สีหน้าของซย่าโหวซื่อถิงพลันเปลี่ยน พับแขนเสื้อของนางขึ้น มองเห็นรอยจ้ำแดงบนแขนที่ขาวดุจหิมะใสราวหยกของนาง เบิกดวงตาขึ้นโตแล้วตรัสถามขึ้น “ใครเป็นคนทำ!” ในขณะที่นางต้องไปแสดงความเคารพในตำหนักเฟิงจ๋า เขารอคนอยู่นอกกำแพงตำหนัก ความรู้สึกแปรปรวน หลายปีแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ ครั้งล่าสุดนั้นเมื่อใดกันนะ ดูเหมือนจะเป็นเมื่อครั้นยังเด็ก ตอนที่โดนวางยาพิษจนอกสั่นขวัญหายไม่มีใครช่วยเหลือ
คิดแล้วเชียวว่านางเจี่ยงซื่อเรียกอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าเฝ้าเพียงคนเดียวต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไฟที่สุมอยู่ในอกลุกโชนกว่าเดิม
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงแขนกลับมา พับแขนเสื้อลง หรี่ตามองไปทางเขา “ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ลืมเสียแล้วหรือ”
มือของซย่าโหวซื่อถิงค้างกลางอากาศ เมื่อได้สติจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่อยู่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน นางลุกพรวดออกไป เขารีบดึงมือของนางไว้รวดเร็ว จึงออกแรงมากไป
สรุปแล้วคนทำก็คือตัวเขานั่นเอง
เขาหันใบหน้าไปเล็กน้อย จากนั้น เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมไปทางด้านนอกเกี้ยวว่า “ไปหาหมอ”
คนยกเกี้ยวยังไม่ได้ตอบรับ เพียงได้ยินเสียงที่ไพเราะเสนาะหูของหญิงสาวดังมาจากด้านในว่า “ไม่ต้องหรอก กลับจวนอ๋องในเมืองเป่ยเฉิงไปเถิด” หญิงสาวกดเสียงต่ำลง แล้วพึมพำว่า “เพียงมีรอยช้ำแดงเล็กน้อยเท่านั้น ใยต้องให้ไปหาหมอด้วย แขนข้าไม่ได้ทำจากเต้าหู้เสียหน่อย ข้าไม่อยากถูกคนอื่นหัวเราะจนฟันร่วงหรอก เจ้าอยากไปก็ไปเองเถิด”
เจ้านายทั้งสองออกคำสั่งพร้อมกัน คนยกเกี้ยวไม่รู้ว่าควรจะฟังคำสั่งของผู้ใด ไตร่ตรองไปมา อย่างไรเสีย ท่านอ๋องย่อมอยู่เหนือพระชายาอยู่แล้ว แต่กลับมีเสียงจากชายหนุ่มลอยดังมาจากเกี้ยวว่า “ทำตามที่พระชายาสั่ง”
“พ่ะยะค่ะ” คนยกเกี้ยวตอบรับ
“ข้าแค่พลั้งมือไปเท่านั้น” เขากล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ อย่างรู้สึกผิด
อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นมือออก โน้มตัวไปด้านหน้า จงใจกระซิบใกล้ติ่งหูของเขาว่า “อันที่จริงข้าโกรธมาก” แล้วใช้นิ้วเรียวยาวลูบไปที่บริเวณบ่าของเขา ทำให้ซย่าโหวซื่อถิงต้องสูดลมหายใจเข้า “เห็นแก่ที่…ท่านอ๋องให้ข้านอนพิงตรงนี้ทั้งคืน คงปวดเมื่อยไม่น้อย ถือว่าเราเสมอกันนะเพคะ”
บรรยากาศในรถเกี้ยวพลันหวานเลี่ยนขึ้นมาทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นมองสายตาของเขาที่จ้องมาทางตน ก็เกิดรู้สึกเสียใจที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป ราวกับต้องการบอกเขาว่านางอยากจะนอนซบไหล่ของเขา
“เช่นนั้นคืนนี้ก็ลองนอนซบไหล่อีกข้างของข้าก็แล้วกัน” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเดียวกันเมื่อต้องการบอกว่าค่ำคืนนี้จะกินอะไรดี
แก้มของอวิ๋นหว่านชิ่นร้อนผ่าว
โชคดีที่ในเวลานี้เองเกี้ยวถูกยกขึ้นแล้ว หันหน้าออกจากวังหลวง เดินทางกลับจวนไป
——
ขณะเดียวกันนั้น เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นละจากไป ภายในตำหนักเฟิงจ่าพลันเงียบสงบลง ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงนำนางกำนัลออกไปจนหมด ให้เจี่ยงฮองเฮาและเจี่ยงอวี๋สองอาหลานพูดคุยกัน
