บทที่ 230 จิ๋นลี่ยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส
จิ๋นลี่ยวนไม่รู้ว่าควรจะอธิบายถึงความโกรธและความกังวลตอนที่ตนเองเห็นยินเสี้ยวเสี้ยวไม่สามารถหลบหลีกการจู่โจมได้สักครั้งนั้นได้อย่างไร ท่ามกลางฝูงชนอยู่ในความอลหม่านกลลาหล ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะว่า ‘โจร’ นั่นไม่ใช่โจรธรรมดาๆ ตั้งแต่แรก เขาเป็นผู้ป่วยทางจิตเวชคนหนึ่ง และตัวบทกฎหมายของประเทศของเราได้กำหนดเอาไว้แล้ว ผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชจะได้รับการยกเว้นโทษทางคดีอาญา
พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ก็คือถ้าเขาฆ่าคนแล้วไม่ต้องชดใช้อะไรเลย
ยินเสี้ยวเสี้ยวเดินอยู่ที่ท้ายถนนไม่รู้เหตุการณ์เบื้องหน้า แต่คนข้างหน้ากลับรู้ว่าเขาเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช การเผชิญหน้ากับคนแบบนี้ต่อให้มีวีรบุรุษก็ไม่สามารถลงมือได้ตามใจ คนอื่นลงมือกับเขาไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเขาลงมือกับคนอื่นต้องรับผิดชอบ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้แล้วจะสู้แบบธรรมดาไปแบบนั้นได้อย่างไร?
จิ๋นลี่ยวนเป็นหมอ เพียงมองครั้งเดียวก็รู้ได้ว่าผู้ป่วยจิตเวชคนนั้นถูกคนกระตุ้นมา กลุ่มฝูงชนวิ่งกันอย่างพลุกพล่านไปทั่ว เพื่อขัดขวางการก้าวเดินไปข้างหน้าของเขา ส่งผลให้จนถึงเมื่อครู่เขาถึงเพิ่งจะมาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของยินเสี้ยวเสี้ยว
“เสี้ยวเสี้ยว คุณเป็นยังไงบ้าง เป็นอะไรหรือเปล่า? ตกใจอยู่ใช่ไหม?” เสียงเบาค่อยปลอบโยนเธออยู่ ทว่าในเวลานี้จิ๋นลี่ยวนไม่สนแม้กระทั่งอาการบาดเจ็บของตนเอง เพียงแต่มองเธออย่างเป็นห่วงอยู่อย่างนั้น
ยินเสี้ยวเสี้ยวอยากจะส่ายหัวปฏิเสธพลันแต่เห็นบาดแผลบนแขนของเขา มือเล็กรีบคว้าจับทันที พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างเคร่งเครียดว่า “จิ๋นลี่ยวน มือของคุณ มือของคุณยังเลือดไหลอยู่เลย พวกเราไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย…”
ในน้ำเสียงนั้นมีอยู่หลายครั้ง มีทั้งความสับสนกระวนกระวายใจ ทว่าเมื่อมองมายังนัยน์ตาของจิ๋นลี่ยวนแล้วมีแต่ความรู้สึกดีใจจนอดไม่ไหว
ในที่สุดเธอก็ไม่เรียกเขาว่า ‘จิ่งซานช่าว’ แล้ว ในที่สุดก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่า ‘จิ๋นลี่ยวน’ สักที
เก๋อเฉิงเฟยมองแขนของจิ๋นลี่ยวนอยู่แวบหนึ่ง แม้ว่าบาดแผลจะลึกแต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร จิ๋นลี่ยวนไม่ใช่คนที่ว่าจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนแล้วจะไม่รู้สภาพของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นกังวล ได้แต่มองมาทางยินเสี้ยวเสี้ยว เก๋อเฉิงเฟยหันไปสบตาอย่างเห็นใจ
การได้พบกับจิ๋นลี่ยวน ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของยินเสี้ยวเสี้ยวกันแน่
ผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่เมื่อครู่ยังมีแรงยกขาข้างหนึ่งเตะคนคนนั้นกระเด็นออกไปโดยที่พวกเขาสองคนไม่เป็นอะไรเลย ทว่าจิ๋นลี่ยวนดันเลือกแผนการอันแสนขมขื่นเจ็บปวดแทน เพื่อให้เธอคอยเป็นห่วงเป็นใยเขา…
ยินเสี้ยวเสี้ยว คิดอยากจะหนีไปจากฝ่ามือปีศาจของจิ๋นลี่ยวน เหมือนจะยากเป็นพิเศษ…
หมาป่าที่ใจดำแถมความคิดความอ่านยากแก่การคาดเดาตัวหนึ่ง กับเจ้ากระต่ายที่มีชีวิตอย่างเรียบง่ายตัวหนึ่ง ใครจะชนะใครจะแพ้?
……
โรงพยาบาลหนันหยู
หลังจากจิ๋นลี่ยวนกลับไปแล้วแต่ก็กลับมาอีกครั้ง คนในโรงพยาบาลค่อนข้างแปลกใจ โดยเฉพาะก่อนหน้าที่เขาออกจากโรงพยาบาลไปก็ยังดีๆ อยู่ แต่ตอนกลับมานั้นสีหน้าซีดเผือดกลับมาด้วย สีสันสะดุดตาบนแขนนั้นยิ่งเป็นคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ต่างก็คุ้นเคยกับความสวยสดของมันดี
จิ๋นลี่ยวนได้รับบาดเจ็บแล้ว
เพียงครู่เดียว ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วโรงพยาบาลหนันหยู รวมถึงเรื่องที่จิ๋นลี่ยวนพายินเสี้ยวเสี้ยวกลับมาโรงพยาบาลด้วย
กลับถึงห้องศัลยกรรม เป็นครั้งแรกที่จิ๋นลี่ยวนมารออยู่ที่นั่นในฐานะผู้ป่วย พี่หลิงรีบให้คนไปตามหมอมา เถียนหรงที่ได้รับข่าวก่อนใครจึงรีบมาทันที หัวคิ้วขมวดเอาไว้แน่น
มือของศัลยแพทย์มีค่ามากกว่าอะไรทั้งนั้น แม้จะได้รับบาดเจ็บที่แขนก็ตามที แต่ใครจะรู้ว่าจะกระทบถึงเส้นประสาทที่มือหรือเปล่า?
“ทำไมคุณถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ? ให้ผมดูหน่อยเร็ว” เถียนหรงตกใจมาก เพราะว่าจิ๋นลี่ยวนถึงจะเป็นอาจารย์ของเขา อีกอย่างตอนที่อยู่โรงพยาบาลจิ๋นลี่ยวนก็ดีกับเขามาตลอด “ทำไมถึงเสียเลือดมากขนาดนั้นล่ะ?”
“เสี้ยวเสี้ยว คุณนั่งรอผมอยู่ตรงนี้ อย่าดูเลย” จู่ๆ จิ๋นลี่ยวนก็อ้าปากพูด แถมพูดตัดบทการบ่นและความเป็นกังวลของเถียนหรงไปซะได้ ในน้ำเสียงมีร่องรอยที่ไม่อาจขัดขืน “คุณท้องอยู่นะไม่เหมาะให้คนอย่างคุณจะเห็นภาพแบบนี้ เชื่อฟังนะ”
ยินเสี้ยวเสี้ยวขมวดคิ้วแน่น และไม่ค่อยเต็มใจที่จะผละออกไปสักเท่าไหร่ ดวงตาสีดำตัดขาวชัดเจนจ้องมองบาดแผลของเขาอยู่ตลอด จนต้องพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างอดใจไม่ได้ “เถียนหรงคุณห้ามเลือดให้เขาก่อนนะ ทำไมเลือดไหลออกมาตลอดอย่างนั้นล่ะ? ตกลงคุณเป็นหมอจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวบ่นเสียงพึมพำ พลันรู้สึกไม่มีความสุขเท่าไหร่นักแต่ก็เป็นแค่การบ่นอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้คิดจะต่อว่าเถียนหรงจริงๆ
เถียนหรงเองก็อยากลงมือ แต่จิ๋นลี่ยวนเพิ่งจะตัดบทคำพูดของเขาไม่พอ ยังหันมามองเขาด้วยสายตาเหี้ยมโหดอีก การอยู่ข้างกายจิ๋นลี่ยวนมานานขนาดนี้ เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่านั่นหมายความว่าอะไร?
