ตอนที่ 1803 กาลเวลาไร้ร่องรอย
หลี่ชิเย่นิ่งเงียบ มองดูท้องนภาที่พราวพร่างไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป วิถีทางอันยาวไกล แต่ละคนที่จากไป มันเป็นความรู้สึกเช่นใดกันนะ? หรือบางทีรสชาติเช่นนี้มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้
เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง บรรดาจอมราชันเซียนหวัง หรือราชันเซียนจากเก้าแดนที่เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกแล้ว จึงน้อยครั้งที่จะถามถึงเรื่องราวของโลกีย์มนุษย์ และยิ่งมีการปรากฎตัวน้อยมาก น้อยครั้งที่จะรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับลูกหลานที่เป็นทายาทรุ่นหลัง ถือเป็นการตัดสิ้นกิเลสอย่างหนึ่ง
จะอย่างไรเสีย ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในสถานะเช่นใดก็ตาม หลังจากผ่านการขัดเกลาจากยุคสมัยแต่ละยุคในโลกีย์มนุษย์ไปแล้ว ส่งคนแต่ละรุ่นที่เดินจากไปแล้ว เกรงว่าต่อให้มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงเพียงใดก็ตาม ก็ต้องถูกขัดเกลาเจียระไนไปสิ้น กาลเวลาไร้ซึ่งความปราณี วันเวลาไร้ซึ่งความปราณียิ่งกว่า
ผ่านการขัดเกลาจากโลกีย์มนุษย์มายุคแล้วยุคเล่า ผ่านประสบการณ์มาสมัยแล้วสมัยเล่า เกรงวง่าคงทำให้ผู้คนต้องเสียสติ หากไม่กลายเป็นปราชญ์ก็คงเสียสติกลายเป็นมารไป!
หลี่ชิเย่ไม่เพียงส่งผู้ที่อยู่ข้างกายตนจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านไป ไม่เพียงฝังร่างของผู้ที่เขารัก และผู้ที่รักตัวเขาเท่านั้น
ตัวเขาเองยังเคยส่งราชันเซียนแต่ละองค์ที่ก้าวสู่การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาอันยาวนานนี้ เขาเคยมองดูราชันเซียนแต่ละองค์ที่เดินทางจากไปไกล แม้จะรู้อยู่แล้วว่าในการเดินทางไกลเพื่อปราบปราบนี้ไม่มีผล แม้จะรู้อยู่แล้ว่าไปแล้วไปลับ ราชันเซียนทุกองค์ เซียนหวังทุกยุคสมัย ต่างก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญโดยไม่หวนกลับทั้งสิ้น
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะรู้อยู่แล้วว่า การเดินทางไกลเพื่อการปราบปรามนี้จะไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตบนเส้นทางสายนี้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือการวัฏสงสารในแต่ละยุคสมัย การเพียรพยายามในแต่ละยุคสมัย การสั่งสมในแต่ละยุคสมัย สุดท้าย เพียงเพื่อเป้าหมายเดียวเท่านั้น…สงคราม ณ สุดปลายทางของโลก
เขาต้องการเพียงคำตอบเดียวจากที่ตรงนั้น หรือบางทีจอมราชันเซียนหวังแต่ละยุคสมัยก็ต้องการคำตอบเดียวเช่นกัน เหมือนดั่งเฉี่ยนซู่หวิน นางเองก็ต้องการเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น เพียงแต่ คำตอบที่ทุกคนต้องการล้วนแล้วแต่แตกต่างกันไป
