ตอนที่ 1806 โลกภายในแตกสลาย
“สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก ดูท่าคงปล่อยเจ้าเอาไว้ไม่ได้” หลี่ชิเย่มองดูเจ้ามารร้ายตัวน้อยนี้แล้ว เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
เสียง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดังขึ้นมาเป็นระลอก เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวจบคำ ร่างของมารร้ายตัวน้อยเริ่มลุกไหม้ขึ้นมา มันกำเนิดขึ้นเพราะความแค้นเคืองใจของเทพกำแหงเท่านั้น ภายใต้สายตาที่รู้แจ้งของหลี่ชิเย่สามารถเผาผลาญมันจนไม่เหลือร่องรอย
จังหวะหลี่ชิเย่อาศัยดวงตารู้แจ้งทำการเผาร่างของมันนั้น เวลานี้มารร้ายตัวน้อยจึงเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวขึ้นมา มันร้องเสียงดังออกมาว่า “ข้าเกิดจากเทพกำแหงนะ ข้ามีเคล็ดวิชาชั่วชีวิตที่เทพกำแหงเคยมี ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป ข้าก็จะมอบเคล็ดวิชาที่มีอยู่ให้ทั้งหมด!”
“เคล็ดวิชาชั่วชีวิตที่เทพกำแหงมี” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้ามารร้ายตัวน้อย
เป็นที่ทราบกันดีว่า เทพกำแหงคือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงในครอบครอง เคล็ดวิชาที่เขามีมาชั่วชีวิตช่างเป็นสิ่งที่เปี่ยมด้วยความเย้ายวนใจเพียงใด เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถทนต่อสิ่งยั่วเย้าเช่นนี้ได้
“เคล็ดวิชาหัวเจ้าน่ะสิ” ฝ่ามือของหลี่ชิเย่ซัดลงไปที่หัวของเซิ่นเหล่าลิ่ว หัวเราะเยาะและด่าทอไปว่า “สำนักเจ้ามีเคล็ดวิชาเซียนหวังอยู่ ไม่รู้ว่าเหนือกว่าวิชานอกรีตของเทพกำแหงเท่าไร”
“พูดมาก็ถูก” หลังจากที่เซิ่นเหล่าลิ่วถูกซัดไปหนึ่งฝ่ามือจึงได้ตื่นขึ้น เขาเกาหัวแกร๊กๆ กล่าวพร้อมกับหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา
“ข้ารู้ร่องรอยเกาทัณฑ์ดอกนั้นของราชันเซียนตี้อิเจี้ยน หากผู้ใดได้ไป รับรองว่าสามารถปราศจากผู้ต่อกรในหนึ่งเกาทัณฑ์ เจ้าปล่อยข้าไป ข้าก็จะบอกแก่เจ้า!” ครั้นมารร้ายตัวน้อยเห็นหลี่ชิเย่ไม่หลงใหลในสิ่งที่ตนเสนอ จึงได้ยื่นสิ่งเย้ายวนใจใหม่แทน
“เกาทัณฑ์อันดับหนึ่ง!” เซิ่นเหล่าลิ่วรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ เกาทัณฑ์อันดับหนึ่งคือเกาทัณฑ์ที่ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนใช้ยิงสังหารเทพกำแหงนั่น ย่อมจินตนาการถึงความปราศจากผู้ต่อกรของมัน สามารถได้รับการยกย่องให้เป็นเกาทัณฑ์อันดับหนึ่งตลอดกาลได้ หากสามารถได้ครอบครองเกาทัณฑ์นี้ เป็นความจริงที่หนึ่งเกาทัณฑ์ปราศจากผู้ต่อกรโดยแท้
“ไม่ใช่เจ้าตัวราชันเซียนตี้อิเจี้ยนเอง ถึงได้เกาทัณฑ์นี้ไปก็จะเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกรไม่ได้” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ กล่าวขึ้นช้าๆ ไม่หวั่นไหวกับสิ่งนี้
“เจ้า เจ้า เจ้าหากฆ่าข้า เจ้าก็จะไม่ได้สมบัติของเทพกำแหงตลอดไป มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถเปิดลัคนาของเทพกำแหงได้…” เมื่อมารร้ายตัวน้อยเห็นว่าความเย้ายวนนั้นไม่ได้ผล จึงร้องเสียงดังออกมา
“ไม่ต้องแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง ประกายดวงตาทั้งสองรุนแรงยิ่งขึ้น “อ๊ากก” เสียงร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น มารร้ายตัวน้อยพลันถูกหลี่ชิเย่เผาไหม้จนไม่เหลือ กลายเป็นเถ้าธุลีไปโดยพลัน!
