากจะไปส่งหรือ หรือว่า หรือว่าจะวิ่งไล่ตามรถคุมนักโทษเพื่อโยนไข่เน่ากันแน่
ชูซย่าคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะไปส่งเขาจริงๆ ตอนนี้นางแม้แต่จะมองหน้าเขายังรังเกียจเลย แต่ดูเหมือนว่าจะมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ตนอยากพบหน้าเขาและเก็บข้อสงสัยบางอย่างไว้ในใจ หากมู่หรงไท่ยังอยู่ที่จวนโหว คงจะไม่ตื่นตระหนกเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขาจะถูกเนรเทศไปยังทางตอนเหนืออย่างไม่มีวันกลับมาแล้ว…คงต้องหาโอกาสไปพบเขาสักหน่อย
ทว่า คุกของกรมอาญาที่เปรียบเสมือนคุกหลวง ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ
**
สามวันก่อนถึงวันแต่งงาน จวนสกุลอวิ๋นมีคนมาขอพบแม่นางที่เป็นบุตรีคนโตแห่งสกุลอวิ๋น
อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงรู้สึกแปลกๆ เมื่อถูกท่านพ่อเรียกให้ไปที่โถงบุปผา เวลานี้ใครจะขอมาพบตนหรือ ทันทีที่จะเข้าใกล้ประตูของโถงบุปผา ก็มองเห็นคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ด้านบนสุดของห้องโถงและถือถ้วยเซรามิกสีขาวหวานลายรูปนกพร้อมกับจิบชาร้อนๆ อย่างสบายใจ ในฐานะบิดาของเจ้ากรมกลาโหม เขากลับยืนคุยกับบุคคลนั้นด้วยความเคารพ
เมื่อก้าวเข้าประตูไป อวิ๋นหว่านชิ่นตั้งใจมองจึงรู้ว่าใครมาขอพบนาง แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ขณะเดียวกัน บุคคลนั้นก็มองเห็นแม่นางอวิ๋นเช่นกัน จึงรีบวางถ้วยชาลงและผลักอวิ๋นเสวียนฉั่งที่บังสายตาของตนไปด้านข้างอย่างหงุดหงิดและตบต้นขาด้วยรอยยิ้ม
“โอ๋ ในที่สุดแม่นางอวิ๋นก็มาถึงแล้ว”