ตอนที่56 คนบ้าน้องสาวกับบ้าภรรยา
มีสามสาเหตุที่ยินเสี้ยวเสี้ยวทำได้เพียงฝืนใจเลือกเลือกพูดออกไปอย่างนั้น! และยังคงส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากถาวหยี
ถาวหยีฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย ทำได้เพียงพูดออกมาว่า “งั้นพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ ดีจังเลยที่พอจะคุ้นเคยกันมาบ้างแล้ว ยังไงซะหลังจากนี้ทุกคนก็อยู่ในเมืองTมั้ยล่ะ ต่อไปมีอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันไง”
ต๋งไขไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงมองไปยังจิ๋นลี่ยวนด้วยแววตาที่ไม่ชอบใจ
คำพูดที่จิ๋นลี่ยวนได้พูดก่อนหน้าในห้องทำงานของหัวหน้าภาควิชาถึงตอนนี้เขายังจำมันได้แม่น!คาดว่าการที่จะลบลืมเรื่องนี้ไปมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
เมื่อเทียบกับต๋งไขแล้ว จิ๋นลี่ยวนกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด และยังคงพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พอดีเลย พวกคุณก็ดูแลเสี้ยวเสี้ยวตอนอยู่ที่นี่อย่างดี งั้นวันนี้ให้ผมเลี้ยงข้าวพวกคุณสักมื้อเถอะครับ”
พูดจบ จิ๋นลี่ยวนก็บอกให้รอเขาไปเอารถมารับพวกเธอที่นี่
ในตอนที่จิ๋นลี่ยวนออกไปเอารถนั้น ต๋งไขก็เดินเข้ามาหายินเสี้ยวเสี้ยวแล้วกดเสียงต่ำถามเธอเสียงเรียบในเรื่องที่คอยกวนใจเขามาโดยตลอด “เสี้ยวเสี้ยว เกิดอะไรขึ้นกับเธอและรุ่นพี่เซี่ยงเฉิงกันแน่?”
ทันทีที่ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ยินคำถามนี้ ก็เหมือนกับสติหลุดลอยไปเล็กน้อยแต่ไม่นานก็ได้เรียกสติกลับมาได้ทัน หันไปมองถาวหยีที่มีสีหน้าอยากรู้เช่นเดียวกัน ต่อถาวหยีแล้วเธอเองก็รู้สึกผิดต่อเธอเล็กน้อย ทั้งที่เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานแล้วแต่กลับไม่เคยบอกอะไรเธอเลย
“ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ฉันก็แค่เลิกกับเขาแล้วหลังจากนั้นเขาก็หมั้นกับน้องสาวฉัน” ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับว่าเรื่องนี้เกิดกับตัวเอง ถ้าถาวหยีไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเซี่ยงเฉิงที่คอยเป็นที่พึ่งให้กับยินเสี้ยวเสี้ยวมาโดยตลอดจะวางมือไปจากเธอได้เร็วขนาดนี้ “ระหว่างฉันกับเขาได้เป็นอดีตไปแล้ว”
ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดจบก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะตัวเองออกมา
ใช่แล้ว คาดว่าเรื่องระหว่างเธอกับเซี่ยงเฉิงคงกระจายไปทั่วทั้งมอTแล้วล่ะมั้ง ในตอนแรกที่เข้ามอTมาก็ได้เกิดความโกลาหลขึ้นมาอยู่ช่วงนึง เป็นเพราะใบหน้าที่สวยเกินหน้าเกินตา จนมีรุ่นพี่ที่รู้จักกันนามผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุดในมอTอย่างเซี่ยงเฉิงตามจีบไม่เลิก ดอกไม้ดอกนี้อย่างเธออยู่ในมอTแห่งนี้ยังไม่ทันได้ผลิบานก็ถูกเขาเอาไปครอบครองเสียแล้ว ใครๆก็คิดว่าพวกเธอทั้งคู่หลังจากเรียนจบไปก็คงจะแต่งงานกัน แต่เมื่อมาถึงในตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวเหลือเพียงแค่เดือนกว่าก็จะเรียนจบก็มีข่าวลือแพร่ออกมา แต่กลับเป็นข่าวการหมั้นหมายของเซี่ยงเฉิงและคุณหนูสองแห่ง‘บริษัทจื่อยิน’ อีกทั้งวันแต่งงานก็จะจัดขึ้นหลังจากนี้เพียงไม่นาน
ชื่อเสียงของยินเสี้ยวเสี้ยวแต่เดิมก็ฉาวโฉ่มากพอแล้ว! ‘คุณธรรมถูกทำลายป่นปี้ พฤติกรรมก็สะท้อนถึงคุณธรรมไม่ดี’ไม่ใช่เพียงแค่พูดออกมา ดังนั้นถึงแม้ว่าในตอนนั้นเรื่องระหว่างเซี่ยงเฉิงและยินรั่วอวิ๋นก็ได้แพร่ดังออกไปใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ยังทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ความคิดของยินเสี้ยวเสี้ยว ดังนั้นเธอเองก็ทำได้แต่เพียงอดทนต่อชื่อเสียงแบบนั้นต่อไป! จนกระทั่งเธอได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองต่อหน้าผู้คน! ยินเสี้ยวเสี้ยวถึงจะห่างจากชื่อเสียงที่ไม่ดีของเธอที่อยู่กับเธอมาอย่างยาวนานลงไปบ้าง
ปึง!ปึง!
ความคิดของผู้คนที่พูดกันไปต่างๆนานา ยินเสี้ยวเสี้ยวคว้ามือของถาวหยีเอาไว้แล้วพาเธอเดินออกไปเหมือนอย่างคนที่ไม่มีเรื่องอะไร ต๋งไขเองก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีกทำเพียงเดินตามพวกเธอไป มีเพียงแค่ท่าทางที่ดูเหมือนไม่ยอมเด็ดขาดแต่กลับไม่อาจทำอะไรได้
ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่งลงข้างคนขับ ถาวหยีและต๋งไขนั่งด้วยกันด้านหลัง ทั้งสามคนปรึกษากันว่าจะไปกินข้าวที่ไหนกัน พูดออกมาหลายร้านที่เคยไปกันมาบ่อยๆแต่ก็ไม่ได้พอใจนัก สุดท้ายก็เป็นจิ๋นลี่ยวนที่เลือก‘ร้านอาหารเทาถี้’ขัดความคิดของทั้งสามคนออกมา จนทั้งสามคนต้องหุบปากลง
มีเงินก็จะทำอะไรก็ได้!
ใครๆก็รู้ว่านักศึกษาอย่างพวกเธอนั้นมีหรือจะไปร้านที่หรูหราอย่าง‘ร้านอาหารเทาถี้’ได้ แต่ในเมื่อมีคนเลี้ยงก็ถือว่าคนละเรื่องแล้วกัน อย่างน้อยถาวหยีก็ดูมีความสุขมากเป็นพิเศษ ในฐานะนักกินคนนึง‘ร้านอาหารเทาถี้’สำหรับเธอแล้วพูดได้ว่าแค่ได้ยินก็น้ำลายไหลแล้ว…
จิ๋นลี่ยวนขับรถไปพลางมองกระจกหลังดูพวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข “ขอโทษนะครับ พวกคุณรู้จักยินจื่อเจิ้นมั้ย? เชิญเขามาด้วยได้หรือเปล่า?”