“ปัง ปัง ปัง…” ในเวลานี้เอง ปรากฏตำหนักแต่ละตำหนักที่แตกสลายลงมา สิบสองลัคนาของเทพกำแหงทยอยกันล้มครืนนลงมา จากนั้นได้ยินเสียง “โครม โครม โครม” ดังขึ้น ในเวลานี้ ของวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกเทลงมาสู่เบื้องล่าง
คทาหยูอี่ โลหะเหลิ่งเซียน ไม้ฉีหวินมู่ มุกเยี่ยนเทียนจู…ของวิเศษแต่ละชิ้นถูกเทลงมาเหมือนดั่งข้าวเปลือกที่บรรจุเต็มโกดังอย่างนั้น ของวิเศษแต่ละชิ้นส่งประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบ ยามที่ของวิเศษล้ำค่าจำนวนมากมายเช่นนี้ถูกเทลงมาก็คล้ายดั่งเป็นการระบายประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นน้ำหลากอย่างนั้น ภาพนี้สร้างความสะเทือนจิตใจผู้คนเหลือเกิน ประกายศักดิ์สิทธิ์หมื่นพัน ปรากฎการณ์ประหลาดทยอยกันปรากฏขึ้นมา
พริบตาเดียวนั่นเอง ปรากฏเป็นภูเขาของวิเศษล้ำค่าน้อยๆ ขึ้นตรงหน้าของพวกหลี่ชิเย่จำนวนสิบสองลูก ประกายศักดิ์สิทธิ์ปริมาณนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้คนต่างมองกันอ้าปากตาค้าง
ในขณะที่เซิ่นเหล่าลิ่วกำลังเหม่อลอยอยู่ หลี่ชิเย่ก็ได้ค้นหาชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่ยากจะหาใดเทียมจากกองของวิเศษที่กองดั่งภูเขาจนพบแล้ว
“ตูม ตูม ตูม…” ในเวลานี้เองโลกภายในพลันหวั่นไหวโคลงเคลงไปมา ทั่วทั้งโลกภายในเริ่มพังถล่มลงมา พริบตาเดียวกันนี้เองน้ำหลากที่เหมือนดั่งคลื่นยักษ์ คล้ายต้องการท่วมโลกที่พังทลายจนมิดอย่างนั้น
“โอ้ แม่จ๋า” ขณะที่น้ำหลากดั่งคลื่นยักษ์เกิดขึ้น เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ท่วมตัวของเซิ่นเหล่าลิ่วไปแล้วครึ่งตัว เมื่อเขาได้สติกลับมาและมองดูน้ำหลากที่ท่วมร่างตนเองแล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ร้องเสียงดังออกมาว่า “นี่ นี่ นี่มันคือพลังแก่นฟ้าดินอย่างนั้นรึ?”
