ภริยาทูตได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เริ่มดีขึ้น อดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้นมาในใจ พระชายาฉินอ๋องที่ดูยังไม่โตที่เดิมทีตนเคยดูถูกนั้น ที่แท้ข้างในนั้นกลับมากประสบการณ์ยิ่งนัก ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก็กวักมือ
เฟิ่งจิ่วหลังโค้งตัวลง ฟังคำกระซิบของฮูหยิน
ขณะที่เฟิ่งจิ่วหลังฟังอยู่ ก็เผยรอยยิ้มออกมา ยืดตัวตรง แล้วเดินออกจากโต๊ะยาว หันหน้าไปทางไทเฮาจย่าแล้วคารวะ “ไทเฮา ฮูหยินภริยาท่านทูตของต้าสือตัดสินใจที่จะนำเข้าเครื่องหอมจากต้าเซวียนพะยะค่ะ” แล้วยกแขนอันเรียวยาวขึ้น ชี้ไปที่ห่างไกลนั้น เป้าหมายคืออวิ๋นหว่านชิ่น “เอาแบบที่ไทเฮาทรงใช้ในวันนั้น นั่นก็คือแบบที่ผสมโดยพระชายาฉินอ๋องพะยะค่ะ”
พูดจบ ดวงตาสีเขียวทรงเสน่ห์ก็กระพริบ หนังตาเปิดปิด ส่งสายตาไปให้
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึงไป ชายหนุ่มตะวันตก ช่างเปิดกว้างเสียจริง
อวิ๋นหว่านถงจ้องพี่สาวเขม็ง สายตาที่สนใจชอบพอของเฟิ่งจิ่วหลังนั้นตนจะไม่เห็นได้อย่างไร ดวงตาเคร่งเครียดชั่วขณะ ออกเรือนแล้วยังจะโปรยเสน่ห์ไปทั่ว ดึงดูดผู้คนมาสนใจ
การส่งออกเป็นการแสดงถึงอำนาจและศักยภาพของเมือง ไทเฮาจย่าจะไม่ตกลงได้อย่างไร ตรงกับนโยบายบริหารเมืองของต้าเซวียนในตอนนี้อยู่พอดี เพียงแต่…
นางมองดูอวิ๋นหว่านชิ่นแล้วลังเลเล็กน้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าไทเฮาจย่านั้นกังวลเรื่องอะไร ในเมื่อจะนำเข้าสินค้า ก็จะต้องทำเป็นจำนวนมาก ไทเฮากลัวว่าตนจะเร่งผลิตให้ไม่ทัน ส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าไม่มีปัญหา สามารถตกลงได้
กลัวอะไรกัน! นอกจากร้านเซียงหยิงซิ่วแล้ว ยังมีบ้านสวนโย่วเสียนอันกว้างใหญ่นั้นเป็นกำลังหนุนอีก!
ไทเฮาจย่าวางใจ จึงได้ยิ้มพลางกล่าวกับภริยาทูตว่า “ได้ เช่นนั้นรอให้ข้าหารือกับฮ่องเต้ก่อน หากไม่มีปัญหาอะไร ก็จะสั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทูตของหลี่ฝานย่วนไปจัดการ หากมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับสินค้า ฮูหยินก็สามารถส่งคนไปหาพระชายาฉินอ๋องได้”
ภริยาทูตพยักหน้า ยกแก้วขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “ขอให้เมืองต้าสือกับราชวงศ์ของท่านเป็นมิตรกันตลอดกาล”
อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ แล้วเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา ถึงเวลานั้น ก็สามารถประทับตราของร้านเซียงหยิงซิ่วบนสินค้าเครื่องหอมที่จะส่งออกได้ เช่นนี้ก็จะสามารถเผยแพร่ชื่อเสียงออกไปได้ด้วย
ไทเฮาจย่าหารือกับภริยาทูตผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รอช้า คนหนึ่งไปพบหนิงซีฮ่องเต้ คนหนึ่งก็กลับที่พักรับรองในวังไป
