บทที่ 88 ผมยอมที่จะไม่แต่งงานชั่วชีวิตซะดีกว่า
เรื่องงานของยินเสี้ยวเสี้ยวกลับเป็นว่าที่บ้านจิ๋นไม่มีใครคัดค้านอะไร คงจะเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าเดิมทียินเสี้ยวเสี้ยวอายุน้อย กลับเป็นว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย หลังจากบ้านที่เมืองไห่เมียวจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวและจิ๋นลี่ยวนเริ่มลงมือเตรียมที่จะย้ายเข้าไป โชคดีที่ข้าวของไม่ได้เยอะมาก มีเพียงแค่ยินเสี้ยวเสี้ยวที่ยังคงใช้เวลาคิดไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับการตกแต่งบ้านใหม่……
สายตามองไปที่บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จ พรุ่งนี้ก็สามารถถือกระเป๋าเข้าบ้านไปได้เลย กลับว่ามีสายโทรเข้ามาจากบ้านจิ๋น โทรศัพท์สายนี้เป็นสัญญาณว่าจิ๋นลี่ยวนเริ่มเข้าสู่วงการพูดคุยแลกเปลี่ยนสังคมระดับสูงเมืองT และก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการเริ่มต้นความสัมพันธ์
ยินเสี้ยวเสี้ยวเพิ่งจะเลิกงานก็พบว่ามีรถเรนจ์โรเวอร์จอดอยู่ด้านล่าง วิ่งเหยาะๆไปขึ้นรถพร้อมกับถามว่า “วันนี้มาได้ยังไง ? ที่โรงพยาบาลไม่ยุ่งเหรอ ? แล้วช่วงนี้ตลาดหุ้นไม่ใช่ว่าผันผวนไม่แน่นอนเหรอ ? นายยังดูชิลๆสบายๆขนาดนั้นเลย ? ”
จิ๋นลี่ยวนรอจนยินเสี้ยวเสี้ยวรัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเรียบร้อยถึงพูดว่า : “ก็โอเค วันนี้พวกเราต้องกลับไปบ้านจิ๋นสักรอบก่อน”
ปากแบนๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ถามอะไรพร้อมตามจิ๋นลี่ยวนไปบ้านจิ๋นอย่างเชื่อฟัง
มองดูวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างตลอดทาง ยินเสี้ยวเสี้ยวทนไม่ไหวจนยิ้มออกมา พูดจริงๆแล้วชีวิตหลังแต่งงานนี้นอกจากช่วงเริ่มแรกสักกี่วันนั้นแล้วเธอก็ยังคงพึงพอใจอย่างมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะโดนหลี่หมึ้งสองแม่ลูกนั้นขายออกไป และก็ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะก่อเรื่องให้พี่ชาย ตอนนี้เรื่องราวมากมายของเธอนั้นก็มีความข้องเกี่ยวกันกับจิ๋นลี่ยวน มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างเขาอยู่ สำหรับเธอแล้วอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” จิ๋นลี่ยวนหมุนพวงมาลัยแล้วอดไม่ได้ที่จะถามเธอ
ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องเป็นแบบนี้ได้ แม้แต่กับตัวเขาเองนั้นก็ดูเหมือนว่ามักจะโดนคนอวดเก่งประดุจอาบน้ำในช่วงฤดูฝน หลังจากตั้งแต่ที่คุยกับยินเสี้ยวเสี้ยวครั้งที่แล้วนั้น ทุกๆครั้งระหว่างพวกเขาก็จะพูดได้เพียงคำสองคำ ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญอะไรแต่ทั้งหมดนั้นอยู่ในชีวิต เรื่องข้างตัว ระยะห่างจู่ๆก็ค่อยๆดึงเข้ามาใกล้อย่างอธิบายไม่ถูก
“คิดถึงว่าฉันมีผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ ฉันไม่ว่าจะอะไรก็ไม่กลัวแล้ว !” ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดอย่างภูมิใจ มุมปากที่เผยยิ้มออกมาเบาๆอย่างงดงาม
จิ๋นลี่ยวนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ายินเสี้ยวเสี้ยวเป็นเพียงเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่หลังจากนั้นก็เพิ่งจะพบว่ายินเสี้ยวเสี้ยวจริงๆแล้วนั้นรู้เรื่องรู้ราวอย่างมากและก็มีไหวพริบในการมองคน เพียงแค่บางครั้งเพิ่งจะเข้ามาในสภาพแวดล้อมแปลกใหม่อาจจะรู้สึก ‘เชื่องช้า’ บ้างเล็กน้อย น่าประหลาด จิ๋นลี่ยวนเหมือนกับว่าได้รื้อฟื้นความรู้สึกที่เคยชอบเมื่อปีนั้นได้กลับมาแล้ว……
“ใช่แล้ว คุณย่าให้พวกเรากลับไปทำไมเหรอ?” มองดูจนใกล้ถึงบ้านจิ๋นแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวถึงจะถาม
“ได้ยินมาว่าตระกูลฉีเกิดเรื่องขึ้นแล้ว” จิ๋นลี่ยวนเอารถขับเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์บ้านจิ๋น ตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ
หางคิ้วกระดกขึ้นเล็กน้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้พูดอะไร เดินตามจิ๋นลี่ยวนเข้าไปบ้านจิ๋นอย่างเชื่อฟัง ไม่ทันได้ก้าวเข้าไปก็ได้ยินเสียงคำรามแปลกๆครู่หนึ่ง
“ไอ้ลูกสัตว์เดียรัจฉาน! รู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่? ไม่ไว้หน้าตระกูลฉีของพวกเราเลย ดูคนบ้านอื่นซิ บ้านจิ๋นยังมีหน้ามีตาเลย! ”
ยินเสี้ยวเสี้ยวเดินเข้าไป ก็เห็นผู้ชายแปลกหน้าวัยกลางคนเผชิญหน้ากับ ฉีเคอหาน ที่คุกเข่าบนพื้นพร้อมคำรามด้วยความโกรธ ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นฉีเฉิงผิง หัวหน้าครอบครัวของตระกูลฉี ข้างๆที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่โกรธคงจะเป็นเฉินฉินคุณแม่ของฉีเคอหาน เพียงแต่ว่ายินเสี้ยวเสี้ยวไม่เข้าใจ การอบรมสั่งสอนลูกของตระกูลฉีสอนมาจนถึงบ้านเธอเลย แม้กระทั่งทางด้านของคนตระกูลกู่ก็ถึงกันหมดแล้ว หนึ่งในนั้นใบหน้าของกู่ชูเหยาซีดขาวเล็กน้อย
จับมือของยินเสี้ยวเสี้ยวเดินเข้าไป หลังจากที่ทักทายกับทุกคนแล้วนั้น จิ๋นลี่ยวนก็นั่งอีกด้านนึง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็โดนหยูเจียห้วยพาไปนั่งข้างๆคุณย่าจิ๋น
ฉีเฉิงผิงโกรธอย่างมากเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าไม้ขนไก่ในมือนี้ทำมาจากไหนไม่มีขนไก่สะแล้ว ไม้ที่เปลือยเปล่ามองดูแล้วช่างน่ากลัวเสียจริง
ฉีเคอหานที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้นกลับไม่ได้สนใจพวกนี้แต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าโดนตีจนใบหน้าซีดขาวยังจะดื้อรั้นพูดออกมา “คนที่ฉันชอบคือจิ๋นลี่หยาว ฉันจะหมั้นกับกู่ชูเหยา!ถ้าคุณจะตี วันนี้ก็ตีผมให้ตายเถอะ!”
ยินเสี้ยวเสี้ยวตกใจเบาๆ หันกลับไปมองจิ๋นลี่หยาวที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
……
ฉีเฉิงผิงเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ชูไม้ที่เปลือยเปล่าในมือขึ้นสูงอย่างมากแล้วก็ตีลงบนแผ่นหลังของฉีเคอหานอย่างแรงลงไป เสียงที่อู้อี้นั้นทำให้คนเหล่านั้นต่างตกใจกลัวจนทนไม่ไหวที่จะหดคอลง แต่ว่าไม่ว่าฉีเฉิงผิงจะตีจะด่าอย่างไร ฉีเคอหานเขานั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคำพูด และทุกครั้งที่พูดความในใจออกมานั้นเขาก็จะเงยหน้ามองจิ๋นลี่หยาวที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ยินเสี้ยวเสี้ยวอดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกออกมาทางใบหน้า……
หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่งคุณย่าจิ๋นจึงเปิดปากพูดออกมา “เด็กน้อยตระกูลฉีนายชอบลี่หยาวของบ้านฉันแต่ว่าพวกฉันยังไม่เคยบอกว่าจะให้ลี่หยาวแต่งงานกับนายเลย นายพูดมาแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้ชื่อเสียงของลี่หยาวเสียหายเหรอ ? ” ถึงแม้ว่าลี่หยาวของบ้านฉันจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าชื่อเสียงของเธอนั้นนายสามารถที่จะเอาไปเหยียบหย่ำได้ตามอำเภอใจ
เมื่อคุณย่าจิ๋นพูด ภายในห้องต่างก็เงียบสงบ ยินเสี้ยวเสี้ยวมองดูจิ๋นลี่ยวนเป็นครั้งแรกที่ค้นพบว่าเธอขมวดคิ้วแน่นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แค่เห็นได้ชัดเจนว่าจิตใจไม่ได้อยู่ตรงนั้น
คนตระกูลฉีเมื่อได้ยินต่างก็ตื่นตกใจ วันนี้ตระกูลฉีปรึกษาหารือกับตระกูลกู่เรื่องที่จะให้ฉีเคอหานหมั้นกับกู่ชูเหยา ที่บ้านไปกันหลายคน และยังมีตระกูลอื่นๆที่สนิทสนมกับตระกูลกู่ แต่กลับว่าหลังจากที่ ฉีเคอหานได้ยินข่าวนี้โกรธขึ้นมาจนกลั้นไว้ไม่อยู่ ไม่ลังเลที่จะสารภาพความในใจออกมาในสถานการณ์ตรงนั้น เอะอะโวยวายจนหน้าตาของตระกูลกู่ได้รับความเสียหายอย่างมาก แม้แต่ตระกูลฉีเองก็ค่อนข้างที่จะเสียหน้า ประจวบเหมาะที่คุณย่าจิ๋นพาจิ๋นลี่ยวนไปนั่งคุยที่บ้านก็ได้ยินคำพูดนี้พอดี เรื่องราวจึงบานปลายมาจนถึง ณ จุดนี้
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดอย่างไง แต่ว่านายก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว คำพูดอะไรที่ไม่ควรพูดในโอกาสไหนนายก็น่าจะรู้ ในเมื่อนายรู้แล้วแต่กลับว่ายังคงทำแบบนี้ นี้ไม่ใช่ดื้อรั้นจะเอาบ้านจิ๋นของฉัน จนอยากจะให้ตระกู่ดูไม่ดีตามงั้นเหรอ?” คุณย่าจิ๋นก็ยังคงไม่รู้จริงๆว่าทำไมถึงชอบฉีเคอหาน มักจะรู้สึกว่าหน้าตาเขาช่างอบอุ่นอ่อนโยนอย่างมาก ทางพฤติกรรมค่อนข้างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าโตกว่านี้อีกกี่ปีก็คงจะไม่เลว แต่คิดว่าไม่เลวแล้วจะยังไง? อีกไม่กี่ปีจิ๋นลี่หยาวก็จะยี่สิบเก้าปีแล้ว ฉีเคอหานเขาเพียงแค่ยี่สิบห้าปี รอเขาโตสักสามถึงห้าปีแล้วจิ๋นลี่หยาวอายุปาเข้าไปกี่ปีแล้วล่ะ? ดังนั้น ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเรื่องนี้จะไม่ได้รับความเห็นด้วยของคนบ้านจิ๋น “เรื่องลี่หยาวของบ้านฉันไม่จำเป็นต้องให้นายมากังวลใจ แต่ชื่อเสียงของลี่หยาวนายต้องเอามันกลับมาให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเอาบ้านจิ๋นของฉันไปคุยลับหลัง ! ”
