ตอนที่ 1814 จอมเทพ
เมื่อหลี่ชิเย่เข้ามาถึงแล้ว บรรดาระดับบรรพบุรุษที่นั่งอยู่บริเวณขั้นบันไดซ้ายขวาสองข้างต่างจ้องมองดูเจ้าหนูที่ดูธรรมดาผู้นี้ ความจริงแล้ว นาทีนี้ภายในใจของระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่ แทบคลั่งขึ้นมา เมื่อได้เห็นเจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้า
เนื่องจากพวกเขาได้ยินมาว่า เจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้าได้บดทำลายปณิธานของจอมเทพหนานหยางไป ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของเจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้าก็ดี หรือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้ลงมือก็ตาม
ถึงกับหาญกล้าบดขยี้ทำลายปณิธานของจอมเทพหนานหยางต่อหน้าผู้คนมากมาย เท่ากับไม่เห็นจอมเทพหนานหยางอยู่ในสายตา ถ้าหากว่าจอมเทพหนานหยางได้ตายไปแล้วก็ยังพอว่า แต่นี่จอมเทพหนานหยางยังคงมีชีวิตอยู่ เวลานี้ปณิธานของเขาถูกทำลาย นั่นเท่ากับว่าเป็นการประกาศศึกกับจอมเทพหนานหยาง พฤติกรรมเช่นนี้คือการท้าท้ายอำนาจของจอมเทพหนานหยางชัดๆ
ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเจ้าหนูที่เป็นมนุษย์ปุถุชนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับกล้าประกาศศึกกับจอมเทพ ต่อให้เป็นผู้ที่อวดดีและปราศจากผู้ต่อกรเพียงใดก็ไม่กล้าไปประกาศศึกกับจอมเทพ เวลานี้เขาถึงกับประกาศศึกกับจอมเทพ นั่นเป็นการบ่งบอกว่าตัวเขาแข็งแกร่งมาก ไม่ก็ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขานั้นแข็งแกร่งมาก
เมื่อหลี่ชิเย่เข้ามาถึงแล้ว ผู้เฒ่าที่นั่งสะลืมสะลืออยู่ข้างจอมเทพหนานหยางกับจอมเทพเชียนจวินจวินก็ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาในที่สุด
หลังจากที่เห็นหน้าหลี่ชิเย่แล้ว ผู้เฒ่าได้เผยรอยยิ้มที่มีอัธยาศัยไมตรี ยิ้มแต้กล่าวว่า “การมาเยือนของคุณชาย ทำให้ตระกูลราชันฉีหลินพวกเราดูดีขึ้นมากเลยทีเดียว วันนี้ ข้าฉีหลินกว่านลี่เป็นเจ้าภาพที่นี่ เพื่อสลายความสับสนวุ่นวายต่างๆ”
ถ้าหากบุคคลภายนอกได้ยินชื่อฉีหลินกว่านลี่ก็ต้องตกใจเช่นกัน แม้ว่าฉีหลินกว่านลี่จะไม่ใช่ระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขามีชื่อเสียงโด่งดัง ขณะที่เขายังอยู่ในวัยหนุ่ม เขาเป็นผู้ที่มีความสุขในเรื่องของบุญคุณความแค้น เคยท่องไปทั่วหล้า สร้างชื่อเสียงอำนาจเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว
มีการเล่าลือกันว่า เขาได้ก้าวสู่ระดับสวรรค์สัจธรรมมานานมากแล้วอีกทั้งมีพลังขมุกขมัวถึงสามพันล้านลิตรอยู่ในครอบครอง!