ก่อนไป เหล่าหญิงภรรยาขุนนางก็ลุกขึ้นน้อมส่ง ไทเฮาจย่ายิ้มพลางกดมือลง ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องมากพิธี “ในเมื่อเข้าวังมาแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องรีบไป นั่งกันไปก่อน”
ภริยาทูตก็กล่าวต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตนว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้วกัน”
ทุกคนยิ้มพลางขอบพระทัย หลังจากน้อมส่งไทเฮาและภริยาทูตเมืองต้าสือแล้ว เจี่ยงฮองเฮาและมเหสีรองเหวยก็เดินขนาบข้างกายจากไปพร้อมไทเฮา
เมื่อผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายไปแล้ว บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
บ่าวในวังออกมาดั่งฝูงปลาแหวกว่าย เติมชาเติมเหล้าให้ทุกโต๊ะ
นักดนตรีหลีหยวนก็เริ่มบรรเลงเครื่องดนตรี
เหล่าภรรยาขุนนางทุกท่านจิบน้ำชาฟังเพลงบรรเลง พูดคุยกันเป็นพักๆ ส่วนมากก็เป็นเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นทำเรื่องสั่นสะเทือนงานเลี้ยงในวัง และกริยาท่าทางในการพูดคุยกับทูตต้าสือเมื่อครู่นี้
ในการพูดคุยนั้นมีแต่คำชื่นชม
พระชายาจิ่งหยางอ๋องสกุลพานถึงกับขยับที่มาข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วยิ้มกล่าว “ไม่คิดว่าพระชายาฉินอ๋องยังมีความสามารถด้านนี้ด้วย เมื่อก่อนก็เคยได้ยินบุตรสาวของขุนนางพูดอยู่สองสามครั้ง โดยเฉพาะบุตรสาวของมหาบัณฑิตหอเกียรติยศยิ่งยกย่องสรรเสริญยิ่งนัก! แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่คิดว่าวันนี้จะสามารถดึงดูดภริยาทูตต่างแดนได้ แป้งผัดหน้าและเครื่องบำรุงผิวของพระชายาฉินอ๋องนั้น ไม่รู้ว่าข้าจะมีวาสนาได้เห็นหรือไม่”
มีหญิงสาวใดไม่รักสวยรักงาม พระชายาสกุลพานนี้แม้จะอายุมากแล้ว แต่กลับดูงดงาม คิดว่าปกติแล้วน่าจะให้ความสำคัญกับการแต่งตัวไม่น้อย อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่านางอยากเห็นนัก จึงให้ชูซย่าไปขอกระดาษพู่กันกับบ่าวในวัง เขียนที่อยู่ของร้านเซียงหยิงซิ่วแล้วยื่นให้พระชายาสกุลพาน “ปกติแล้วข้ามักจะฝากของไว้ที่ร้านนี้ หากพระชายาพานสนใจ ก็ไปเลือกที่หน้าร้านได้ ถึงเวลาเพียงบอกว่าเป็นสหายของข้า เจ้าของร้านก็จะต้อนรับเป็นอย่างดี”
เมื่อพระชายาสกุลพานดูที่อยู่นี้ ก็รู้สึกว่าร้านนี้เคยได้ยินชื่อ เหมือนว่าจะเป็นบุตรสาวกำพร้าคดีถังโจวที่รื้อคดีใหม่เมื่อไม่นานมานี้เป็นผู้เปิดร้านนี้ หญิงสกุลหงกับพระชายาฉินอ๋องนั้นจะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันก็ไม่แปลก จึงยิ้มแล้วเรียกให้สาวใช้เก็บกระดาษนี้เอาไว้
พระชายาสกุลพานเปิดประเด็นเช่นนี้ พระชายาซื่อจื่อ ลูกสะใภ้ของพระชายาลู่อ๋องนั้นก็นั่งไม่ติด เงี่ยหูฟังอยู่นาน ได้ยินคำพูดที่อวิ๋นหว่านชิ่นพูดต่อพระชายาจิ่งหยางอ๋อง
นางอายุยังน้อย เดิมทีก็นิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เดินนำสาวใช้มา “ไม่ทราบว่าข้าไปดูได้หรือไม่!”
ต่างก็เป็นหญิงสูงศักดิ์ที่หนึ่งคนเทียบได้กับหนึ่งโหล จะไม่ได้ได้อย่างไร
อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกให้ชูซย่าคัดลอกที่อยู่อีกสองสามฉบับ แล้วแจกให้พวกนาง
ทางนี้กำลังคึกคักกลมเกลียวกัน ในเสื่อทางด้านนั้น ก็มีเสียงหญิงสาวลอยมา “เป็นสาวเป็นนาง อีกยังออกเรือนแล้ว พระสวามีก็เป็นถึงองค์ชาย หารือการค้ากับขุนนางนอกต่างเผ่าต่างเมือง ไม่ขายหน้าราชสำนักไปหน่อยหรือ”
เสียงนั้นไม่เบาและไม่ดัง แต่มาประจวบเหมาะกับดนตรีหยุดกลางคันพอดี จึงได้ชัดเจนยิ่งนัก ทุกคนต่างก็ได้ยินกัน
ถึงแม้จะไม่มีประธาน แต่ใครจะฟังไม่ออกว่าหมายความถึงพระชายาฉินอ๋อง
“เศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของการเมือง หากเศรษฐกิจมีความลื่นไหล การเมืองของสองเมืองนั้นก็จะมีภัยน้อยลง ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือผู้ปกครอง ขุนนางและประชาชน พระชายารองอวิ๋นมองอย่างไรถึงมองว่าขายหน้าราชสำนักหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังพูดคุยอยู่กับพระชายาสกุลพาน ก็หันมา หาช่องว่างตอบกลับ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “หรือว่า พระชายารองคิดว่าแบกท้องโตเดินอวดไปทั่วนั้น ถึงเรียกว่าเป็นการได้หน้า และเก่งกาจอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นหว่านถงเห็นว่ามีคนรอบล้อมนางเต็มไปหมด จะตบตีก็ดี ทะเลาะก็ดี ตนก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของนาง จึงลูบท้องของตน “ออกลูกออกหลานให้บ้านสวามี สืบทอดสายเลือดให้ราชวงศ์ ย่อมเป็นความภาคภูมิใจและเป็นหน้าตา เก่งกาจยิ่งนักอยู่แล้ว” เดิมทีอยากจะกลับจวนอ๋องไปเสียทันที แต่นานๆ ทีจะได้ออกมาสักครั้ง อีกยังได้รับการพระราชทานให้เข้าวังอีก ไม่อยากที่จะกลับเร็วเช่นนั้น
พรมแดงที่ไกลออกไปจั้ง[1]กว่า ในที่นั่งของทูตเมืองต้าสือฝั่งตรงข้ามนั้น เฟิ่งจิ่วหลังเงยหน้าพิงเก้าอี้หนัง มือหนึ่งจับถ้วย อีกมือหนึ่งก็เคาะโต๊ะเบาๆ ตามดนตรีของจงหยวน เวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นหว่านถง ก็หันไปอย่างเกียจคร้าน “ท่านยายชาวฮั่นของกระหม่อมเคยพูดว่า หญิงชาวจงหยวนนั้นมีข้อผูกมัดมากมาย หญิงสาวมากมายเหมือนกบในกะลาทั้งชีวิต วิสัยทัศน์แคบนัก วันนี้ได้พบนายหญิงผู้นี้ จึงได้รู้ว่าท่านยายไม่ได้พูดเหลวไหล”
อวิ๋นหว่านถงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เคาะถ้วยมรกตกับโต๊ะยาวแล้วกัดฟันด่าเสียงแผ่วเบา “เจ้าแมวตาเขียวนี่! หากจะพูดว่าไม่มีอะไรกับอวิ๋นหว่านชิ่นนั้น ข้าก็ไม่เชื่อ! ไกลกันขนาดนี้ยังจะช่วยนางพูดอีก! หรือว่าเพราะเห็นว่าไทเฮาไปแล้ว ไม่เห็นพวกเขาเกี้ยวพาราสีกันอย่างนั้นหรือ…ไม่ได้ คอยดูข้าจะถอดปากเขาออกมา! ให้เขารู้ว่าตอนนี้เขายืนอยู่บนผืนดินของเมืองใด!”
“พระชายารองเพคะ อย่างไรเสียก็เป็นขุนนางทูตจากต่างเมือง จะล่วงเกินมิได้นะเพคะ” ยวนยางเห็นว่าพระชายารองยิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหลไปใหญ่ จึงรีบห้ามปราม ชายเก้าสกุลเฟิ่งนั้นหน้าตางดงามหาใครเปรียบได้ในต้าเซวียน ในงานเลี้ยงเมื่อครู่นั้น ได้แอบสอบถามกับบ่าวในวัง จึงได้รู้ว่าบุคคลผู้นี้ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่เป็นขุนนางทูตที่เจ้าเมืองต้าสือนั้นเป็นคนเชิญด้วยตนเอง อีกยังเป็นราชอาคันตุกะของเจ้าเมืองแคว้นต่างๆ มีความสัมพันธ์กับชนชั้นสูงศักดิ์ของหลายๆ เมือง
อวิ๋นหว่านถงกล้ำกลืนฝืนทนความโมโหนี้ไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปทางเฟิ่งจิ่วหลัง พยักหน้าให้เบาๆ เป็นการขอบคุณ
ถึงเวลากลางวัน ใกล้จะออกจากวัง อวิ๋นหว่านถงก็โล่งใจไปได้หนึ่งเปลาะ เข้าวังครั้งหนึ่ง ประหนึ่งดังเข้าเรือนจำ ยังต้องอดกลั้นความโมโหนี้ไว้อีก
——
[1] หน่วยมาตราวัดของจีน 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร