บทที่ 159 ความลับของกลางเดือนกันยายน
“จิ๋นลี่ยวน ฉันรู้ ฉันรู้ว่าคุณมี‘มืออันพรสวรรค์’คุณเป็นศัลยแพทย์ คุณเป็นศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลหนันหยู……”มู่ซูวราวกับเห็นฟางเส้นสุดท้ายของชีวิตตนอย่างไรอย่างนั้น เธอร้องไห้อยู่เงียบๆ แต่มองจิ๋นลี่ยวนอย่างดื้อรั้นพลางพูดวิงวอน “จิ๋นลี่ยวน ฉันรู้ว่าคุณต้องหาวิธีได้แน่ๆ คุณต้องหาวิธีได้ใช่ไหม?คุณต้องรักษาขาฉันให้หายได้แน่นอน!จิ๋นลี่ยวน ฉันเชื่อคุณ……”
เธอไม่อยาก เธอไม่อยากให้ชีวิตของเธอพังพินาศไปแบบนี้!
เธอสามารถรับความเจ็บปวดนับครั้งไม่ถ้วนจากการผ่าตัดได้ และสามารถอดทนต่อการฟื้นตัวที่ยากลำบากได้ และยังสามารถแบกรับสิ่งที่ต้องแลกทั้งหมดในภายหลังได้ แต่สิ่งเดียวที่รับไม่ได้ คือการที่เธอไม่อาจยืนได้อีกตลอดชีวิต ทำได้เพียงแหงนหน้ามองคนอื่น รับไม่ได้ที่จะยืนเต้นบนเวทีไม่ได้ไปตลอดชีวิต……
เธอเริ่มเต้นบัลเล่ต์ตั้งแต่อายุ3ขวบ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา20ปีแล้ว
บัลเล่ต์คือชีวิตของเธอ เป็นเหมือนดั่งลมหายใจของเธอ จะปล่อยให้โดนพรากไปง่ายๆได้ยังไง?
น้ำตาไหลพราก มู่ซูวพูดๆอยู่แล้วปิดหน้าตัวเองด้วยมือทั้งอันไร้เรี่ยวแรงสองข้าง พลางวิงวอนเสียงเบาๆ:“จิ๋นลี่ยวน ฉันขอร้องล่ะ ฉันขอร้อง ทำให้ฉันยืนได้นะ ฉันไม่อยากนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต ฉันไม่อยากเต้นบัลเล่ต์ไม่ได้อีก ฉันขอร้อง……”
เธอผิดไปแล้ว เธอผิดไปแล้วจริงๆ
ถ้าเธอรู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ เธอคงไม่ทำแบบนี้แน่นอน!
เพียงหาเรื่องมู่เยียนหรานคนเดียวไม่พอ เธอยังหาเรื่องจิ๋นลี่ยวนอีก!
“ขอร้องล่ะ ทำให้ฉันยืนได้เถอะนะ……”หลังจากนั้นมู่ซูวก็เอาแต่พูดประโยคนี้
ความฝันเดียวในชีวิตของเธอคือเป็นนักบัลเล่ต์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และลุกขึ้นจากรถเข็นได้ ……
ในห้องผู้ป่วยมีเพียงเสียงร้องไห้ของมู่ซูว ส่วนจิ๋นลี่ยวนที่โดนร้องขอ มีสีหน้าเย็นชาราวกับเรื่องทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับเขาอย่างไรอย่างนั้น เขาเพียงหันไปมองเครื่องวินิจฉัยโรคที่ติดอยู่กับมู่ซูว จากนั้นจดลงไปในประวัติอาการป่วยนิดหน่อยแล้วเดินออกไป ราวกับไม่เคยเข้ามาในนี้มาก่อน……
ส่วนมู่ซูวก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดสุดๆ
จิ๋นลี่ยวนเป็นคนเลือดเย็นที่สุดในโลกนี้!
เถียนหรงได้ยินเสียงร้องไห้ และเสียงวิงวอนด้านในของมู่ซูวก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของจิ๋นลี่ยวน ก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ตั้งแต่ที่เธอติดตามจิ๋นลี่ยวนมา เรื่องที่จิ๋นลี่ยวนตัดสินใจไปแล้วไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
ที่ไม่รับปากคงมีวิธีของเขาเองแน่นอน แต่บางครั้งเถียนหรงก็รู้สึกว่าจิ๋นลี่ยวนขาดความรู้สึกมากไปหน่อย โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ของทุกปี
……
ณ ห้องทำงานแผนกศัลยแพทย์ หลายๆคนดูยุ่งวุ่นวายกันมาก
คนที่งานยุ่งที่สุดในโรงพยาบาลก็คือศัลยแพทย์นี่แหละ มีงานผ่าตัดทุกวัน ต้องรับมือกับเรื่องกะทันหันทุกวัน แต่ที่พวกเขาวุ่นกันอยู่นั้นไม่ใช้ผู้ป่วย แต่กำลังวุ่นอยู่กับการรับช่วงต่อ ตั้งแต่เถียนหรงแยกจากจิ๋นลี่ยวนแล้วกลับมา ก็เห็นแพทย์คนอื่นกำลังรับช่วงต่อผู้ป่วยของจิ๋นลี่ยวนพอดี
“ถึงเวลาแล้วงั้นเหรอ?”ถามด้วยความประหลาดใจ เถียนหรงคำนวณเวลาอย่างละเอียด
ช่วงกลางเดือนกันยายนของทุกๆปี จิ๋นลี่ยวนต้องออกจากโรงพยาบาลไปช่วงหนึ่ง ไม่กลับเข้าโรงพยาบาลเป็นระยะเวลา7วันเต็มๆ นี่เป็นเรื่องที่จิ๋นลี่ยวนต้องทำทุกปี หลังจากเข้าทำงานในโรงพยาบาลหนันหยู ทุกคนชินกับมันแล้ว
แพทย์ที่สนิทพยักหน้าเบาๆพลางพูด:“ใช่ ถึงเวลาแล้ว เขาสามารถหยุดวันชาติล่วงหน้าได้แล้ว แต่พวกเรายังต้องสู้กันอยู่ที่นี่อย่างช่วยไม่ได้ หวังว่าเขาจะกลับมาเร็วๆ ”
“พวกคุณคิดว่า……”เถียนหรงถามอย่างระมัดระวังด้วยควมสงสัย “ในช่วงนี้ของทุกๆปีคุณหมอจิ๋นเขาไปทำอะไรงั้นเหรอ?”
ทั้งห้องเงียบสงัดขึ้นมาทันที ทุกคนผลัดกันมองหน้าไปมา ไม่มีใครรู้
กลางเดือนกันยายนเป็นความลับของจิ๋นลี่ยวน และเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้
ณ เมืองไห่เมียว
ยินเสี้ยวเสี้ยวเพิ่งอาบน้ำเสร็จเฉิงกังก็โทรเข้ามา เฉิงกังที่อยู่ในสายมีความเกรงใจเล็กน้อย
“คุณยิน คุณชายยินเมาแล้วครับ คุณมาช่วยหน่อยได้ไหม?”คำพูดของเฉิงกังแฝงไปด้วยความลำบากใจ ตั้งแต่ยินจื่อเจิ้นเข้ารับตำแหน่งก็มีการคบค้าสมาคมมากขึ้น แต่ยินจื่อเจิ้นไม่ใช่พวกคอแข็ง “พวกเขาหลอกให้คุณชายยินดื่ม……”
ขมวดคิ้วเป็นปม ยินเสี้ยวเสี้ยวรู้ว่าการสมาคมของยินจื่อเจิ้นในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสในวงการค้าที่ค่อนข้างสนิทของบ้านยิน ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าปฏิเสธไม่ดื่มคงไม่ได้ ทำได้เพียงดื่มอย่างฝืนใจ!
“อืม รอฉันแป๊บนึง เดี๋ยวฉันไป”ยินเสี้ยวเสี้ยวตอบตกลงเบาๆ แล้วไปเปลี่ยนชุด ทันใดนั้นก็ปวดท้องขึ้นมา มันค่อยๆปวดเป็นระยะๆแต่ยากที่จะทนได้ เธอจึงเดินไปกินยาแก้ปวด2-3เม็ด ก่อนออกไปเธอก็มองดูเวลา พลางคิดว่าซุปที่อยู่บนไฟค่อยๆต้มไปได้
……
ณ ทางเข้าโรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อยินเสี้ยวเสี้ยวมาถึง เฉิงกังก็เข้ามาต้อนรับอย่างเร็วราวกับเจอญาติพี่น้องพลางพูด:“คุณหนู คุณชายยินอยู่ที่ห้อง409ครับ มีคนของตระกูลหยางที่เพิ่งเซ็นสัญญาใหญ่กับ‘บริษัทจื่อยิน’อยู่ด้านในด้วย และยังมีคนของตระกูลหวงและตระกูลซ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีมาตลอดกับ‘บริษัทจื่อยิน’ด้วย ”
เฉิงกังพูดพลางเดินนำยินเสี้ยวเสี้ยวเข้าไปในห้อง การทานอาหารมื้อนี้ยืดเยื้อมา3ชั่วโมงแล้ว เหล้าถูกส่งเข้าไปด้านในอย่างนับไม่ถ้วน
“ทำไมไม่ปรามกันบ้าง?ข้างๆไม่มีคนรึไง?”ขมวดคิ้วเป็นปม ยินเสี้ยวเสี้ยวถามเสียงเบา ในคำพูดแฝงไปด้วยความไม่พอใจ“ต่อไปการประชุมแบบนี้ต้องมีคนดื่มเก่งอยู่กับตัวเขาด้วยสักคน เพื่อไม่ให้เขาต้องไปดื่มเอง”
เฉิงกังลูบจมูกพลางพยักหน้า เขาก็คิดเช่นนั้น แต่ยินจื่อเจิ้นไม่ต้องการ จะให้เขาทำยังไงล่ะ?