เขาและเฉี่ยนซู่หวินต่างก็เดินทางไกลเพื่อปราบปรามยังสุดปลายทางของโลกเหมือนกัน เป้าหมายอันเดียวกัน แต่คำตอบของเขากับนางก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ธิดาราชันฉีหลินซึ่งมองดูหลี่ชิเย่ที่กำลังนิ่งเงียบ และมองไปยังไกลสุดหล้าของท้องฟ้า ทันใดนั้นภายในใจของนางพลันกระตุกทีหนึ่ง เหมือนหนึ่งว่าได้สัมผัสอะไรบางอย่างเข้า เหมือนว่ามีบางสิ่งที่ไปถูกต้องส่วนที่นุ่มนวลที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ยังคงดูธรรมดายิ่งนัก แต่ว่า กลับนำมาซึ่งความรู้สึกที่ยากจะหาใดเทียมได้ เหมือนว่าเขาได้ก้าวข้ามอดีตกาลมา บนตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยผลกรรมของสายน้ำแห่งกาลเวลา เหมือนว่าเขาได้นำเอาโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลามาจากอดีตที่ยาวไกล ภายในดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นของเขาได้รวมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เอาไว้ ความรักความแค้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์มารหรือปราชญ์……….. เหมือนว่าโลกโลกีย์มนุษย์ทั่วโลกทุกหนทุกแห่งล้วนแล้วแต่ถูกแสดงออกมาจากดวงตาคู่นี้ของเขา
พริบตาเดียวนั้นเอง ผู้ชายที่ดูธรรมดาผู้นี้เหมือนว่าได้ผ่านสังสารวัฏมาแล้วถึงสิบล้านรอบ เหมือนว่าเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา หัวใจตั้งต้นที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้ดวงนั้นยังคงเต้นอยู่เหมือนเดิม ดุจดั่งชีพจรหัวใจของโลกที่กำลังเต้นอยู่อย่างนั้น
โลกที่เกิดวิบัติกลับตาลปัตรไปหมด สรรพสิ่งแปรเปลี่ยนไป ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือหัวใจตั้งต้นของเขา ที่ไม่เปลี่ยนคือความมุ่งมาดปรารถนาที่ยึดมั่นของเขา ที่ไม่เปลี่ยนคือการย่างก้าวไปข้างหน้าที่มั่นคงของเขา!
เหมือนว่าวันเวลาที่ไร้ความปราณีสามารถเจียระไนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้ แต่กลับไม่สามารถเจียรไนหัวใจตั้งต้นดวงนั้นของเขาได้ ไม่สามารถเจียระไนความมุ่งมาดปรารถนาที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นนิรันดร์ด้วยนั้นได้ ไม่สามารถกั้นขวางการย่างก้าวไปข้างหน้าที่มั่นคงของเขาได้
พริบตาเดียวนี้เอง ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกได้ว่า ผู้ชายที่แลดูธรรมดาตรงหน้าผู้นี้เป็นการหวนคืนสู่ความเป็นมนุษย์ธรรมดา ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าช่างไม่ธรรมดาเสียเหลือเกิน มีเสน่ห์ที่ผู้คนไม่สามารถต้านเอาไว้ได้ ความมีเสน่ห์ที่ว่าหาใช่ความเป็นรูปงามที่เป็นกายเนื้อ และไม่ใช่คุณสมบัติประจำตัวที่ดึงดูดผู้คน ความมีเสน่ห์เช่นนี้ได้มาจากกาลเวลา เป็นการตกตะกอนจากสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวนานสุดเทียบเทียม เป็นการเจียระไนจากวัฏสงสารไม่มีสิ้นสุดของโลกทั้งโลก เสน่ห์ลักษณะเช่นนี้เป็นเสน่ห์ที่ไม่สิ้นสุด เป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
ในเวลานี้ จิตใจของธิดาราชันฉีหลินล่องลอยปไกลแสนไกล หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงได้สติคืนกลับมา ถึงกับยิ้มเจื่อนๆ และส่ายหัว นี่นางคิดอะไรของนางนะเนี่ย
หลังจากผ่านไปนานมาก หลี่ชิเย่จึงได้เรียกสติคืนกลับมา มองดูธิดาราชันฉีหลินแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หลังจากการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งที่หกแล้ว ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเจ้าได้ของมาสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ลอยมาจากทางด้านบน และสิ่งนี้ได้บินตรงเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินของพวกเจ้า” กล่าวพลางได้ชี้ไปบนท้องฟ้า
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” ธิดาราชันฉีหลินหลุดปากออกมา แต่เมื่อได้สติกลับมาแล้วกลับรู้สึกว่ามันไม่น่าแปลก หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ายากจะหยั่งถึง เรื่องนี้ไม่เห็นจะปิดบังดวงตาทั้งสองของเขาได้
ธิดาราชันฉีหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากได้สติกลับมา พยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังคุณชาย เป็นความจริงที่ตระกูลราชันฉีหลินพวกเราได้รับสิ่งของมาชิ้นหนึ่ง”
ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขาได้สิ่งของชิ้นนี้มานานแล้ว แต่ไม่สามารถไขความลี้ลับมหัศจรรย์ของสิ่งของชิ้นนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขาจึงตั้งใจจะรับสมัครผู้บำเพ็ญตน หรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีความชำนาญด้านอักขระยันต์โบราณ
“เซียนหวังทั้งสองของตระกูลเจ้าว่าอย่างไร”
ธิดาราชันฉีหลินส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “ฟังจากบรรพบุรุษของตระกูลว่า บรรพบุรุษที่เป็นเซียนหวังทั้งสองไม่ต้องการรับของสิ่งนี้เอาไว้ บอกแต่เพียงว่าสิ่งของชิ้นนี้มีค่าสุดเปรียบเปรย รอเพียงผู้มีวาสนาเท่านั้น”
“ถูกต้องแล้วหละ” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และกล่าวว่า “พวกเขาต่างไม่ต้องการไปแปดเปื้อนผลกรรมที่อยู่ข้างใน พวกเขาปลีกตัวออกจากโลกภายนอกไม่ขอปรากฏตัวออกมา การที่พวกเขาไม่ยอมรับเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ การที่สวรรค์ลงทัณฑ์ห้อยอยู่บนหัว เป็นเรื่องที่สร้างความไม่สบายใจโดยแท้จริง”
“คุณชายพูดเช่นนี้ แสดงว่าคุณชายรู้จักสิ่งของสิ่งนี้แล้ว?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินหลี่ชิเย่พูดขึ้นมาเช่นนี้ จึงอดที่จะถามขึ้น “ไม่รู้ว่าคุณชายสามารถบอกได้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?”
ความจริงแล้ว หลังจากที่สิ่งของสิ่งนี้มาถึงตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขาแล้ว บรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็ได้ทำการพินิจพิเคราะห์ตลอดมา แต่ก็ยากที่จะพินิจพิเคราะห์ถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน
ตระกูลราชันฉีหลินพวกเขาคือสถานที่ที่พยัคฆ์หมอบมังกรเร้นกาย ต่อให้ระดับเซียนหวังสององค์ไม่ออกสู่โลกภายนอกก็ยังมีระดับจอมเทพที่มีชีวิตอยู่ เฉกเช่นตระกูลราชันฉีหลินพวกเขามีของวิเศษอะไรบ้างที่พวกเขาไม่มี แต่ว่า สำหรับสิ่งของชิ้นนี้บรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินยังไงก็ขบคิดไม่ออก ซึ่งยิ่งทำให้บรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินเพิ่มความสนใจมากขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เซียนหวังทั้งสองของตระกูลราชันฉีหลินเคยพูดเอาไว้ว่า สิ่งของชิ้นนี้มีค่ายิ่งแบบบอกไม่ถูก นั่นย่อมเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งของสิ่งนี้ต้องยากจะหาสิ่งใดเทียมอยู่แล้ว และด้วยคำพูดของเซียนหวังทั้งสอง ทำให้ตระกูลราชันฉีหลิน ต้องการไขความลึกลับของสิ่งของสิ่งนี้ตลอดมา
“มันจะเป็นอะไรรอให้ข้าได้เห็นก็จะรู้เอง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “เจ้าไปแจ้งต่อตาเฒ่าตระกูลเจ้าสักคำ ข้าต้องการเห็นสิ่งนั้นด้วยตาของข้าเอง”
ธิดาราชันฉีหลินตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากหลี่ชิเย่ สิ่งของสิ่งนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งของที่ถูกจัดอยู่ในชั้นความลับสุดยอดของตระกูลราชันฉีหลินพวกเขา อย่าว่าแต่บุคคลภายนอกเลย ต่อให้เป็นศิษย์ของตระกูลราชันฉีหลินก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นสิ่งของสิ่งนี้ นางที่อยู่ในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลราชันฉีหลินก็ได้เคยเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ธิดาราชันฉีหลินไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าและกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “หากคุณชายต้องการดู ข้าจะบอกกล่าวต่อบรรดาบรรพบุรุษ หวังว่าพวกเขาจะผ่อนปรนให้บ้าง”
แม้ว่าธิดาราชันฉีหลินจะตอบตกลง แต่นางก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ นางจึงตกลงกับหลี่ชิเย่แบบไม่มั่นใจนัก
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มตามใจ และจ้องมองไปที่ท้องฟ้าต่อไป เขาต้องการเห็นเจ้าสิ่งของสิ่งนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตระกูลราชันฉีหลินจะยินยอมหรือไม่ การที่เขายอมแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ก็นับว่าเป็นการเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนแล้วหละ
“คุณชายมาที่นี่ด้วยเรื่องของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงรึ?”
หลี่ชิเย่ยังคงจ้องมองไปที่ท้องฟ้าที่พราวพร่างด้วยดวงดาว พยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง เทพกำแหงตายไปนานถึงเพียงนี้ ศพที่หายสาบสูญไปของเขาสมควรปรากฏออกมาแล้ว ถ้าหากมันไม่ยอมปรากฏ ข้าก็จะขุดมันออกมา!”
หลี่ชิเย่ต้องการได้ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ของเทพกำแหง ไม่ว่าศพของเทพกำแหงจะปรากฎออกมาหรือไม่อย่างไรเขาก็ต้องเอามาให้ได้ ถ้าหากศพของเทพกำแหงไม่ยอมปรากฏ เขาจะลงมือขุดมันออกมาด้วยมือของตนเอง!
ธิดาราชันฉีหลินเอ่ยขึ้นมาว่า “เทพกำแหงถูกราชันเซียนตี้อิเจี้ยนสังหาร ณ ที่ตรงนี้ ศพของเขาหายไปโดยไร้ร่องรอย ลือกันว่าสมบัติวิเศษชั่วชีวิตของเทพกำแหงถูกฝังไปพร้อมกัน”
คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงข่าวลือที่ไม่เป็นทางการและมีน้อยคนที่รับรู้ แต่ในฐานะที่นางเป็นผู้สืบทอดของตระกูลราชันฉีหลิน นางกลับรู้ถึงข่าวลือที่ไม่เป็นทางการและมีน้อยคนที่รับรู้นี้อย่างชัดเจน
“ตระกูลราชันฉีหลินพวกเจ้าไม่ได้ขาดแคลนเรื่องสมบัติวิเศษ แม้ว่าสมบัติวิเศษของเทพกำแหงจะไม่เลวนัก แต่ก็เทียบไม่ได้กับกรุสมบัติของตระกูลราชันฉีหลินพวกเจ้า” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าก็มาเพราะเรื่องสมบัติของเทพกำแหง?”
“สมบัติวิเศษขึ้นอยู่กับวาสนาเท่านั้น” ธิดาราชันฉีหลินเผยรอยยิ้มออกมา ยามที่นางยิ้มเรียกได้ว่างามหยาดเยิ้มเลยทีเดียว เกรงว่าชายหนุ่มที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่คนใดหากได้เห็นก็ต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ธิดาราชันฉีหลินกล่าวว่า “คราวนี้ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงขึ้น ตระกูลราชันฉีหลินพวกเราเกรงว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายปรากฏขึ้นมา ดังนั้น จึงให้ข้ามาดูเป็นการเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นภัยกับประชาชน”
คำพูดของธิดาราชันฉีหลินใช่จะไม่มีเหตุผล จะอย่างไรเสียแดนอาถรรพเทพกำแหงตั้งอยู่ติดชายแดนฉีหลินของพวกเขา หากมีสิ่งชั่วร้ายปรากฏขึ้นผู้ที่จะได้รับผลกระทบก่อนก็คือตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขา ตระกูลราชันฉีหลินไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เหมือนดั่งเช่นเทพกำแหงที่กลืนฟ้ากลืนดินเกิดขึ้นมาอีก
“แม้ว่าแดนอาถรรพ์เทพกำแหงจะอันตรายสักนิดหนึ่ง แต่มันก็เป็นเพียงความคับแค้นใจด้วยความสิ้นหวัง กับกลิ่นอายการฆ่าฟันของราชันเซียนเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มและส่ายหน้ากล่าวว่า “พื้นที่ทิ้งร้างผืนนี้ยังจะมีสิ่งชั่วร้ายได้อย่างไรกัน แม้ว่าครั้งนั้นเทพกำแหงจะแข็งแกร่งยิ่ง แต่ว่า ภายใต้เกาทัณฑ์สุดยอดที่สุดของราชันเซียนตี้อิเจี้ยนซึ่งประกอบด้วยวิชาเกาทัณฑ์ที่ลึกซึ้งที่สุดดอกนั้น เทพกำแหงคือตายสนิทโดยสิ้นเชิง ต่อให้เขามีวิธีการที่ฝืนลิขิตสวรรค์อย่างไรก็รอดชีวิตไปไม่ได้…”
“…ภายใต้เกาทัณฑ์ดอกนี้ อย่าว่าแต่จอมเทพเลย ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดน ถ้าหากแบกรับเกาทัณฑ์ดอกนี้ไม่ได้ล่ะก็มีเพียงตายสถานเดียวเท่านั้น!” ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วก็อดทีจะปลงอนิจจังไม่ได้ แม้ว่าในบรรดาราชันเซียนทั้งหมดของเก้าแดน ราชันเซียนติ้อิเจี้ยนจะไม่ใช่ราชันเซียนที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งที่สุด และไม่ใช่ราชันเซียนที่แข็งแกร่งมากที่สุด แต่หากจะว่ากันถึงด้านเคล็ดวิชาเกาทัณฑ์ เกรงว่าคงไม่มีราชันเซียนองค์ไหนสามารถเทียบเคียงกับเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะแซงล้ำหน้าเขาแล้ว
เนื่องเพราะเหตุนี้เอง เจี้ยนอู๋ซวงที่เป็นทายาทรุ่นหลังของราชันเซียนตี้อิเจี้ยน หากคิดจะแซงล้ำหน้าราชันเซียนตี้อิเจี้ยนในอนาคตล่ะก็ นางยังคงมีเส้นทางที่จะต้องก้าวเดินอีกไกลมาก และเป็นเส้นทางที่ยากเข็ญยิ่งนัก
เวลานี้ พลันสายตาของหลี่ชิเย่ได้ทำการล๊อกตำแหน่งของดวงดาวเอาไว้กะทันหัน กล่าวต่อธิดาราชันฉีหลินว่า “เจ้าไปบอกกล่าวให้กับตาเฒ่าของตระกูลราชันฉีหลินพวกเจ้าก่อน เมื่อข้าจัดการเรื่องราวที่ตรงนี้เสร็จสิ้น จะไปที่ตระกูลราชันฉีหลินพวกเจ้าทันที” กล่าวจบคำได้ล่องลอยจากไป
ธิดาราชันฉีหลินมองตามร่างของหลี่ชิเย่ที่จากไปไกล หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ละสายตากลับมา นางทอดถอนใจออกมาเบาๆ คำหนึ่ง จากนั้นได้ส่งข่าวนี้ออกไป