135 งานวันเกิดที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
ในตอนนั้นเอง ใครพูดอะไรก็ผิดไปหมด นี่มันเป็นวันเกิดครบรอบ 80 ปีของคุณย่า ในฐานะหลานก็ไม่ควรจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดี
เมื่อคุณย่าจิ๋น อยากไปบรรยากาศในงานนั้นก็เริ่มเย็นยะเยือก จิ๋นลี่โป๋กับจิ๋นลี่หยาวทำตัวไม่ถูก เลยทำได้แค่ต้อนรับแขกต่อไป ขนาดผู้จัดการหวงเองก็มาต้อนรับแขกด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิด มีคนทยอยทักทายกับจิ๋นลี่โป๋หรือไม่ก็จิ๋นลี่หยาวจากนั้นก็เดินจากไป……
คนแล้วคนเล่า ในตอนแรกที่มีคนอยู่เยอะแยะมากมาย จนขนาดคิดว่าไฟอาจจะไม่พอแต่เมื่อคุณย่าจิ๋นกับจิ๋นลี่ยวนเพิ่งจะออกไปได้ 20 นาทีทุกๆ คนก็เริ่มทยอยกันออกไปเช่นเดียวกัน ตอนแรกก็ออกกันไปแค่สองสามคน แต่สุดท้ายก็กันไปเป็นโขยง เมื่อยินเสี้ยวเสี้ยวหันกลับมา ในงานนั้นก็เหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่คนแล้ว
เธอยิ้มเยาะขึ้นด้วยมุมปาก ยินเสี้ยวเสี้ยวยิ้มหัวเราะตัวเอง
ใช่สิ ภรรยาของหลานอย่างเธอที่บ้านจิ๋นไม่ให้ความสำคัญมาจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด แม้แต่ เจ้างานยังออกไปอย่างไม่เกรงใจพร้อมกับคนนอกแบบนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูออก ถึงแม้ว่าตอนแรกทุกคนจะสนใจเธอ แต่ว่าความจริงก็เป็นแบบนี้ เธอยังคงเป็นคนที่ถูกทิ้งอยู่ตามเคย……
ในงานเลี้ยงนั้นเหลือคนอยู่ไม่กี่คน ส่วนมากก็เป็นคนที่สนิทสนมกับจิ๋นลี่โป๋หรือจิ๋นลี่หยาว เป็นคนวัยหนุ่มสาวกันทั้งหมด ครอบครัวที่ยังเหลืออยู่มากที่สุดก็คือตระกูลเฉิง ตระกูลฉีกับตระกูลกูู่ และคนใหญ่คนโตที่อยู่นั้นก็มีคนของตระกูลเฉิงอย่างสองสามีภรรยาเฉิงเจิ้งกับจางเยว่ คนที่เหลืออยู่ของตระกูลฉีกับตระกูลกูู่ก็มีแต่ฉีเคอหานกับกู่ชูเหยาที่เพิ่งจะหมั้นกัน
“เสี้ยวเสี้ยว” จางเยว่ยินเบาๆ พลางควงแขนของสามีเดินเข้ามาหา ตอนที่พวกเขามานั้นคนเยอะมาก เลยไม่ได้ทักทายยินเสี้ยวเสี้ยว ตอนนี้มีโอกาสแล้วแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นโอกาสในเวลาแบบนี้
ยินเสี้ยวเสี้ยว หันกลับมามองพ่อแม่ของเฉิงชื่อชิง ก่อนจะยิ้มด้วยความอ่อนโยน: “คุณลุง คุณป้า”
ตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านเกิดนั้น เป็นเวลาที่จางเยว่รักษาตัวอยู่พอดี คนสูงอายุทั้งสองคนเธอได้ว่าเห็นการเติบโตของยินเสี้ยวเสี้ยวมาโดยตลอด เลยมีความรู้สึกผูกพันกับเธอมากเป็นพิเศษ
จางเยว่กับเฉิงเจิ้งไม่ได้เจอยินเสี้ยวเสี้ยวมานาน เจออีกทีเธอก็โตเป็นสาวสวยแล้ว นิสัยท่าทางก็เปลี่ยนไปสงบเสงี่ยมมาก ตระกูลที่สูงส่งแห่งนี้คงฝึกฝนคนได้อย่างดีจริงๆ
“คุณตกแต่งที่นี่ได้ไม่เลวเลย ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านอกจากการออกแบบโฆษณาแล้ว การออกแบบพวกนี้ของคนก็เก่งไม่แพ้กัน” จางเยว่เลือกที่จะไม่พูดเรื่องราวก่อนหน้านี้ เพียงแต่พูดคุยกับยินเสี้ยวเสี้ยว ถือว่าบรรยากาศเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
“จริงสิ คุณลุง ช่วงนี้พี่ชื่อชิงติดงานอะไรหรือเปล่า เวลาจะไปหาก็มักจะไม่เจอเขา” งานในครั้งนี้เธอเป็นคนส่งการ์ดเชิญไปให้ แต่เฉิงชื่อชิงกลับไม่ได้มาร่วมงาน ความโดดเดี่ยวในตาของจิ๋นลี่หยาวนั้นเธอมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จิ๋นลี่หยาว ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟังด้วย
เฉิงเจิ้งพูดถึงลูกชายของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความภูมิใจก่อนจะหัวเราะแล้วถามยินเสี้ยวเสี้ยวกลับว่า: “เสี้ยวเสี้ยว ฉันจำได้ว่าตั้งแต่คุณยังเล็กก็อยากจะเรียนต่อ ถ้าเกิดตอนนี้เข้าไปเรียนต่อที่ที่มหาวิทยาลัยT ก็น่าจะให้พี่ชื่อชิงเป็นคนดูแล เป็นยังไง?อยากไปไหม?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เฉิงชื่อชิงจะเป็นอาจารย์ระดับปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยT ดูๆ ไปแล้วครั้งนี้เขาคงจะไม่ได้อันตรายสักเท่าไหร่ ถ้าไม่อย่างนั้น เฉิงเจิ้งคงไม่กล้าพูดออกมาอย่างภาคภูมิขนาดนี้
หลังจากที่คุยกันได้ประมาณหนึ่ง ผู้จัดการหวง ก็เดินมาบอกยินเสี้ยวเสี้ยว ว่าเริ่มกินข้าวได้แล้วเสียงนั้นไม่ดังมากแต่ว่าเสียงในห้องผมรับแค่ที่ว่างนั้นกลับมีเสียงสะท้อนกลับมาอย่างบอกไม่ถูก
รอยยิ้มที่มุมปากนั้นเกิดการชะงัก ยินเสี้ยวเสี้ยว ทักทายกับแขกที่เหลืออยู่ในงาน
แขกที่เหลืออยู่ไม่กี่คนในงาน เพิ่งจะนั่งลงที่โต๊ะสองตัว ส่วนโต๊ะอีกสามสิบแปดตัวที่มีอาหารวางอยู่เต็มไปหมดนั้น กลับไม่มีใครนั่งอยู่เลย และแขนที่เหลืออยู่ตอนนี้กลับมีแค่เฉิงเจิ้งกับจางเยว่ที่โตกว่า ในสถานการณ์แบบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกประหม่า แต่ยินเสี้ยวเสี้ยวทำเหมือนกับไม่เห็นโต๊ะโล่งๆ อีกสามสิบแปดตัวนั้น เธอเลยเอาแต่คุยกับคนในงานและหัวเราะกับคนในงาน จิ๋นลี่โป๋กับจิ๋นลี่หยาว มองดูอยู่ห่างๆสุดท้ายก็ยกแก้วขึ้นมาจิบเหล้า
วันนี้จางเยว่ดูยินเสี้ยวเสี้ยวอยู่ตลอดเวลา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจเธอ
ยินเสี้ยวเสี้ยวในสมัยก่อน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่พ่อและแม่ไม่รักและเอ็นดูในตระกูลยิน เธอ ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แถมยังกล้าถามออกมาเสียงดังว่า ‘เพราะอะไร’ อีกด้วย แต่ว่าตอนนี้ เธอไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบอีกแล้ว แล้วก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะถามว่า ‘เพราะอะไร’ ……
เด็กแบบนี้ใครมองก็ต้องรู้สึกสงสารจับใจ
ข้าวมือนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองยินเสี้ยวเสี้ยว ผู้หญิงที่ก่อนฟันอดทน คงต้องเปลี่ยนมุมมองในการมองเธอแล้วจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงงานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่เธอเรื่องแรงไปในวันนี้เลย แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเค้กแปดชั้น ว่าเธอพยายามมากแค่ไหน เพียงแค่มู่เยียนหราน ปรากฏตัวออกมาแล้วเธอยังสามารถพูดด้วยรอยยิ้มได้ว่า ‘สวัสดี ฉันชื่อยินเสี้ยวเสี้ยว’ แค่นี้ก็ต้องใช้ความสามารถในการควบคุมตัวเองมากเพียงพอแล้วแต่เธอก็ยังสามารถทำออกมาได้จนน่าตกใจ……
งานเพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่นาน ยินเสี้ยวเสี้ยวก็หาสิ่งที่ทุกคนในงานพยายามจะสื่อ เธอหันตัวกลับไปเรียกผู้จัดการหวงที่คอยยืนอยู่ข้างๆ: “ผู้จัดการหวง ให้พนักงานใน ‘ร้านอาหารเทาถี้’ มากินข้าวเถอะ เรียกเชฟออกมาด้วย ข้าวน่ะต้องกินด้วยกันหลายๆ คนถึงจะอร่อย”
คำพูดเพียงคำเดียว ทำให้ผู้จัดการหวงตกใจ
เขาเป็นผู้จัดการรองของ ‘ร้านอาหารเทาถี้’ มีค่าตัวที่สูงส่ง ดังนั้นเขาเลยรู้เป็นอย่างดีว่า มีคนไม่กี่คนในเมืองT ที่จะยอมกินข้าวกับคนรับใช้และพนักงาน แต่ตอนนี้ยินเสี้ยวเสี้ยว ไม่ใช่แค่พูดแบบนั้น แต่ยังทำแบบนั้นด้วย เมื่อมองคนที่สูงส่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะ คุณหนุ่มสาวมีใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้รับมรดกตกทอดจากครอบครัว แต่พวกเขาก็ตอบตกลงถ้าเป็นปกติคงจะ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
ยินเสี้ยวเสี้ยว ลุกขึ้นแล้วเดินไปเรียกพนักงานให้พวกเขามานั่งกินข้าวก่อน ในตอนแรกทุกคนก็ยังไม่กล้าจน กระทั่งผู้จัดการหวงพยักหน้า จึงนั่งลงแต่ก็ไม่กล้าจับตะเกียบ จนผู้จัดการหวงเรียกทุกคนมาพร้อมกันทุกคนถึงจะกล้า จับตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินข้าว……
อาหารทุกจานพวกเขาก็รู้หมดแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวชิมไปอย่างน้อยน้อยไม่ต่ำกว่าสิบรอบ มั่นใจถึงขนาดที่ว่าใช้วัตถุดิบอะไร ทำอย่างไร และเหมาะกับคนกินแบบไหน ต้นทุนของอาหารในงานนี้นับเป็นเงินเดือนรายเดือนของพวกเขา แต่ตอนนี้กลับมาวางอยู่ตรงหน้าของพวกเขา……
เรื่องในงานที่เกิดขึ้นวันนี้ พนักงานทุกคนรู้กันหมด จึงทำได้แค่ถอนหายใจในตอนนี้เท่านั้นเอง
คุณนายน้อยสามตระกูลจิ่น ไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถทำได้ แล้วก็ไม่ได้น่าทำขนาดนั้นด้วย……
ในตอนสุดท้าย ยินเสี้ยวเสี้ยว ก็ยิ้มเพื่อส่งแขกก่อนจะเหลือเพียงแค่ตัวเธอคนเดียวจากนั้นเธอก็หันหลังกลับมา ถึงแม้ว่าวันนี้จะเรียกพนักงานทุกคนใน ‘ร้านอาหารเทาถี้’ มาแล้ว แต่ก็ยังมีอีกยี่สิบโต๊ะที่ไม่มีคนนั่ง
“คุณนายน้อยสาม……” ผู้จัดการหวงที่ยืนอยู่ข้างหลังยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างเงียบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเบาๆ
วันนี้ ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่สบายใจ ทุกคนจับตามองเธอ เลยทำให้เธอไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย
เรื่องของมู่เยียนหรานนั้น ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงกว่าคือการที่คุณย่าจิ๋นนั้นรักมู่เยียนหรานเสียยิ่งกว่าอะไร
ลำคอสั่นเล็กน้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวมองอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะกว่ายี่สิบตัวก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ว่า: “ของพวกนี้คุณเอาไปให้เด็กกำพร้าแถวๆ นี้ แล้วก็สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุก็แล้วกัน อย่าให้สิ้นเปลืองนะ”
ผู้จัดการหวงได้ฟังดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเฝื่อนๆ ก่อนจะพยักหน้าแรงๆ หนึ่งที
อาหารของ ‘ร้านอาหารเทาถี้’ นั้นไม่มีการเก็บข้ามคืน วัตถุดิบต่างๆ ก็ซื้อสดใหม่ทุกวัน ของที่เหลือก็ต้องทิ้งทั้งหมด ความคิดที่ว่าจะเอาไปให้เด็กกำพร้าและคนชรานั้นก็ถือว่าไม่เลว ยินเสี้ยวเสี้ยวเลือกอาหารที่คนชรากินได้อยู่แล้ว มีสารอาหารมากแถมยังย่อยง่าย มันเลยไม่ยาก
ผู้จัดการหวงรีบให้พนักงานกับข้าวไป ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่ยืนอยู่ข้างๆ พลางมองพวกเขาเอาอาหารออกไป โดยที่ไม่ได้มีสีหน้าอารมณ์อะไรเลย
คนอีกฝั่งที่ถูกคุณย่าจิ๋นดึงไปก็คือจิ๋นลี่ยวน ขมวดคิ้วเป็นปม เบะปาก แค่มองก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดวันนี้ไม่ใช่วันเกิดคุณย่าจิ๋น เขาคงจะไม่เดินออกมาง่ายขนาดนั้น!
ยินเสี้ยวเสี้ยวอยู่ในโถงเพียงคนเดียว ควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไร?
ลำคอสั่นเล็กน้อย จิ๋นลี่ยวนขับรถอย่างรวดเร็ว แต่คุณย่าจิ๋นกับมู่เยียนหรานกลับพูดคุยขำขันอย่างมีความสุข
“เยียนหราน คุณกลับมาแล้ว หลังจากนี้มาหาย่าบ่อยๆ นะ ถ้าเกิดสุขภาพไม่ดีก็โทรหาลี่ยวน ก่อนที่เขาจะเรียนหมอทั่วไปเขาเคยเรียนหมอหัวใจมาก่อน ที่บ้านคุณตอนนี้ยังหาหัวใจที่เหมาะสมไม่ได้ เรื่องนี้รีบเร่งไม่ได้ เพียงแค่คุณกลับมา คุณย่าก็จะช่วยหาด้วย……” พูดไป คุณย่าจิ๋นก็ตบมือของมู่เยียนหรานเบาๆ เป็นการสัญญา “เดี๋ยวรอให้ร่างกายดีขึ้น ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง……”
มู่เยียนหรานมองผู้ชายที่กำลังขับรถด้วยมือข้างเดียวอยู่ผ่านทางกระจกหลังด้วยความเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า แต่ที่พยักหน้าก็ไม่รู้ว่าพยักหน้าเพื่ออะไร
“ถึงแล้ว” จู่ๆ จิ๋นลี่ยวนก็พูดขึ้นมา พลางจอดรถด้วยความมั่นคง จิ๋นลี่ยวนก็เดินลงจากรถไปก่อน
คุณย่าจิ๋นตอนนี้ไม่ได้สนใจความรู้สึกของจิ๋นลี่ยวนเลย เพราะยังคงดีใจที่มู่เยียนหรานกลับมาอยู่ ก่อนจะดึงมู่เยียนหรานจากนั้นก็พูดว่า: “ไป คุณย่าออกหน้าแทนเอง”
มู่เยียนหรานเองไม่ได้มีความโหดร้ายอะไร ก่อนจะหันไปปรายตามองจิ๋นลี่ยวนที่มีแววตาจริงจัง ไม่เล่นด้วย
ยินเสี้ยวเสี้ยวสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?
ในตอนนี้นักเลงอย่างเฉินหยูกำลังนั่งหน้าสลอนอยู่ข้างหน้า ข้างหลังก็มีผู้ช่วยอยู่ และข้างหลังพวกเขาเป็นหมาจากสถานสงเคราะห์ที่มู่เยียนหรานเตรียมเอามาเป็นของขวัญให้คุณย่าจิ๋น มีเท็ดดี้ อะลาสกัน โกลเดน ทิเบตัน และยังมีสุนัขพันธุ์จีนอีกด้วย หลากหลายสายพันธุ์ เห็นได้ชัดว่ามันต้องมีใจรักพอสมควร
คุณย่า นั้นรักหมามากเมื่อเห็นหมาที่หิวโซ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสาร ความโกรธที่มีต่อเฉินหยูนั้น ไม่ต้องมีใครมายุแยงก็เผาไหม้เป็นจุณพอแล้ว