ผู้ชายก็ไม่มีคนที่เหมาะสม ผู้หญิงนี่ก็ยิ่งห้ามเข้าใกล้เลย เขาควรทำไงล่ะ?หรือให้หากะเทยมา?
พอเปิดประตู ยินเสี้ยวเสี้ยวก็เดินเข้าไปและยิ้มบางๆ คนที่อยู่ด้านในล้วนเป็นผู้อาวุโส แน่นอนว่าผู้น้อยที่มาขัดจังหวะต้องทักทายอย่างว่าง่าย “คุณลุงหยาง คุณลุงหวง คุณลุงซ่ง พวกคุณลุงยังกินกันไม่เสร็จอีกเหรอคะ?หนูจะเริ่มทำการบ้านอยู่แล้วเนี่ย”
ทุกคนในนี้อยู่กับยินเสี้ยวเสี้ยวมาตั้งแต่เด็ก และยังเห็นเธอแต่งเข้าบ้านจิ๋นอย่างกะทันหัน ตอนนี้จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะชักสีหน้าไม่พอใจใส่เธอ ทุกคนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม:“ฮ่าๆ เสี้ยวเสี้ยวขยันจริงๆ ดึกป่านี้แล้วยังจะทำการบ้านอีก?”
แต่การบ้านนี้ทำไมถึงมาทำถึงโรงแรมกันล่ะ?
ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ไม่ปกปิด เธอเดินตรงไปดึงแก้วเหล้าในมือของยินจื่อเจิ้นออก พลางพูด:“พี่ งานที่พี่ให้ฉันทำวันนี้ฉันไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่นิดเดียว?ถ้าพี่ยังไม่ฉันช่วย พรุ่งนี้ฉันต้องขายหน้าแน่……”
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนจึงรู้ว่าที่ยินเสี้ยวเสี้ยวมา ก็เพื่อมาเตือนว่าพวกเขาควรกลับกันได้แล้ว
เหล่าผู้อาวุโสไม่ถือสา เรื่องธุรกิจก็ทำได้บรรลุเป้าหมายแล้ว จึงทยอยกันลุกขึ้น พูดอะไรนิดหน่อยแล้วกลับกัน ยินเสี้ยวเสี้ยวมองพวกเขาอย่าง‘ประหลาดใจ’แล้วรีบสั่งให้เฉิงกังส่งแขก
ตั้งแต่เล็กจนโต เวลายินจื่อเจิ้นโดนรัดตัว ก็มียินเสี้ยวเสี้ยวนี่แหละที่ไปช่วยตลอด คนสนิทล้วนชินกันหมดแล้ว
ไม่นานนักในห้องก็เหลือเพียงสองคนพี่น้อง
ยินจื่อเจิ้นพิงพนักเก้าอี้หลับตาพักผ่อน ใบหน้าอันหล่อเหล้าแดงระเรื่อๆ ใบหน้าที่ปกติจะสุขุม ตอนนี้กลับดูอ่อนโยน ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก
นิ่งไปครู่หนึ่ง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็รีบหันมองออกไปนอกประตูอย่างไว
ยินจื่อเจิ้นลืมตาอย่างช้าๆ ก็เห็นยินเสี้ยวเสี้ยวยืนอยู่ข้างๆตน ที่กำลังดูว่าเฉิงกังกลับมาหรือยังอยู่เงียบๆ ไม่รู้เป็นเพราะแสงไฟละมุนเกินไป หรือเพราะตาเขาพร่ามัวเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าอันงดงามนั้นทำให้หัวใจของเขาอ่อนระทวยลง ทำให้ลมหายใจของเขาไม่เป็นจังหวะ
สายตาของเธอไม่เคยหยุดมองมาที่เขาเลย
ร่างกายนิ่งสนิท ยินจื่อเจิ้นหลับตาลงอีกครั้ง ท่าทางแบบนั้นมันดูเหมือนเขาเมาเอามากๆ
“พี่ ตื่นได้แล้ว รีบลุกขึ้น……”ยินเสี้ยวเสี้ยวเรียกอย่างไม่พอใจ ยินจื่อเจิ้นชอบดื่มจนเมาแล้วก็หลับไป นิสัยแบบนี้ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีกันแน่“พี่ พี่……ตื่นสิ……”
เธอเรียกอยู่นาน ยินจื่อเจิ้นก็ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย พอดูเวลาสุดท้ายยินเสี้ยวเสี้ยวก็ทำได้เพียงเอามือไปประคองเขาให้ลุกขึ้น กว่าจะพยุงยินจื่อเจิ้นที่เลอะเลือนให้ลุกขึ้นได้ เสียแรงไปไม่น้อยเลย รู้สึกได้ว่าน้ำหนักทั้งตัวของเขากดทับมาที่ร่างของตัวเอง ยินเสี้ยวเสี้ยวกัดริมฝีปากแน่นพลางคิดอยากพาเขาออกไป แค่ออกไปแล้วเจอเฉิงกังก็พอแล้ว……
แต่คนเมานั้นหนักเอามากๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวยังเดินได้ไม่ถึงสองก้าว เพิ่งจะถึงข้างโซฟาก็หมดแรงซะแล้ว เธอรีบโอบยินจื่อเจิ้นที่ไร้สติจนทำให้ล้มลงไปบนโซฟากันทั้งคู่
ถอนหายใจออกมา ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้ล้มแต่ถูกยินจื่อเจิ้นทับลงมา
ผู้ชายสูง180กว่าๆทับร่างเธออยู่ ถึงเธอมีแรงเยอะก็ยังรู้สึกลำบากอยู่บ้างแหละนะ ……
ยินจื่อเจิ้นที่สะลึมสะลือก็ลืมตา แล้วมองยินเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็ฟุบหลับนไหล่ของเธอต่อ……
“พี่!ตื่นสิ ฉันโดนพี่ทับจนหายใจไม่ออกแล้วเนี่ย……”ยินเสี้ยวเสี้ยวลองเรียกให้ยินจื่อเจิ้นตื่น แต่ล้วนเสียแรงเปล่า“พี่ ตื่นสิ……”
ยินจื่อเจิ้นจัดระเบียบร่างกายเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ยินเสี้ยวเสี้ยวรับน้ำหนักตัวทั้งหมดของตน สูดหายใจขึ้นลึกๆเพื่อสูดเอาอากาศที่มีกลิ่นเหมือนเธอให้ได้มากยิ่งขึ้น จริงๆแล้วยินเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้หรอก ว่าเขาชอบดื่มเหล้าที่สุดแล้ว ถึงแม้คอไม่แข็ง แต่เป็นเช่นนี้ยินเสี้ยวเสี้ยวก็จะได้มารับเขา ประคองเขา……
แบบนี้เขาถึงจะได้ใกล้ชิดกับเธอ
เมื่อเฉิงกังเขามาก็ตกใจกับภาพตรงหน้าไม่น้อย ตาเบิกกว้างทั้งสองข้าง
บอสของเขาหน้าเนื้อใจเสือขนาดนี้เลยเหรอ?
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วยินเสี้ยวเสี้ยวคงรู้ว่าเขาชอบเธอ?
“เฉิงกัง รีบมาช่วยฉันเร็ว……”พอยินเสี้ยวเสี้ยวเห็นเฉิงกังก็รีบพูดขึ้นทันที หน้าเธอซีดเล็กน้อย น่าเสียดายยินจื่อเจิ้นที่หลับตาอยู่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เขาช่วยยินเสี้ยวเสี้ยวพยุงยินจื่อเจิ้นเข้าไปในรถ ทั้งคู่เหงื่อออกเยอะเลยทีเดียว
ยินเสี้ยวเสี้ยวหายใจอย่างแรงพลางยันตัวรถเอาไว้ สีหน้ายังดูไม่ค่อยดีเช่นเคย แต่ก็หันไปพูดกับเฉิงกัง:“นายไปส่งเขาเถอะ แล้วให้คนรับใช้ที่บ้านทำน้ำผึ้งให้เขาสักแก้ว ไม่งั้นพรุ่งนี้จะปวดหัวเอาได้”
เฉิงกังพยักหน้า พอเรียกรถให้ยินเสี้ยวเสี้ยวเสร็จ เขาก็ขับรถออกไป
……
ยินเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่บนรถแท็กซี่คลำไปที่ท้องของตน พอยาแก้ปวดหมดฤทธิ์เธอก็ปวดท้องขึ้นมาอีก จนรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย
คนขับรถเห็นยินเสี้ยวเสี้ยวผ่านกระจกมองหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะถาม:“คุณครับ เป็นอะไรรึเปล่า?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวกัดริมฝีปากตัวเองแน่น และพูดออกไปสั้นๆ:“รบกวน ไปส่งฉันที่โรงพยาบาลหนันหยูหน่อย”