กับยินจื่อเจิ้นสำหรับถาวหยีแล้วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแต่ก็ไม่ได้ถือว่าสนิทกัน แต่อย่างมากก็เพียงแค่ได้ยินชื่อเท่านั้น ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายที่ยินเสี้ยวเสี้ยวชอบที่สุดมั้ยล่ะ ตอนนี้เธอก็รู้สึกว่าน่าสนใจดีจึงได้ยกมือยกเท้าขึ้นมาอย่างเห็นด้วย ส่วนต๋งไขเองก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องออกความคิดเห็นออกไปยังไงจนต้องยอมรับไปโดยปริยาย จากนั้นจิ๋นลี่ยวนก็บอกให้ยินเสี้ยวเสี้ยวโทรไปหายินจื่อเจิ้นให้กับเขา
ยินเสี้ยวเสี้ยวเหลือบมองจิ๋นลี่ยวนอย่างระแวง แต่เขากลับใส่หูฟังบลูทูธ แล้วจดจ่ออยู่กับการขับรถโดยที่ไม่สนใจเธอเลยสักนิด เพียงไม่นานจิ๋นลี่ยวนก็นัดยินจื่อเจิ้นให้ไปเจอกันที่‘ร้านอาหารเทาถี้’เรียบร้อยแล้ว
ณ ‘ร้านอาหารเทาถี้’
ในตอนที่รถของจิ๋นลี่ยวนเข้ามายังบริเวณ‘ร้านอาหารเทาถี้’ พนักงานรับจอดรถของที่นี่เข้ามารับรถจิ๋นลี่ยวนไปจอดให้ทันที ทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปในร้าน ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งอื่นๆที่ครั้งนี้มีผู้จัดการหวงอยู่ทำงานพอดี ตอนที่เห็นจิ๋นลี่ยวนก็เดินเข้ามาถามทันที “คุณชายจิ๋น ไม่ทราบว่าวันนี้จะเลือกใช้ห้องไหนดีครับ? เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ”
เป็นครั้งแรกที่ทั้ง ถาวหยีและต๋งไขเข้ามาในร้านแบบนี้จึงอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่ผู้จัดการหวงเข้ามาคุยกับจิ๋นลี่ยวนด้วยท่าทางนอบน้อม ก็ยิ่งทำให้ต้องหันไปมองจิ๋นลี่ยวนอย่างประหลาดใจ คาดเดาในใจว่าจิ๋นลี่ยวนคนนี้เป็นใครกันแน่?
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่นักศึกษาแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้อะไรเลยว่า‘ร้านอาหารเทาถี้’แห่งนี้เป็นเหมือนกับที่ที่เอาไว้ถลุงเงินเล่นยังไงอย่างนั้น เพียงแค่รายได้หลักมาจากอาหารหรือไม่ก็การบริการ ไม่รวมกับกิจการอื่นๆอีกมากมาย สถานที่แบบนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองT ก็เหมือนกับวันนี้ที่เก๋อเฉิงเฟยได้ปรากฏตัวขึ้นมาในมอTแล้วพูดออกมาว่า “‘โรงแรมหซือซัน’ของผม” สถานที่แบบนี้ถ้าไม่มีคนที่มีค่อนข้างมีอำนาจในสังคมสักหน่อยพามา ก็คิดว่าแค่เดินเข้ามาในร้านก็คงเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันเรื่องนึงเท่านั้น!
มือข้างหนึ่งของจิ๋นลี่ยวนสอดลงในกระเป๋ากางเกง ส่วนมืออีกข้างนึงก็ยังคงจับมือของยินเสี้ยวเสี้ยวไว้ จากนั้นก็ตอบกลับไปเสียงเรียบ “ใช้ห้องประจำก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่ายินเสี้ยวเสี้ยวจะรับรู้สถานะของจิ๋นลี่ยวนแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าคนบ้านจิ๋นจะมีหน้ามีตาในสังคมได้ถึงขนาดนี้ แต่ทว่าในใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้เขาเล็กน้อย โดยเฉพาะในตอนที่จิ๋นลี่ยวนทำตัวเหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาๆทั้งที่อันที่จริงนั้นเป็นการกระทำที่ดูแพงจนจับต้องไม่ได้
ผู้จัดการหวง ตอบรับเสร็จก็เดินนำทั้งสี่คนไปยังห้องส่วนตัว ราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่กับถาวหยีและต๋งไขนั้นก็อดไม่ได้ที่จะช็อคไปครู่นึง ส่วนยินจื่อเจิ้นก็รีบตามพวกเขามาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว
ในตอนที่ยินจื่อเจิ้นปรากฏตัวเข้ามาทางประตู ยินเสี้ยวเสี้ยวก็เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขออกมา
“พี่คะ” เอ่ยเรียกเสียงหวาน ยินเสี้ยวเสี้ยวเดินเข้าไปจูงมือยินจื่อเจิ้นเดินเข้ามา ให้เขานั่งลงตรงข้ามจิ๋นลี่ยวน “พี่คะ ฉันขอแนะนำให้พี่รู้จักกับเพื่อนของฉันทั้งสองคนค่ะ คนนี้คือถาวหยี ส่วนคนนี้คือต๋งไขค่ะ”
เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นานยินเสี้ยวเสี้ยวก็รีบแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของเธอ ยินจื่อเจิ้นเงยหน้าขึ้นมองถาวหยีทีนึงแล้วหันไปมองต๋งไขจากนั้นก็พยักหน้าทักทายทั้งสองคนเล็กน้อย ท่าทางที่ดูสงบนิ่งดูดีนั้นพอได้มองไปยังถาวหยีแล้วใบหน้าก็เกิดอาการมัวเมาขึ้นมา
ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าจิ๋นลี่ยวนและยินจื่อเจิ้นทั้งสองคนมีเรื่องที่จะต้องคุยกันแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่ขอรบกวนพวกเขาทั้งคู่ จึงหันมานั่งกินไปพลางคุยเรื่องสนุกๆตอนที่อยู่ในมอกับถาวหยีและต๋งไข บรรยากาศในห้องตอนนี้ไม่ได้แย่ จิ๋นลี่ยวนเห็นใบหน้าที่หัวเราะอย่างมีความสุขของยินเสี้ยวเสี้ยว ก็หันมารินไวน์แดงให้กับตัวเองและยินจื่อเจิ้นทันที ทั้งสองคนเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาในห้องส่วนตัวจากนั้นก็เริ่มคุยกัน
จิ๋นลี่ยวนยกแก้วขึ้นมาแล้วพูดกับยินจื่อเจิ้น “ต่อไปนี้ก็เรียกฉันจะเรียกนายว่าพี่ก็แล้วกัน วางใจได้เลยว่าฉันจะดูแลเสี้ยวเสี้ยวอย่างดี”
ยินจื่อเจิ้นยกคิ้วหลิ่วตามองเขา นิ่งไปสักพัก หลังจากผ่านไปได้สักพักนึงแล้วก็เอ่ยถามออกไป “จิ๋นลี่ยวน น้องสาวของฉันยินจื่อเจิ้นมีค่าให้คนมารักและทะนุถนอม ไม่ใช่ตัวแทนของใคร ทางที่ดีนายจงจำข้อนี้เอาไว้สักนิด”
จบคำพูดนั้น สีหน้าของจิ๋นลี่ยวนก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม แก้วไวน์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางไม่มีลดลงเลย
ทางฝั่งของ ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ยังคงให้ความสนใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอทำหน้าที่เป็นคนกลาง เธอหวังอย่างมากว่ายินจื่อเจิ้นและจิ๋นลี่ยวนจะเข้ากันได้ดี แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินลางๆว่าตัวแทนอะไรพวกนี้ออกมาได้ ในตอนที่อยากจะเข้าไปฟังอีกครั้งทางฝั่งนั้นกลับหยุดพูดไป
นัยน์ตาคมของจิ๋นลี่ยวนแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ตอบกลับออกไปเสียงเบา “ผมคิดว่าพี่เข้าใจผิดแล้ว ในใจของผม เสี้ยวเสี้ยวเป็นเสี้ยวเสี้ยวมาโดยตลอด”
ยินจื่อเจิ้นไม่ได้รู้สึกดีกับคำพูดของจิ๋นลี่ยวน สายตามองไปอีกฝั่งแล้วรีบทักทายถาวหยีและต๋งไขเพื่อนของน้องสาว เดินเข้าไป แก้วไวน์ดูเหมือนว่าจะเอามาใช้แทนการปะทะกันของคนทั้งสอง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบกับจิ๋นลี่ยวน “จิ๋นลี่ยวน อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นคนโง่ และอย่ามาเอาน้องสาวของฉันไปเป็นตัวแทนของใคร ถ้านายจะมาทำร้ายน้องสาวฉัน ฉันไม่ปล่อยนายเอาไว้แน่!”
พูดจบ ยินจื่อเจิ้นกลับมายิ้มแย้มดังเดิม จากนั้นก็ยกไวน์ขึ้นมาจิบเล็กน้อย
ในตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวหันไปมองก็เห็นท่าทางแบบนั้นของยินจื่อเจิ้น ก็โล่งใจขึ้นมา เพียงได้รับคำอวยพรจากพี่ชาย หนทางข้างหน้าเธอเชื่อมั่นว่าตัวเธอจะต้องก้าวเข้าไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งขึ้นอีกได้แน่! จากนั้นเธอก็หันกลับไปพูดคุยกับถาวหยีและต๋งไขอย่างสนุกสนาน ภายในใจของยินเสี้ยวเสี้ยวตอนนี้รู้สึกพอใจอย่างมาก
แก้วไวน์วางไว้ในระยะสายตา ยินจื่อเจิ้นมองยินเสี้ยวเสี้ยวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักใครเอ็นดู
มีหลายเรื่องที่เขาเองก็ไม่มีทางเลือก แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยอมให้ตัวเธอได้ตัดสินเลือกด้วยตัวเองไปครั้งนึงก็ไม่ได้แปลว่าจะมีครั้งที่สอง
เขาจะเป็นพี่ชายที่คอยดูแลเธอจากข้างหลังเสมอ
นัยน์ตาคมของจิ๋นลี่ยวนหรี่ลงเล็กน้อย เม้มริมฝีปากเล็กน้อย จ้องมองยินจื่อเจิ้นอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ดูเหมือนจะผ่านมานานนับศตวรรษแล้ว จิ๋นลี่ยวนจึงตอบกลับไปหนึ่งประโยค “ผมไม่มีทางทำร้ายเธอ”
ยินจื่อเจิ้นเหยียดยิ้มออกมา กลิ่นหอมของไวน์กระจายไปทั่วคอยมอมเมาพวกเขา เหลือบมองจิ๋นลี่ยวนแล้วถามออกไป “จิ๋นลี่ยวน นายจะคอยดูแลเธอในสถานะไหน? ในฐานะคุณหมอจากหนันหยู หรือในฐานะคุณชายสามแห่งบ้านจิ๋น? นายเองก็รู้ดีว่าเรื่องระหว่างตระกูลมู่และบ้านจิ๋นมันไม่จบง่ายๆ ฉันไม่เชื่อว่าความรู้สึกระหว่างนายกับตระกูลมู่จะหายไปเพียงใช้เวลาแค่สองปีกว่าๆ”
ยินจื่อเจิ้นรู้มาโดยตลอดถึงการคงอยู่ของแฟนสาวคนนั้นของจิ๋นลี่ยวนในสองปีนั้นอย่างชัดเจน! ผู้หญิงคนนั้นเป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว! เมื่อเทียบกับบ้านยินแล้ว ก็เป็นตระกูลลำดับที่สองเลยทีเดียว!
“จิ๋นลี่ยวน ฉันไม่สนว่านายจะยังคงหลงเหลือความรู้สึกพวกนั้นอยู่อีกหรือเปล่า ฉันเพียงแค่อยากจะขอให้นาย….” ยินจื่อเจิ้นพูดออกไป สีหน้าก็เปลี่ยนมาเคร่งขรึมมากขึ้น แม้แต่น้ำเสียงเองก็ยังเจือไปด้วยความดุดัน “จำเอาไว้ว่าภรรยาของนายเป็นใคร!”
ในนาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมา สายตาของชายหนุ่มทั้งสองคนก็สบเข้าหากัน ในแววตานั้นเต็มไปด้วยคำเอ่ยเตือน!
น้องสาวของเขายินจื่อเจิ้น เขาไม่ยินยอมให้ใครมาทำร้ายเธอโดยเด็ดขาด ความรู้สึกของเขาจิ๋นลี่ยวนไม่อนุญาตให้ใครมาแคลงใจ