“พูดให้ถูกต้องก็คือ พลังแก่นสรรพสิ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “เทพกำแหงหลังจากที่ได้กลืนกินพื้นที่แห่งนี้ไปแล้ว ยังไม่ทันได้ย่อยสลายก็ถูกสังหารเสียแล้ว ขณะที่พลังแก่นสรรพสิ่งถูกกักขังอยู่ภายในโลกภายในแห่งนี้ เมื่อลัคนาแตกสลาย พลังแก่นสรรพสิ่งที่มีปริมาณมหาศาลจึงทะลักจากช่องแตกแหว่งของเขื่อนและอาละวาดวิ่งพล่านไปทั่ว”
“นี่เป็นสิ่งของที่ประเมินค่าไม่ได้นะเนี่ย พลังแก่นสรรพสิ่งที่มีปริมาณมหาศาลถึงเพียงนี้” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“ขืนรออีกหน่อย อย่าว่าแต่ของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เลย แม้แต่เศษเหล็กสักชิ้นก็จะไม่ได้ไป”
“ของวิเศษของข้า…” เมื่อเซิ่นเหล่าลิ่วได้ยินคำเตือนจากหลี่ชิเย่แล้วจึงได้มองเห็นว่า ของวิเศษที่กองสุมดั่งภูเขาเหล่านั้นกำลังจะถูกท่วมจนมิดแล้ว เข้าร้องเสียงดังออกมาเหมือนไก่ถูกเชือด รีบวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปจัดการรวบเอาของวิเศษทั้งหมดใส่กระเป๋าของตนจนสิ้น
ในที่สุด เซิ่นเหล่าลิ่วก็สามารถจัดการรวบเอาของวิเศษทุกชิ้นโดยไม่ตกหล่นเข้าไปในกระเป๋าของตน ก่อนที่พวกเขากำลังจะไปจากสถานที่แห่งนี้ ปรากฏเสียง “ตูม” ดังสนั่น โลกภายในแห่งนี้พังทลายลงมาทั้งหมด จากนั้น ได้ยินเสียงดัง “ตูม ตูม ตูม” ไม่ขาดสาย พลังแก่นสรรพสิ่งเหมือนดั่งน้ำหลากในยุคดึกดำบรรพ์ที่วิ่งพล่านส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง เหมือนต้องการฉีกทุกสิ่งทุกอย่างของโลกใบนี้ให้ละเอียด
ในเวลานี้ ทั้งหลี่ชิเย่ และเซิ่นเหล่าลิ่วได้หลบหนีออกมาจากโลกภายในแล้ว ขณะที่เสียง “ตูม ตูม ตูม” ยังคงดังตูมตามขึ้นเป็นระยะไม่ขาดสาย เวลานี้ศพที่มีขนาดใหญ่โตของเทพกำแหงได้ปรากฎเป็นรอยแยกแต่ละสายขึ้นมา “ตูม ตูม ตูม” เสียงดังสนั่น ท่ามกลางรอยแยกนั้น พลังแก่นสรรพสิ่งได้พวยพุ่งออกมาเสมือนดั่งน้ำหลากที่ออกมาจากรอยแหว่งของเขื่อน ต้องการกวาดทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบ
“จะทำอย่างไรดีหละ?” เซิ่นเหล่าลิ่วรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นพลังแก่นสรรพสิ่งที่คำรามอย่างบ้าคลั่งและพลุ่งพล่าน เนื่องจากพลังแก่นสรรพสิ่งทั้งหมดก็คือพลังแก่นของสรรพสิ่งทีถูกกลืนกินไปในคราวเดียวของเทพกำแหง
สถานที่แห่งนี้ในครั้งกระนั้น คือพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาล และเป็นท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวกว้างสุดลูกหูลูกตา พลังและชีวิตทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่ ถูกเทพกำแหงกลืนกินไปจนสิ้นในคำเดียว ย่อมจินตนาการได้ว่า ครั้งนั้น เทพกำแหงได้กลืนกินพลังไปเท่าไร กลืนกินสิ่งมีชีวิตไปเท่าไร ครั้นนึกถึงภาพนี้แล้วทำให้ผู้คนต้องขนลุกขนพอง
“เปิด…” ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด เขาใช้มือข้างหนึ่งกดบริเวณขมับของตนเอาไว้ ทันใดนั้นเอง ดวงตาทั้งสองของเขาส่งแท่งประกายเจิดจ้ายิ่งนักออกมา เสียง “ตูม” ดังสนั่น แท่งประกายที่แวววาวสองสายถูกยิงออกมาจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่
เสียง “ตูม” ดังสนั่น พริบตาเดียวกันนั้น มองเห็นเศษหินที่ปลิวว่อน แท่งประกายขนาดใหญ่สองสายที่ถูกยิงออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหลี่ชิเย่พลันเจาะลึกเข้าไปยังพื้นดิน นาทีนี้เหมือนว่าแท่งประกายสองสายได้เจาะพื้นดินจนทะลุอย่างนั้น
“คร๊ากก คร๊ากก คร๊ากก…” เวลานี้ พื้นดินปรากฏเสียงแตกร้าวดังขึ้นเป็นระลอก เหมือนว่าพื้นดินแห่งนี้ที่แต่เดิมแตกละเอียดอยู่แล้วได้แตกละเอียดไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ ขณะที่เสียงคร๊ากก คร๊ากกดังขึ้นมานั้น พื้นดินที่ปราศจากความมีชีวิตชีวาใดๆ ผืนนี้กลับปรากฏประกายแต่ละสายที่ผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดิน ประกายเหล่านี้สอดประสานไขว้กันมา เหมือนถักทอจนกลายเป็นบทคัมภีร์ขนาดใหญ่อย่างนั้น
แต่ทว่า เมื่อประกายทั้งหมดได้ถักทอเข้าด้วยกันจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงทำให้เซิ่นเหล่าลิ่วมองออกว่านี่มันไม่ใช่บทคัมภีร์ แต่เป็นกงล้อวันเวลา พื้นที่แห่งนี้ถูกร่างขึ้นด้วยกงล้อวันเวลา ถูกประทับเอาไว้ด้วยรอยสลักของกงล้อวันเวลา
“นี้คือความลึกซึ้งพิสดารของวันเวลา เป็นอาณาจักรที่มีเพียงจอมราชันเซียนหวังเท่านั้นที่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้าไปได้!”ภายในใจของเซิ่นเหล่าลิ่วรู้สึกหวั่นไหวเมื่อเห็นผืนแผ่นดินถูกประทับสลักด้วยกงล้อแห่งวันเวลา วิธีการเช่นนี้เกรงว่าจอมเทพทั่วไปก็ไม่ได้มีอยู่ในครอบครอง
“แว้งค์…” เมื่อประกายทั้งหมดได้มีการถักทอกลายเป็นกงล้อแห่งวันเวลาโดยสมบูรณ์แล้ว เดิมทีพื้นที่แห่งนี้ถือเป็นพื้นที่แห่งความตายพลันเปล่งเป็นประกายขึ้นมา ประกายลักษณะเช่นนี้ส่องสว่างพื้นที่แห่งนี้ มองจากระยะห่างไกลดูเต็มไปด้วยความเลือนลาง
“ตูม…” บังเกิดเสียงดังสนั่น เวลานี้หลี่ชิเย่หมุนตัวกลับ แท่งประกายทั้งสองที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองพลันยิงเข้าใส่ท้องฟ้าที่มืดมิดโดยสิ้นเชิงนี้
ท้องฟ้าแห่งนี้ถูกเทพกำแหงกลืนกินเข้าไป ทางช้างเผือกแต่ละสายพังทลาย ดวงดาวแต่ละดวงที่แตกละเอียด นาทีนี้ ภายใต้การขับเคลื่อนของแท่งประกายจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ ปรากฏเสียงดัง “ตูม ตูม ตูม” ขึ้นมาเป็นระลอก มองเห็นดวงดาวแต่ละดวงที่ยังไม่ทันถูกทำลายได้ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่วงโคจรของพวกมันเอง ทางช้างเผือกแต่ละสายที่ถูกลากดึงมาถูกผลักดันให้กลับไปอยู่ในพิกัดตำแหน่งของพวกมันมาแต่เดิม
“ตูม ตูม ตูม” เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาไม่ขาดสาย หลังจากดวงดาวแต่ละดวงที่ไม่ทันถูกทำลายถูกผลักดันให้กลับไปยังตำแหน่งเดิมของพวกมันแล้ว แท่งประกายที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่พลันกลับกลายเป็นประกายแต่ละสายที่มีขนาดเล็กมากเป็นหมื่นเป็นพันสาย โดยประกายขนาดจิ๋วเหล่านี้ได้ทะลุผ่านดวงดาวแต่ละดวง และทะลุผ่านทางช้างเผือกแต่ละสาย
สุดท้าย ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ดวงดาวทั่วท้องฟ้าปรากฏกงล้อแห่งวันเวลาขึ้น และแผ่ประกายจางๆ ออกมา
“ประกายแห่งกาลเวลา การสั่งสมของกาลเวลา ไม่อยู่ในขอบเขตของพลัง” เซิ่นเหล่าลิ่วรู้สึกหวั่นไหวยิ่งนักเมื่อได้มองเห็นภาพเช่นนี้ ถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำ
แท่งประกายที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ไม่นับเป็นพลัง กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า ต่อให้หลี่ชิเย่ทำการโยกฟ้าย้ายดินอยู่ตรงนี้ คนอื่นก็จะไม่รู้ไม่เห็น เนื่องจากไม่ได้มีการกระเพื่อมของพลัง จึงยากจะสร้างความสนใจให้กับผู้คน
แท่งประกายที่พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่คือกาลเวลา เป็นการรักษากฎระเบียบอย่างหนึ่ง เป็นการไล่เรียงกลับไปยังต้นกำเนิด สิ่งนี้กระทั่งเรียกได้ว่าคือรากเง่าที่ไหลรินอยู่เป็นนิรันดร์ มีพียงผ่านการวัฏสงสารมาชาติแล้วชาติเล่า การขัดเกลาอยู่ในโลกีย์มนุษย์ยุคแล้วยุคเล่าจึงสามารถเกิดกสนตกตะกอนการสั่งสมของกาลเวลา มิฉะนั้นล่ะก็ คนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ก็ไม่มีทางมีสิ่งที่เรียกว่าการสั่งสมของกาลเวลาไว้ในครอบครองได้ มันเป็นการทับถมที่เป็นนิรันดร์อย่างหนึ่ง สิ่งนี้ไม่จัดอยู่ในขอบเขตของการฝึก
สิ่งนี้เซิ่นเหล่าลิ่วเองก็แค่เคยได้ฟังมาเท่านั้น อีกทั้งสิ่งนี้ดำรงอยู่เป็นตำนานมาโดยตลอด ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน วันนี้ได้เห็นสร้างความหวั่นไหวกับเขายิ่งนัก
บนเขาชมเทพ ธิดาราชันฉีหลินเฝ้าสังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงโดยตลอด แรกทีเดียวนางไม่เห็นมีสิ่งผิดปรกติ เนื่องจากการสั่งสมของกาลเวลาไม่อยู่ในขอบเขตของพลัง ครั้นแดนอาถรรพ์เทพกำแหงปรากฏประกายแต่ละสายขึ้นมา จังหวะนั้นนางจึงพบอะไรบางอย่าง เวลานี้นางเปิดเนตรฟ้าขึ้น ทำการสำรวจแดนอาถรรพ์เทพกำแห่งอย่างละเอียด
เมื่อนางมองเห็นดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่พวยพุ่งเป็นประกายออกมา มองเห็นภาพของการโยกฟ้าย้ายดินแล้ว นางจึงรู้สึกหวั่นไหวอย่างแท้จริง นางถึงกับเสียวสันหลังวาบ และกล่าวว่า “ไม่ใช่จอมราชันเซียนหวัง แต่ยิ่งกว่าจอมราชันเซียนหวัง นี่ นี่ นี่เขามีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่?”
นาทีนี้ ธิดาราชันฉีหลินไม่สามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับตัวของหลี่ชิเย่ได้โดยสิ้นเชิง หากบอกว่าหลี่ชิเย่ เป็นจอมราชันเซียนหวังคนใดคนหนึ่งกลับชาติมาเกิดก็ดูไม่เหมือน หากบอกว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่เพิ่งเริ่มต้นการฝึกบำเพ็ญเพียรเท่านั้นเอง มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่ออะไรก็ไม่ใช่ เมื่อเป็นดังนี้ ผู้ชายที่ดูเหมือนเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนตรงหน้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่นะ