จิ๋นลี่ยวน สั่งให้เขาหุบปาก
ไม่รู้ว่าตัวเองพูดประโยคไหนผิดไป เถียนหรงได้แต่หุบปากอย่างเชื่อฟัง ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แม้แต่คำถามของยินเสี้ยวเสี้ยวเองก็ไม่ยอมตอบ
นัยน์ตานกฟีนิกซ์จ้องมองยินเสี้ยวเสี้ยว เธอไม่ได้ยิ้ม ใบหน้าเล็กๆ อันสวยสดงดงามเต็มไปด้วยสีหน้าของความวิตกกังวล แต่ในสายตาของเขากลับรู้สึกว่าทั้งโลกนี้พลันดูสวยงามขึ้นมาทันตา ขอแค่ในสายตาเธอมีเพียงเขาเท่านั้น เธอยังเป็นห่วงเขาอยู่ เขาก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น…
“เชื่อฟังนะ ลูกไม่มีทางชอบเห็นภาพแบบนี้หรอก คุณเชื่อผมแล้วไปรอผมด้านข้างนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” จิ๋นลี่ยวนยื่นมือออกไปโอบเอวของยินเสี้ยวเสี้ยวเอาไว้ พลันจุมพิตเพื่อเป็นการปลอบใจตรงบริเวณหน้าผากของเธออย่างเสน่หา ยินเสี้ยวเสี้ยวถึงได้ยอมหลบไปอย่างไม่เต็มใจนัก
พริบตาเดียว จิ๋นลี่ยวนมองเถียนหรงที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองแล้วยังไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป เก๋อเฉิงเฟยที่อยู่อีกด้านเหงื่อแตกแทนเขา เถียนหรงคนนี้ช่างโง่จริงๆเลย …
ศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงในเมือง T อย่างจิ๋นลี่ยวน จะไม่รู้ได้ยังไงว่าหลังได้รับบาดเจ็บจะต้องรีบห้ามเลือดให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ไม่ใช่ว่าเขาคนเดียวจะทำไม่ได้ ต่อให้ทำไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีเก๋อเฉิงเฟยอยู่ไม่ใช่ว่าหรอกเหรอ? แต่การที่เขาเอาแต่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา ปล่อยให้เลือดไหลออกจากแขนตลอดทางจนมาถึงโรงพยาบาลหนันหยูนั้น ก็ไม่ใช่เพื่อให้ยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นห่วงเขา ให้หัวใจของเธอมาคอยกังวลอยู่บนตัวเขาอีกครั้งหรือไง?
ทุกๆ เรื่อง ทุกการกระทำของจิ๋นลี่ยวน กระทั่งทุกประโยคที่พูดล้วนเป็นความตั้งใจของเขา
ทุกอย่างล้วนได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่านั้นถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์ในทางที่ดีที่สุด รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
เก๋อเฉิงเฟยยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ พร้อมทั้งจ้องมองยินเสี้ยวเสี้ยว เธอเป็นห่วงเขามากจริงๆ และก็โกรธมาก แต่ความโกรธนั้นไม่ได้พุ่งไปที่จิ๋นลี่ยวน แต่พุ่งเป้าไปที่ตระกูลมู่แทน
เถียนหรงที่ถูกจิ๋นลี่ยวนจ้องมองตาเขม็งก็ไม่กล้าพูดอะไรที่ไร้สาระอีกแล้ว พลันก้มหน้าก้มตาเริ่มลงมือจัดการกับบาดแผลของเขาอย่างจริงจัง แม้เลือดจะออกมามากก็ตามแต่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว การแข็งตัวของบาดแผลจึงค่อนข้างรวดเร็ว นอกจากสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยของจิ๋นลี่ยวนแล้ว ที่ดูลำบากอยู่เล็กน้อยนอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว แต่หมอด้อยประสบการณ์อย่างเถียนหรงที่เพิ่งจะมาเจอเรื่องพวกนี้แถมประสบการณ์ยังน้อยนักแต่ถูกจิ๋นลี่ยวนทำให้ตกใจจนกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแล้ว….
ทำไมเขาถึงอ่อนแอได้มากถึงเพียงนี้?
เถียนหรงรีบตรวจสอบบาดแผลบนแขนของจิ๋นลี่ยวนอย่างจริงจังอีกครั้ง แต่ก็ยังหาสาเหตุที่ทำให้จิ๋นลี่ยวนอ่อนแอแบบนี้ได้ไม่เจอ ครู่เดียวพลันมีเหงื่อผุดออกมากมายบริเวณศีรษะ รอบเตียงผู้ป่วยของจิ๋นลี่ยวนมีคนมาห้อมล้อมมากมายราวกับมีแมลงวันไร้หัวมาตอม ตอนนี้เองที่พี่หลิงพาผู้อำนวยการเดินเข้ามา…
ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลหนันหยูเป็นผู้ชายอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่ ได้ยินว่าตอนหนุ่มๆ ก็เป็นผู้ชายที่ถูกบรรดาคุณหนูไฮโซในเมือง T ตามจีบเช่นกัน แต่เขาเป็นคนติดดิน และความสัมพันธ์ของเขากับบ้านจิ๋นนั้นก็ไปมาหาสู่กันโดยตลอด โดยเฉพาะกับจิ๋นลี่ยวนถือว่ามีความสัมพันธ์แนบแน่นที่สุดแล้ว ดังนั้นตอนนี้เมื่อรู้ข่าวคราวว่าจิ๋นลี่ยวนได้รับบาดเจ็บจึงรีบมาทันที
“ลี่ยวน นายเป็นอะไรไป?” ตัวคนเพิ่งมาถึงขอบเตียง พลันหยิบสมุดอาการของคนไข้ที่อยู่ข้างเตียงขึ้นมาดูทันที สีหน้าดูจริงจังมาก
จิ๋นลี่ยวนยันตัวลุกขึ้นมานั่ง ยินเสี้ยวเสี้ยวก็รีบเข้าไปประคองเขาทันที ในแววตานั้นมีความกังวลอย่างไม่ปิดบัง
แววตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ส่วนผู้อำนวยการก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพลางจ้องมองจิ๋นลี่ยวน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ถึงตอนนี้เองจิ๋นลี่ยวนจึงค่อยๆ พูดอย่างไม่รีบร้อน “ขอบคุณผู้อำนวยการมากครับที่เป็นห่วง ผมแค่รู้สึกว่าร่างกายแค่อ่อนแอไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง หลายวันต่อจากนี้อาจจะมาทำงานไม่ได้…”
สายตาของผู้อำนวยการพลันจับจ้องไปที่ตัวของยินเสี้ยวเสี้ยวอยู่สองวินาทีมุมปากกระดกยิ้มขึ้นอย่างรู้ทันก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “อืม แขนของคุณได้รับบาดเจ็บไปถึงเส้นประสาท ควรกลับไปพักผ่อนให้ดีสักระยะ ทางที่ดีควรมีคนดูแลอยู่ข้างกาย อารมณ์ก็อย่าให้กระทบกระเทือนมากนัก ไม่งั้นเกรงว่าจะกระทบกระเทือนไปถึงแผลที่มือของคุณแล้วต่อไปอาจส่งผลต่ออาชีพหมอต่อได้”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา คนในห้องผู้ป่วยทั้งหมดต่างก็ตกตะลึง
ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?
ยินเสี้ยวเสี้ยวยิ่งตกใจจนสีหน้าซีดเผือดทันที จิ๋นลี่ยวนรีบยื่นมือขวาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บออกไปเพื่อคว้าจับมือเล็กๆ ของเธอถือว่าเป็นการปลอบใจเธอด้วย
เถียนหรงยิ่งตกใจจนแทบจะกลายเป็นคนโง่ไปอยู่แล้ว มีเพียงเก๋อเฉิงเฟยที่หลบอยู่ด้านข้างเท่านั้นที่กำลังยืนเบะปากอยู่
โกหกจนเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อให้ยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นห่วงเขาหรอกเหรอ?
ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว เก๋อเฉิงเฟยคิดว่ามันช่างง่ายดายเกินไปแล้ว…
“งั้นจะทำยังไงดี? ตอนนี้คุณพักอยู่ที่ไหน? เมืองไห่เมียวเหรอ? ที่นั่นไม่มีคน…” ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ยินว่าบาดแผลนี้อาจจะส่งผลกระทบกับอาชีพหมอของจิ๋นลี่ยวนในภายหลังได้ก็ย่อมร้อนรนขึ้นมาทันที จนขอบตาเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ “หรือไม่ คุณจะกลับไปที่คฤหาสน์ไหม ที่นั่นมีคนอยู่ไม่น้อยเลยไม่ใช่หรอ? แต่ว่าอยู่ที่นั่นใครจะดูแลคุณได้ทุกวัน…”
พูดๆ ไป ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว
จิ๋นลี่ยวนชอบอาชีพหมอนี้มากแค่ไหน เขาไม่พูดแต่เธอย่อมรู้ดี การถามถึงคุณชายสามบ้านจิ๋นอันร่ำรวยมหาเศรษฐี ถ้าไม่ใช่จิ๋นลี่ยวนชอบด้านนี้มากจริงๆ แล้วทำไมกองหนังสือดั่งภูเขาเลากาในตู้หนังสือในบ้านถึงเป็นหนังสือหมอได้ล่ะ แล้วจะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลหนันหยูโดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงแซ่มานานขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้าเกิดมือของเขาเสียหายขนาดนั้นจริงๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวคิดว่าเธอจะต้องร้องไห้จนตายแน่ๆ ‘อัจฉริยภาพมือหนึ่ง’ เลยนะ ที่นานหลายปีถึงจะพบเจอได้สักครั้ง…
“จิ๋นลี่ยวน…” บ่นพึมพำเสียงเบา ยินเสี้ยวเสี้ยวจับฝ่ามือใหญ่ของเขาไว้แน่น ความไม่พอใจในตระกูลมู่ไม่เคยรุนแรงขนาดนี้มาก่อน น้ำตาในตาพลันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว คำเรียกขานเองก็เปลี่ยนไปทันที “ทำยังไงดี ลี่ยวน…”
พี่หลิงไม่ใช่คนอยู่ในเกมนี้ด้วย มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร รีบพาบรรดาเหล่านางพยาบาลโดยรอบออกไปทันที ในห้องผู้ป่วยจึงเหลือเพียงเถียนหรง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรวมจิ๋นลี่ยวนแค่สามคน
พร้อมทั้งรีบดึงยินเสี้ยวเสี้ยวมานั่งข้างเตียงตนเองโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด จิ๋นลี่ยวนยื่นมือขวาออกไปพลางเช็ดน้ำตาของเธออย่างแผ่วเบา
“มือของเขาคุณไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้น…” จู่ๆ ผู้อำนวยการก็เอ่ยปาก พลันดึงดูดสายตาของยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างรวดเร็วไม่มีทางเลือกนอกจากจะพูดไปตามน้ำอย่างลำบากใจ “บาดแผลของออกจะลึกอยู่บ้าง ในช่วงนี้น่าจะดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ แค่ต้องคอยดูแลให้ดีก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพียงแต่ช่วงเวลานี้จะบาดเจ็บซ้ำสองไม่ได้แล้วนะ”
พยักหน้าอย่างแข็งขัน เวลานี้ยินเสี้ยวเสี้ยวจะให้เขาได้รับบาดเจ็บซ้ำสองได้ยังไงกัน?
เก๋อเฉิงเฟยพลางเดินนำผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเถียนหรงเดินออกไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ยินเสี้ยวเสี้ยวกับจิ๋นลี่ยวนอยู่กันสองคน ในที่สุดตอนนี้เองจิ๋นลี่ยวนก็เผยหางจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายของตัวเองออกมา
“เสี้ยวเสี้ยว คุณอย่าร้องไห้เลย ผมสัญญากับคุณว่าอยู่ที่บ้านจะดูแลตัวเองอย่างดีโอเคไหม?” จิ๋นลี่ยวนพูดปลอบโยนอย่างแผ่วเบา แต่ในดวงตาฟีนิกซ์ลึกๆ คู่นั้นมีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน “ผมจะกินยาอย่างเชื่อฟัง เปลี่ยนยา แล้วก็จะพักผ่อน อาบน้ำอย่างดี จะไม่ให้คุณต้องเป็นห่วงแน่นอน ตกลงไหม?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวได้ฟังพลันกระวนกระวายขึ้นมา ดวงตากลอกไปมาอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังคิดหาวิธีอยู่ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก สักพักบริเวณหน้าผากพลันมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด.