บทที่ 226 การรอคอยในยามวิกาล
ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเป็นพี่ชายของยินเสี้ยวเสี้ยว หรือจะเป็นผู้ชายที่ชอบเธออย่างบริสุทธิ์ใจก็ตามที ยินจื่อเจิ้นต่างหวังว่ายินเสี้ยวเสี้ยวสามารถยืนด้วยขาตนเองได้ ก่อนหน้านี้ยินเสี้ยวเสี้ยวมัวแต่อาศัยจิ๋นลี่ยวนเกินไปถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้
การใช้ความสามารถที่แท้จริงเพื่อพิสูจน์ตนเองให้คนที่เคยทำร้ายตนเองได้เห็น นี่ถือว่าเป็นความโอ้อวดและยังเป็นความหนักแน่นอย่างหนึ่ง
คำพูดของยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ว่าจะมองมาจากมุมไหนต่างถูกต้องทุกอย่าง
เขาไม่อาจจะปกป้องเธอไปทั้งชีวิต สักวันหนึ่งยินเสี้ยวเสี้ยวก็ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวต่างๆมากมายด้วยตัวของตัวเอง
เฉิงกังเห็นยินจื่อเจิ้นเคร่งขรึมและลังเลอยู่นาน จากนั้นก็ได้รับสัญญาณจากยินเสี้ยวเสี้ยวจนอดไม่ได้ที่ต้องพูดออกมาประโยคหนึ่ง “ความจริงแล้ว ฉันรู้สึกว่าคำแนะนำนี้ก็ไม่เลวเลย เสี้ยวเสี้ยวมีความสามารถที่จะชนะตามจริง ก็แค่รอว่าคุณยอมหรือไม่ยอมเท่านั้นเอง ตกลงว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยที่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงมัวแต่ช่วยเหลือสามีพร้อมทั้งอยู่ดูแลลูกที่บ้านไม่ใช่เหรอ…”
ยินจื่อเจิ้นเคร่งขรึมอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไร ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ได้แต่ถลึงตาโตจ้องมองเขาจนเห็นตาขาวทั้งสองข้าง
เธอมั่นใจว่า ยินจื่อเจิ้นต้องมีคำตอบให้เธอแน่นอน!
เพราะว่า คนที่หวังว่าให้เธอได้โตขึ้นนั้นไม่ใช่แค่ตัวเธอเอง ยังมียินจื่อเจิ้นอยู่อีกคน!
มนุษย์เรา หลายครั้งนักขอแค่สามารถดูแลตนเองให้ดีถึงจะมีสิทธิ์ไปอยากได้สิ่งของต่างๆ อีกมากมาย
ผ่านไปเนิ่นนาน ยินจื่อเจิ้นพยักหน้าให้แบบไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่ ทว่าได้แต่กำชับยินเสี้ยวเสี้ยวอีกครั้ง ถ้าถูกคนข้างนอกทำร้ายมาต้องรีบหยุดเรื่องนี้ทันที!
เขาเองก็ไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บ! ครั้งที่แล้วที่เรื่องที่เกิดขึ้นในหนานเยวี่ยนจะไม่มีวันให้เกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นมาอีกเด็ดขาด!
ยินเสี้ยวเสี้ยวพยักหน้าให้ พร้อมทั้งพยักหน้าอย่างเชื่อมันเต็มเปี่ยม
ศึกครั้งนี้ถือว่าเป็นศึกครั้งแรกของยินเสี้ยวเสี้ยว เพื่อลูกของเธอเอง และก็เพื่อตนเองเช่นกัน!
……
หลังจากที่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวกำลังกลับไปถึงที่หนานเยวี่ยนของชู่ถีหย้วนเวลาก็ปาไปหนึ่งทุ่มแล้ว เพิ่งจะเดินถึงใต้ตึกพลันเห็นผู้จัดการหวงแถมด้านหลังยังมีพนักงาน ‘ร้านอาหารเทาถี้’ รออยู่ที่นี่ด้วย
“คุณยิน” เสียงเรียกด้วยความเคารพ ผู้จัดการหวงยิ้มให้พร้อมทั้งมองพนักงานที่ยืนอยู่ด้านหลังและพูดว่า “นี่คืออาหารเย็นของคุณวันนี้ครับ อีกเรื่องหนึ่งถ้าตอนกลางคืนคุณต้องการสิ่งใดสามารถติดต่อไปที่ ‘ร้านอาหารเทาถี้’ ได้โดยตรง พวกเรายินดีให้บริการคุณครับ”
หลังจากพูดขอบคุณแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวก็เอาอาหารพวกเดลิเวอรี่เดินขึ้นตึก ส่วนผู้จัดการหวงนั้นก็หันหลังเดินกลับไป
“โต้วโต้ว” พอเดินเข้าห้องเจ้าโต้วโต้วตัวเล็กก็เดินออกมารับหน้า หางกระดิกไม่ยอมหยุด
สีหน้าของยินเสี้ยวเสี้ยวถึงได้มีรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็เอาอาหารเย็นวางไว้บนโต๊ะพลันยื่นมือออกไปอุ้มเจ้าโต้วโต้วขึ้น
“หิวยังเอ่ย? เดี๋ยวหม่ามี๊จะไปทำอาหารมาให้กิน” พูดไป ยินเสี้ยวเสี้ยวก็อุ้มเจ้าโต้วโต้วเดินเข้าห้องครัวไปด้วย
เพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จ เฉินหยูก็มา ในมือยังหอบเอาหนังสือเป็นกองมาด้วยกองหนึ่ง
หลังจากพลิกดูไปเรื่อยๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวอีกนิดก็จะหัวเราะจนปากฉีกไปถึงรูหูอยู่แล้ว
เฉินหยูหอบหนังสือนิตยสารการตั้งครรภ์กองโตของเธอออกมาด้วย ตั้งแต่ตั้งท้องใหม่ๆ จนถึงเรื่องหลังคลอด 2 เดือนมีพร้อมเสร็จสรรพ!
“พี่สาว ตอนนี้พี่ต้องระมัดระวังสุขภาพไว้ให้มาก ตอนที่พี่ไม่มีอะไรทำก็เอาหนังสือพวกนี้ขึ้นมาดู” เฉินหยูพูดไปก็ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งมองสำรวจห้องของยินเสี้ยวเสี้ยวด้วย ที่กลัวก็คือในห้องของเธอมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนท้องไม่สะดวกหรือเปล่า “รอจนตอนที่พี่คลอดลูกแล้วถึงค่อยเบาใจได้ไปเปลาะหนึ่ง อารมณ์ก็สามารถผ่อนคลายลงไปหน่อย ส่วนเจ้าโต้วโต้วนั้นฉันจะมาช่วยให้อาหารแทนพี่เอง คนท้องคนไส้อย่างพี่อย่าได้เข้าไปใกล้สัตว์มากนัก มันไม่ดีกับเด็ก….”
ฟังเฉินหยูที่ปากพูดพร่ำไม่หยุด ยินเสี้ยวเสี้ยวถึงตกใจจริง จนอดปากถามไม่ได้ “เฉินหยู ถ้าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นผู้ชายเต็มตัวทั้งแท่ง ฉันยังคิดว่าแกเคยคลอดลูกมาก่อนเลยแล้วนะเนี่ย? ตอนนี้ฉันเพิ่งท้องได้แค่เจ็ดสัปดาห์เอง คงไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นมั้ย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ร้ายแรงอะไรระดับโลก”
เฉินหยูไม่ได้รู้สึกโมโหอะไร ได้แต่ยิ้มให้แล้วมองยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างเก้อเขินที่วันนี้ท้องน้อยยังคงราบเรียบอยู่เช่นเดิม
เขาจะไม่ร้อนใจได้ยังไง หลังจากรับรู้เรื่องที่ยินเสี้ยวเสี้ยวต้องการคลอดลูกของตนเองนั้น เขาก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว ความตื่นเต้นนั้นมาพร้อมกับการดีใจและความสงสาร เพราะนั่นคือหลานของเขานี่! เขาจะเป็นน้าแล้วเนี่ย! เขาจะไม่ดีใจได้ไหมล่ะ?
เมื่อมองยินเสี้ยวเสี้ยวอยู่แวบหนึ่ง เฉินหยูได้แต่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนในใจนั้นดีใจอย่างเปี่ยมล้น
นัยน์ตาดำขาวที่กำลังจ้องมองเฉินหยูกลับกะพริบตาเป็นประกายอย่างมีความหมาย
เด็กในท้องของเธอ มีหลายคนที่คาดหวังรอคอยใจจดใจจ่ออย่างจริงใจด้วยเหรอ?
เกรงว่าจะมีแค่เฉินหยูคนเดียวล่ะมั้ง….
บ้านจิ๋นก็ทำเพื่อลูกหลาน ส่วนจิ๋นลี่ยวนก็ทำเพราะการเป็นพ่อคน…
มุมปากเริ่มกระตุกยิ้มด้วยการเยาะเย้ยเล็กน้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดคุยกับเฉินหยูไปอีกหลายประโยคจากนั้นเฉินหยูก็กลับไป รอจนเวลาที่เฉินหยูกลับไปแล้วยินเสี้ยวเสี้ยวก็กลับไปอาบน้ำในห้องนอน เหมือนว่าในห้องนอนบรรยากาศอึดอัดอยู่บ้างเลยอยากจะเปิดหน้าต่างระบายอากาศให้ปลอดโปร่ง แต่เธอกลับมองเห็นรถแลนด์โรเวอร์ เรนจ์โรเวอร์ วีล่าคุ้นตาอยู่ใต้ตึกด้านล่างอย่างไม่ได้ตั้งใจ…
แลนด์โรเวอร์ เรนจ์โรเวอร์ วีล่าที่เปิดประทุนอยู่ ชายหนุ่มนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถ นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบบุหรี่เอาไว้และมีแสงสว่างวูบวาบอยู่ท่ามกลางความมืด ส่วนนัยน์ตาฟีนิกซ์อันชวนหลงใหลนั้นเอาแต่จับจ้องมองขึ้นมายังด้านบนตึกตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้….
จิ๋นลี่ยวน
ยินเสี้ยวเสี้ยวสูดลมหายใจเข้าพร้อมทั้งผงะไปเล็กน้อย จนหยุดการเคลื่อนไหวไปสองวินาที จากนั้นก็ดึงผ้าม่านกลับเข้าที่พร้อมทั้งเดินหันหลังกลับมานอนที่ห้องตามปกติ
เขาชอบกับการที่ได้นั่งเฝ้าก็นั่งเฝ้าไปสิ เพราะยังไงเธอก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียหายอยู่แล้ว
มือเล็กๆ ค่อยประคองท้องน้อยของตนเองอย่างแผ่วเบา ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดเอ่ยอะไรอย่างแผ่วเบาพร้อมทั้งค่อยๆ ดำดิ่งไปกับความฝันอันแสนหอมหวาน
ส่วนผู้ชายที่อยู่ด้านล่างนั้นก็เฝ้าอยู่จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเวลาตีสี่ถึงได้ขับรถออกไป…
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ คนที่อยู่หนานเยวี่ยนต่างก็รู้ดี ว่าห้องชั้น 17 มีอดีตหลานสะใภ้ของบ้านจิ๋นพักอาศัยอยู่ ส่วนคุณชายสามของบ้านจิ๋นนั้นมาคอยเฝ้าในตอนกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง พอเวลามาเฝ้าก็จะเฝ้าจนถึงเช้าวันรุ่งคืนฟ้าสว่างนั่นแหละแล้วค่อยกลับไป เมื่อก่อนนี้ที่มีข่าวลือกันอย่างหนาหูอยู่ข้างนอกว่าโอ้อวดหยิ่งจองหองมาก แต่สำหรับคนหนานเยวี่ยนเมื่อได้ยินเข้าหูมาแล้วมันกลายเป็นเรื่องตลกทั้งเพ
คนที่พักอาศัยอยู่ในที่นี้ก็ไม่ใช่ว่ามีฐานะต่ำต้อยอะไร ย่อมสามารถเห็นเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนขึ้นมาบ้าง
เฉินหยูเดินออกมาจากหนานเยวี่ยนตามลำพังเพื่อเดินกลับบ้าน อาการบาดเจ็บบนขานั้นหายเป็นปกติแล้ว ชายหนุ่มกลับมาหล่อดั่งเดิมพร้อมทั้งความดื้อรั้นฟื้นคืนกลับมาด้วย ทว่าในเวลานี้หัวคิ้วของเขาผูกปมเข้าหากันอย่างเอาแน่นหนา อากัปกิริยาของเขาเช่นนี้ไม่เคยปรากฏให้ยินเสี้ยวเสี้ยวเห็นต่อหน้าเลยสักครั้ง
โทรศัพท์ที่อยู่ในมือนั้นเขาหยิบมามองตลอดเวลา ทว่าก็ไม่มีโทรศัพท์หรือข้อความเข้ามาเลย
ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว การติดต่อสื่อสารของซูเหนียงก็เปลี่ยนไปตั้งหลายครั้ง แต่เขาก็ยังสามารถติดต่อกับเธอได้ ทว่าตอนนี้ทำยังไงก็ไม่สามารถติดต่อได้เลยได้แต่รอให้เธอเป็นคนโทรกลับมาให้ได้อย่างเดียว
ข่าวคราวที่ยินเสี้ยวเสี้ยวเอาเด็กคนนี้ไว้ เขายังไม่ได้แจ้งข่าวนี้ให้เธอฟังเลย
ดวงตาก็คอยเฝ้ามองพร้อมทั้งเดินเข้าซอยเล็กๆ เฉินหยูถอนหายใจเบาๆ จนใกล้จะเอาโทรศัพท์ใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าดังเดิมทว่าด้านหน้ากลับมีคนปรากฏให้เห็นอย่างกะทันหันจนทำให้เขาตกใจทันที โทรศัพท์พลันหล่นลงพื้น โทรศัพท์เครื่องเก่ามากหล่นกระแทกจนแบตเตอรี่มันกระเด็นออกมาทันที
สายตาเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาเล็กน้อยในทันที ร่างกายของเฉินหยูเริ่มแสดงอาการโมโหบ้างตอนที่มองมายังผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้า
“นั่นมันคือสายตาที่กำลังสื่อความหมายอะไรกันแน่? เฉินหยู ในสายตาของแกนั้นยังมีฉันเป็นพี่สาวอยู่ไหม!” เฉิงฉิงทำตาตาโตใส่พร้อมทั้งตะคอกกลับ นัยน์ตาแสดงความไม่พอใจออกมา “ก็อีแค่โทรศัพท์โหลยโท่ยมันมีอะไรที่น่าหวงแหนกัน? ช่างเป็นคนตาต่ำเสียจริง!”
เฉินหยูก้มตัวลงพร้อมทั้งเก็บโทรศัพท์ขึ้นมาและยังประกอบร่างให้กลับมาสำเร็จดังเดิมอย่างรวดเร็ว ใครจะไปรู้ว่าซูเหนียงจะโทรกลับมาตอนไหน?
เรื่องของพี่สาวยังต้องบอกเธอเอาไว้ก่อนถึงจะได้ ไม่แน่การขโมยเด็กนั้นอาจจะต้องให้ซูเหนียงเข้ามาช่วยเหลือ…
“เฉินหยู!” เห็นว่าเฉินหยูไม่ได้สนใจตนเองเลย จนเฉิงฉิงยิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งเอื้อมมือออกไปผลักเขา
ใครจะรู้ว่า เฉินหยูนั้นได้รู้ถึงพฤติกรรมของเธอ หลังจากตรวจสอบโทรศัพท์ของตนเองพร้อมทั้งพูดอย่างเย็นชาใส่ “พี่คงนึกว่าเอาอำนาจบาตรใหญ่ของคำว่า ‘พี่สาว’ มาเบ่งก็เลยสามารถรังแกฉันได้ใช่ไหม? ถ้ามือของพี่เขยิบขึ้นมาข้างหน้าอีกนิด พี่เชื่อไหมว่าคนที่จะล้มลงไปก็คือพี่นั่นแหละ?”
แค่ประโยคเดียว เฉิงฉิงรีบเก็บมือของตนเองทันที สายตาพลันมองไปที่บาดแผลบนขาของเขา
ไม่คิดเลยว่า จะหายไวขนาดนี้ มันช่างโชคร้ายจริงๆ!
“ครั้งที่แล้วฉันให้แกโทรศัพท์หาแม่แล้วทำไมแกถึงไม่โทรหาล่ะ แกรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันไม่มีเงินจะใช้แล้วเนี่ย ฉันเพิ่งจะไปจองกระเป๋ารุ่นหนึ่งที่ในห้างมา ทว่าถึงเวลานี้แกก็ไม่ยอมโทรศัพท์หาเธอ เพราะในมือฉันไม่มีเงินใช้แล้ว แกรู้ไหมว่าคนรอบข้างของฉันมองฉันยังไงบ้างไหม?” เฉิงฉิงพูดอย่างเกรี้ยวกราด น้ำเสียงยิ่งดังขึ้นไปใหญ่ ด้านหน้าและด้านหลังซอยต่างมีเสียงเซ็งแซ่ไปทั้งซอย เลยไม่มีคนสนใจกับตรงนี้ “วันทั้งวันแกก็มัวแต่อยู่กับยินเสี้ยวเสี้ยวอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้เรื่อง คนนอกคนนั้นสามารถมาแทนที่ตำแหน่งพี่สาวแทนฉันได้เหรอ? เฉินหยูแกยังคงมีจิตสำนึกอยู่บ้างไหมเนี่ย?”
เฉินหยูไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากที่มั่นใจว่าโทรศัพท์ของตนเองนั้นไม่เป็นอะไรแล้วถึงเงยหน้ามองผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้า
ตั้งแต่เล็ก เขาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ใช่พี่สาวของตนเอง เรื่องนี้ ซูเหนียงไม่เคยปิดยังเขามาก่อนเลย
เรื่องบางเรื่องในตอนเด็กนั้นเขามิอาจลืมเลือนดังนั้นถึงได้ยอมอ่อนข้อให้กับเฉิงฉิง ไม่งั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็คงไม่เป็นแบบนี้ หรือว่าก็คงเละกันไปข้างตั้งแต่แรกแล้ว
“ทางแม่ก็ไม่ได้ติดต่อฉันมาเลย ฉันไม่มีทางติดต่อแม่ได้เลย” เฉินหยูอธิบายเสียงเบา พร้อมทั้งพิงหลังกับกำแพงอันเปียกชุ่ม ทั้งๆ ที่ไม่ได้มองมาทางเฉิงฉิงเลยสักครั้ง “รอให้แม่ติดต่อฉันแล้ว ฉันจะบอกกับเธอทันที”
“ชิ บอกเธอเหรอ? ฉันว่าในสายตาแกตอนนี้ไม่มีพี่สาวอย่างฉันอยู่ในสายตาเลยมั้ง!” เฉิงฉิงยิ้มอย่างดูถูกพร้อมทั้งพูดออกไป พร้อมทั้งมองเฉินหยูด้วยสายตาดูถูกดูแคลนอย่างไม่พอใจ “ในสายตาแก เกรงว่าคงจะมีแต่ยินเสี้ยวเสี้ยวล่ะมั้งที่เป็นพี่สาวของแก แล้วฉันล่ะเป็นใคร ก็แค่คนนอกว่างั้นสิ ขนาดให้แกโทรศัพท์ให้ยังยากลำบากขนาดนั้น แต่พอมาเป็นยินเสี้ยวเสี้ยวแล้ว คนอื่นเขาไม่ได้มาหาแกแต่แกดันเสนอหน้าวิ่งเข้าหาอย่างขยันขันแข็งขนาดนั้นนี่?”
เฉินหยูไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด ปล่อยให้เธอพูดพร่ำไปเรื่อย อีกอย่างมีบางสิ่งที่เฉิงฉิงไม่รู้แต่เขารู้ การคาดเดาของเธอนั้นล้วนเป็นความจริงทุกอย่าง
ยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นพี่สาวของเขา พี่สาวที่ถูกอุ้มพรากไปตั้งแต่เขายังเด็กๆ ส่วนเฉิงฉิงนั้นก็แค่เด็กที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางแล้วซูเหนียงไปเก็บมาเลี้ยงเท่านั้นเอง
เฉิงฉิงด่าจนพอใจแล้วถึงยอมหันหลังแล้วเดินจากไป พร้อมทั้งสั่งกำชับไว้ตลอดว่าให้เฉินหยูรีบติดต่อกับซูเหนียงทันที
จนเฉิงฉิงไปแล้ว เฉินหยูถึงได้รู้สึกว่าแก้วหูของตนเองนั้นเบาสบายลงไปตั้งเยอะ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้า พระจันทร์อันหนาวเหน็บในค่ำคืนฤดูเหมันต์ประดับในท้องนภาจนเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ยังดีที่ว่า ตอนแรกซูเหนียงนั้นได้ให้คนอื่นอุ้มยินเสี้ยวเสี้ยวไป
ไม่งั้น เธอก็คงเดินอยู่ในซอยที่วุ่นวายอยู่ในซอยเล็กๆ นี่ จนต้องถูกคนอื่นพูดจากระแนะกระแหนถากถางเยาะเย้ยอย่างทุกข์ทรมาน?
พี่สาวของเขา ควรจะไปใช้ชีวิตดั่งเจ้าหญิง ดั่งครั้งแรกที่เขาได้ไปเจอกับเธอนั้นเธอช่างเปล่งประกายสะดุดตา
รอจนวันที่เด็กในท้องของพี่สาวคลอดออกมาแล้ว เขากับพี่สาวก็จะไปจากที่นี่ จากนั้นก็จะใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยกันอยู่กันสองคนพี่น้องและเป็นการใช้ชีวิตที่ไม่เลวเลย แต่ว่าอันดับแรกตนเองก็ไม่ควรเป็นภาระให้พี่สาวเรื่องตนเองเอาไว้ใช่ไหม?
และรู้ว่ายินเสี้ยวเสี้ยวนั้นเงินขาดมือ เรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินเรื่องนั้นย่อมไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ อีกอย่างถึงเวลานั้นรอจนที่เขาสามารถต่อกรกับบ้านจิ๋นได้แล้ว เขาก็คงต้องคิดหาวิธีเตรียมการไว้เนิ่นๆ ก่อน…
ก็แค่ เขายังไม่รู้จริงว่า งานอะไรที่เงินมาได้อย่างรวดเร็วและสามารถติดต่อกับคนหลายคนได้…
แต่ในเวลาหลายครั้ง โอกาสก็เกิดขึ้นในเวลานั้นเอง
สิ่งที่เฉินหยูไม่รู้นั่นก็คือ โอกาสที่เข้ามานั้นได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งชีวิต!