เมื่อเจี่ยงอวี๋เห็นว่าไม่มีคนอยู่ภายในตำหนักแล้ว เมื่อเทียบกับอาการออดอ้อนเมื่อครู่แล้ว ตอนนี้นางออดอ้อนหนักขึ้นไปอีก ทำปากจู๋แล้วพูดว่า “ใยเสด็จอาต้องเกรงใจพระชายาฉินมากเช่นนั้นด้วยเพคะ อีกทั้งสามีนางที่เกือบเสียชีวิตคามือของเสด็จอา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่นาง…” ต่อเรื่องที่เสด็จอาของนางได้ลงมือไปในวังหลังนี้ ตัวเจี่ยงอวี๋เองก็ไม่ได้รู้ดีทั้งหมด แต่เรื่องหนึ่งที่นางรู้ ก็คือเรื่องที่เสด็จอาของนางคิดปองร้ายฉินอ๋องในวัยเยาว์ เพราะเสด็จอาของนางลอบสั่งยาพิษนั้นผ่านทางพ่อของนาง นางจึงได้ยินเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ
เจี่ยงฮองเฮาตวาดอย่างเย็นชา “หุบปาก!” นังเด็กไม่ได้เรื่องคนนี้ หากว่าตอนนั้นไม่ใช่เพราะญาติทางบ้านของฮองเฮาจะมีนางเป็นหญิงสาวคนเดียวที่มีอายุรุ่นราวเดียวกันกับไท่จื่อแล้ว นางจะเลือกหญิงสาวไร้สมองคนนี้เข้าตงกง ให้นางอยู่เคียงข้างกายรัชทายาทอย่างซย่าโหวซื่อจุนได้อย่างไร
หลานสาวคนนี้เป็นบุตรสาวของอนุของน้องชายแท้ๆ ของเจี่ยงฮองเฮา เหมือนแม่ของนางยิ่ง นอกจากข้อดีที่มีรูปร่างหน้าตาที่งดงามแล้ว ที่เหลือวันๆ ก็เอาแต่คอยหึงหวงไท่จื่อ วิสัยทัศน์คับแคบ คิดได้แต่จะเอาผลประโยชน์ต่อหน้าอันน้อยนิดเท่านั้น!
เจี่ยงอวี๋แลบลิ้น ไม่กล้าพูดมากอีก
เจี่ยงฮองเฮาตรัสขึ้น “ข้าให้เจ้าทำเรื่องที่มีประโยชน์ มีไม่กี่ครั้งที่ทำได้ดี วันๆ เจ้าทำเป็นแต่เรื่องที่ไร้ประโยชน์ เจ้าจะหึงหวงกับผู้หญิงในตงกงยังพอเข้าใจได้ แต่อวิ๋นซื่อนางเป็นผู้หญิงของฉินอ๋อง เจ้าจะแก่งแย่งกับนางไปทำไม นางไม่ได้มาแย่งไท่จื่อกับเจ้าเสียหน่อย!”
“เสด็จอาท่านไม่ทราบ” เจี่ยงอวี๋พูดด้วยความโกรธ “ผู้หญิงสกุลอวิ๋นนางนี้เป็นสาวงามล่มเมืองที่แท้จริง ตอนงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงนางให้ท่าฮ่องเต้จนเกือบจะรับนางเข้าตำหนักหลังอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้แต่งเข้าจวนฉินอ๋องแล้วก็ควรวางตัวให้เหมาะสม นี่กลับมาพบปะไท่จื่อเป็นการส่วนตัว ไท่จื่อบอกว่าเห็นนางใกล้จะตบแต่งเป็นฝั่งฝาแล้ว จึงอยากถามไถ่ หึ หญิงสาวมากมายที่กำลังจะแต่งงาน เหตุใดจึงไม่เห็นไท่จื่อไปถามไถ่พวกนางบ้างล่ะเพคะ! บุรุษแห่งราชวงศ์ ต่างหลงใหลนางกันจนหมด ไม่รู้ว่าใช้กู่[1]มาทำเสน่ห์หรือไม่ อวี๋เอ๋อร์เพียงเห็นหน้านาง ก็เลือดขึ้นหน้าทันที!”
เจี่ยงฮองเฮาชำเลืองมองนาง “ตัวเจ้าไม่สามารถกุมหัวใจไท่จื่อไว้ได้ ยังจะโทษผู้อื่นอีก”
ใบหน้าของเจี่ยงอวี๋พลันเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ลูบไปที่ท้องอันแบนราบของนางแล้วพูดว่า “จะกุมใจไท่จื่อไว้ได้อย่างไรล่ะเพคะ จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีข่าวดีเลย สวี่เหลียงหยวนกับหลานจาวซวิ่นกลับคลอดลูกแล้วคลอดลูกอีก สถานะของนางสนมสองคนนี้นับว่ายังต่ำ หลานยังสามารถควบคุมไว้ได้ หากในภายภาคหน้า ไท่จื่อรับเอาหญิงสาวมาเป็นพระชายา แล้วพระชายาให้กำเนิดบุตรชาย เมื่อนั้นหลานคงไม่มีสามารถอยู่ต่อไปได้แล้วจริงๆ …ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นหูเป็นตาให้เสด็จอาแล้วเพคะ” นางกัดริมฝีปากอีกทีหนึ่ง แล้วจับชายเสื้อของเจี่ยงฮองเฮาไว้อ้อนอีกทีว่า “เสด็จอาเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาทราบว่าหลานสาวคนนี้พูดย้ำเรื่องเก่าอีกแล้ว นางอยากให้ตนเปิดปากบอกไท่จื่อให้ยกตำแหน่งนางสูงขึ้น แต่งตั้งนางเป็นชายาเอกของไท่จื่อ ฮองเฮาสะบัดแขนออก กลับไปนั่งลงบนบัลลังก์หงษ์ทอง “ตัวเจ้าเองเป็นบุตรสาวของอนุ สถานะต่ำไประดับหนึ่ง ยิ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรแก่ไท่จื่อ อาของเจ้าต่อให้อยากเปิดปากพูดแทนเจ้า แต่ไม่มีแม้แต่เหตุผลเดียวจะอ้าง บัดนี้ไท่จื่อก็ดีต่อเจ้า ยอมเจ้า นี่คงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของอาด้วย เจ้าจะยังให้ข้าไปพูดเรื่องชายาเอกอีกได้อย่างไรกัน!”
เจี่ยงอวี๋ไม่พอใจ หึ คำหนึ่งแล้วถอยไปนั่งข้างๆ ทุกครั้งเสด็จอาก็ใช้เหตุผลนี้มาเอาชนะนาง แต่อย่างไรนั่นก็เป็นข้อด้อยของตน ไม่อาจหักล้างเหตุผลข้อเท็จจริงนี้ได้
เจี่ยงฮองเฮาเห็นใบหน้าที่สิ้นหวังของนาง จึงยิ่งตึงเครียดขึ้น “ในใจเจ้ามีแต่เรื่องหึงหวง แก่งแย่งความรักจากไท่จื่อ เรื่องที่อาให้เจ้าไปทำนั้น ยังใส่ใจอยู่หรือไม่”
พอเจี่ยงอวี๋ได้ยินฮองเฮาเอ่ยปากขึ้น จึงเรียกสติกลับมาได้ “เรื่องที่อาให้ทำ อวี๋เอ๋อร์จะกล้าลืมได้อย่างไรเพคะ หลายวันมานี้ไท่จื่อเอาแต่อยู่ในตำหนักตงกง ไม่ได้ก้าวขาออกไปไหนเลย หากเบื่อแล้วไม่มีอะไรทำ ก็จะเขียนบทละคร ดีดพิณประพันธ์เพลง เตรียมถวายให้ท่านในงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพ เสด็จอาเพคะ ที่จริงแล้วไท่จื่อก็กตัญญูกับท่านอยู่ไม่น้อยเลย” ตัวนางเองก็ไม่ได้ทึ่มขนาดไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเสด็จอาของนางก็ไม่ค่อยปลื้มไท่จื่อเท่าไรนัก แม้ปากจะบอกว่าตนจะคอยรายงานเรื่องราวในตงกง แต่ก็รู้ดีว่า หากตำแหน่งของไท่จื่อเกิดสั่นคลอนขึ้นมา ตัวนางเองที่เป็นเหลียงตี้ก็จะโดนหางเลขไปด้วย เป็นหลานสาวของฮองเฮา จะสู้เป็นผู้หญิงของไท่จื่อได้เยี่ยงไร ดังนั้น หากมีโอกาส นางก็จะคอยพูดเรื่องดีของไท่จื่อให้ฮองเฮาฟัง
สองสามปีมานี้ เรื่องราวต่างๆ ในตงกงล้วนแล้วแต่มีหลานสาวของนางเป็นผู้มารายงาน ไท่จื่อลักลอบเอาเสื้อผ้าของคนสกุลหยวนฝังไว้เป็นสุสาน และจะไปกราบไหว้เป็นช่วงๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบอกกล่าวจากปากของเจี่ยวอวี๋เมื่อนางมาน้อมทักทาย และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจี่ยงฮองเฮาจึงรู้ว่า บุตรที่นางเลี้ยงไว้นี้ บัดนี้รู้ว่าการตายของสนมหยวนนั้นต้องมีปัญหา และอาจคลางแคลงใจตนขึ้นมาแล้วด้วยก็ได้
หากนางสามารถช่วยให้ซย่าโหวซื่อจุนขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้เยี่ยงไร ก็สามารถถีบเขาลงจากตำแหน่งได้เช่นกัน แม้นเขาจะเป็นตัวช่วยหนุนนางให้มีตำแหน่งที่มั่นคงในวังหลัง แต่หากเขาอยากแก้แค้นตนเพราะมารดาผู้ให้กำเนิดขึ้น เจี่ยงฮองเฮาจะนั่งนิ่งเฉยให้โอกาสเขาแก้แค้นตนเช่นนั้นหรือ นางจะไม่ปล่อยหมากตัวนี้ไว้แน่
——
[1] กู่ ตามความเชื่อทางภาคใต้ของประเทศจีนโดยเฉพาะแถบหนานเยว่ จะนำสัตว์พิษชนิดต่างๆ เช่น ตะขาบ งู แมลงป่อง ใส่ลงในภาชนะ แล้วปิดผนึก ปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นบริโภคกันเอง กู่คือพิษจากสัตว์ที่รอดมาเพียงหนึ่งเดียว เชื่อว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด มักนำมาใช้ในกิจกรรมทางไสยศาสตร์