“คุณย่า คุณวางใจเถอะ เรื่องนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อย! จะไม่ทำให้เด็กนี้พูดจาสับสนวุ่นวายอีก ” ฉีเฉิงผิงออกตัวรับประกันอย่างรวดเร็ว ตระกูลฉีและบ้านจิ๋นเป็นตระกูลที่ไปมาหาสู่กันดี แต่ว่าถ้าหากพูดจริงๆว่าตระกูลฉีขอแต่งงานกับจิ๋นลี่หยาวไปพวกเขาก็คงไม่ยินยอมเป็นแน่ ไม่พูดถึงว่าจิ๋นลี่หยาวอายุมากกว่าฉีเคอหานมาก ก็พูดได้ว่าจิ๋นลี่หยาวนั้นมักจะนิสัยแปรปรวน,ไม่ยืดติดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆซึ่งไม่ใช่เป็นนิสัยที่คนตระกูลฉีชอบ แต่ว่าพวกเขากลับชอบลูกสะใภ้ที่อ่อนโยนแบบนั้นอย่างกู่ชูเหยา “เด็กนี้ต้องหมั้นหมายไว้สะแล้ว ต้องหาคนที่จะเอานิสัยของเขาไว้อยู่หมัด !”
เมื่อฉีเฉิงผิงพูดจบ เฉินฉินก็หันไปพูดกับคนตระกูลกู่ : “ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเด็กคนนี้ทำยุ่งเหยิง พวกคุณอย่าเก็บมาใส่ใจ ชูเหยาและเคอหานเด็กสองคนนี้เติบโตมาด้วยกัน พวกเราต่างก็รอคอยให้พวกเขาเติบโตพอที่จะแต่งงานกัน แต่กลับไม่รู้ว่าเด็กเหลือขอนี้สมองสับสนวุ่นวายชูเหยาอ่ะ หนูก็อย่าไปโกรธเขาเลยน่ะ”
กู่ชูเหยานั่งอยู่ข้างๆ ทางเยี่ยนแม่ของตัวเอง ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา สายตากลับว่าอดไม่ได้ทำจะมองไปที่ชายที่ยอมตายดีกว่ายอมแพ้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น ในใจก็โศกเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง
กู่เฉิงยู่ขมวดคิ้วแน่นมองไปที่ฉีเคอหาน แล้วหันกลับมามองตัวเองหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นลูกสาวก็ไม่พูดไม่จาอีกเลย ถอนหายใจเบาๆภายในใจ ถึงแม้ว่านิสัยของฉีเคอหานจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่พื้นฐานก็ดีมากแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ยินยอมเรื่องงานแต่งนี้ เพียงแค่ตอนนี้สถานการณ์มันวุ่นวายเป็นอย่างนี้ ใครจะไปรู้ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือเปล่า
“ผมไม่ต้องการ! ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ ! ตราบใดที่ภรรยาของฉันไม่ใช่จิ๋นลี่หยาว ฉันยอมไม่แต่งงานตลอดชีวิตซะดีกว่า ! ” เมื่อฉีเคอหาน ได้ยินคำพูดแม่ของตัวเองก็รีบเอ่ยปากพูดหักล้างอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันฉีเคอหานชีวิตนี้ก็……”
“งั้นนายก็ไม่ต้องแต่งงานไปตลอดชีวิตเถอะ” ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำก็แพร่ผ่านเข้ามา คนในห้องรับแขกต่างเงียบๆพร้อมหันไปมองดูจิ๋นลี่ยวนที่เอ่ยปากพูดขึ้นทันใด สายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชามองไปที่ฉีเคอหานที่คุกเข่าอยู่
ฉีเคอหานใบหน้าที่ตกตะลึงมองไปที่จิ๋นลี่ยวน เขาคิดว่าจิ๋นลี่ยวนไม่ยินยอมแต่ก็จะไม่ปฏิเสธ แต่ตอนนี้กลับเป็นเขาที่ปฏิเสธอย่างเห็นได้ชัดเจน!
จิ๋นลี่ยวนลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะลากยินเสี้ยวเสี้ยวออกไป ก่อนที่จะออกไปเพียงพูดประโยคเดียวว่า : “ในใจของพี่สาวฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และนายคิดว่านายจะต้องแต่งงานกับเธอเท่านั้น พี่สาวของฉันก็จะต้องแต่งงานกับคนนั้นเท่านั้นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นนายคิดว่าพี่สาวบ้านจิ๋นของฉันจะไม่มีคนสนใจจนถึงตอนนี้เลยงั้นเหรอ ?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวมองด้วยความมึนงงไปที่จิ๋นลี่ยวนที่อยู่ข้างกาย นี้เป็นการเข้ามาสัมผัสถึงเรื่องของบ้านจิ๋นเป็นครั้งแรกหลังจากที่เธอแต่งานเข้ามาในบ้านจิ๋น
คนบ้านจิ๋นต่างไม่พูดจาราวกับว่ารู้เรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลฉีใบหน้าแดงแห้ง เด็กเหลือขอคนนี้ชอบคนอื่นแล้วก็ช่างมัน แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ภายในใจของเขานั้นมีคนอื่นอยู่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ นี้ไม่ใช่เหมือนวางหน้าไปให้คนตบเหรอ ?
กู่ชูเหยาเมื่อฟังประโยคนี้ก็หันมองจิ๋นลี่หยาวด้วยความตกใจเบาๆ จิ๋นลี่หยาวที่อายุยี่สิบเก้าปีบำรุงรักษามาอย่างดี มองดูแล้วนั้นเหมือนกับอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี เด็กผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี อารมณ์ดีร่าเริงแจ่มใสจะไม่มีคนสนใจเลยจริงๆที่ไหนกันล่ะ ดูแล้วกี่ปีมานี้เหตุผลที่บินไปต่างประเทศตลอดนั้นพูดไม่ได้จริงๆว่าอาจจะเป็นเพราะผู้ชายคนนั้น……
ฉีเคอหานเหมือนกับว่าได้รับการโจมตีที่ยิ่งใหญ่ คนทั้งคนใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ จากเดิมทีสันหลังที่เหยียดตรงกว่าก่อนก็ปล่อยอ่อนลงมา ล้มลงบนพื้นใบหน้าที่คิดไม่ถึงมองไปที่จิ๋นลี่หยาว
เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าจิ๋นลี่หยาวมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ข่าวลือไม่ใช่เหรอ ? เขาไม่เคยคิดถึงเหตุผลที่จิ๋นลี่หยาวยังไม่ได้แต่งงานจนถึงตอนนี้ คิดไม่ถึงจริงๆว่าเป็นเพราะการมีตัวตนอยู่ของคนๆนั้น!และบ้านจิ๋นก็ยอมรับการกระทำของจิ๋นลี่หยาวเหรอ ?
หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง ทันใดนั้นจิ๋นลี่หยาวก็ลุกขึ้นยืนเดินมาข้างๆกู่ชูเหยายิ้มพร้อมพูดว่า : “น้องชูเหยาของฉันก็จะต้องหมั้นหมายแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีเสียจริง พี่คนนี้ยินดีกับพวกคุณด้วยน่ะ”
คำพูดนี้ ได้ตัดสินโทษประหารชีวิตของฉีเคอหานแล้วจริงๆ!