พลังขมุกขมัวสามพันล้านลิตรช่างเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเพียงใด เรียกได้ว่าสามารถใช้คำว่ามากมามหาศาลไม่มีสิ้นสุดมาเปรียบเปรย นี่เท่ากับกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูสู่ระดับจอมเทพแล้ว
กระทั่งมีข่าวลือว่า ฉีหลินกว่านลี่สามารถนำเอาสัจธรรมของตนหลอมรวมเข้าด้วยกันกับลัคนามานานแล้ว เขาเป็นระดับจอมเทพผู้หนึ่งแล้ว
ไม่ว่าฉีหลินกว่านลี่จะเป็นระดับจอมเทพหรือไม่ ในฐานะที่เป็นระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลิน ในฐานะที่เคยเย้ยหยันใต้หล้าและบุคคลผู้มากอำนาจอิทธิพลคนหนึ่ง การนั่งเคียงข้างจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เวลานี้ สายตาของจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินจวินต่างจับไปที่ตัวของหลี่ชิเย่ ขณะที่สายตาของพวกเขาลุกโชติช่วงขึ้น เสมือนหนึ่งเหล่าสัจธรรมถูกทำลาย ภายใต้อำนาจสูงสุดของพวกเขา ถึงกับทำให้ยอดฝีมือกระทั่งระดับบรรพบุรุษจำนวนมากบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านอยากจะก้มกราบกับพื้น
ในฐานะที่เป็นจอมเทพ ทั้งจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินจวินต่างก็ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลัวยิ่งนัก สามารถทำอะไรก็ได้ พวกเขาสามารถอาศัยความคิดแวบหนึ่งเผาทำลายฟ้า หรืออาศัยความคิดแวบหนึ่งต้มทะเลจนเดือด
ดังนั้น ขณะที่จอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินจวินจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่นั้น พวกเขาต่างไม่แสดงอาการโกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ไม่รู้ว่ามีระดับบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องสะท้านในใจนิดหนึ่งภายใต้อำนาจสยบของพวกเขา ซึ่งพวกเขาต่างเข้าใจได้ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับระดับจอมเทพแล้ว ข้างหน้าของพวกเขาต่างมีร่องที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
เวลานี้ ทั้งจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินจวินต่างละสายตาไปจากตัวของหลี่ชิเย่ พวกเขากวาดตามองไปทุกทิศทุกทางทั่วฟ้าดิน แต่ก็ไม่พบอะไร จึงได้ละสายตากลับมา
ทั้งจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินต่างรู้สึกฉงน เนื่องจากพวกเขาไม่พบพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรบนตัวของหลี่ชิเย่ ทักษะของหลี่ชิเย่นั้นชัดเจนมาก พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางของผู้บำเพ็ญตน พลังขมุกขมัวเพียงไม่กี่พันลิตรไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง
ควรจะทราบว่า ทั้งจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินต่างเป็นระดับปราศจากผู้ต่อกร ในฐานะที่เป็นถึงระดับจอมเทพ สายตาของพวกเขาล้วนแล้วแต่แหลมคมยิ่งนัก ถ้าหากหลี่ชิเย่มีทักษะที่ฝืนลิขิตสวรรค์คิดจะตบตาพวกเขาเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง
ดูจากทักษะแล้ว หลี่ชิเย่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนตัวน้อยๆ ระดับตะนอยสัจธรรมเท่านั้นเอง ซึ่งผู้บำเพ็ญตนระดับนี้ในชิงโจวมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
ตามหลักแล้ว ผู้บำเพ็ญตนระดับนี้ไม่สามารถทำลายปณิธานของจอมเทพหนานหยางได้อยู่แล้ว หากเป็นตามนี้จริง หนึ่งเดียวที่จะอธิบายได้ก็คือ มีบุคคลอื่นลงมือบดขยี้ทำลายปณิธานของจอมเทพหนานหยาง
“เจ้าหนู จอมเทพที่อยู่เบื้องหลังเจ้าให้เขาเผยตัวออกมาพบกันเถอะ!” เวลานี้ จอมเทพหนานหยางก้มมองหลี่ชิเย่ และกล่าวท่าทีเย็นชาขึ้นมา ท่าทีในเวลานี้ของเขาอำนาจไม่มีขอบเขตจำกัด พลันโกรธสามารถเผาผลาญฟ้าดินได้
จะไปโทษว่าจอมเทพหนานหยางชักสีหน้าใส่หลี่ชิเย่ก็ไม่ถูก การที่ปณิธานของเขาถูกทำลาย ถ้าหากเขาไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้วก็ว่าอย่าง แต่นี่เขายังคงมีชีวิตอยู่ เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาอย่างแรงฉาดหนึ่งเข้าให้
ในฐานะที่เป็นถึงจอมเทพผู้หนึ่ง ต่อให้เขาเป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนดีมากเท่าไรก็ตาม ต่อให้มีบุคลิกท่าทางที่งดงามเพียงใดก็ตาม การที่ถูกคนอื่นมาตบหน้าตนเข้าฉาดใหญ่ พวกเขาก็ยากจะกล้ำกลืนความอัปยศนี้เอาไว้ได้
กล่าวสำหรับระดับจอมเทพแล้ว การที่ลูกหลานคนหนึ่งถูกสังหารไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ จอมเทพคนไหนที่ไม่ได้มีลูกหลานเป็นพันเป็นหมื่น? แต่หากว่าตัวจอมเทพเองถูกใครเขาตบหน้าเข้าให้ฉาดใหญ่ มันก็อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
“ข้าแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น จอมเทพมาจากไหนกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “ดูท่าพวกเจ้านับว่าเสียทีที่อยู่กันมาถึงปูนนี้แล้วมันก็แค่ตาแก่ที่เลอะเลือนเท่านั้นเอง”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา บรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างร่างสั่นเทิ้มไปทีหนึ่ง พวกเขารู้สึกงงงัน เพราะคำพูดนี้ของหลี่ชิเย่มันยโส พาลเหลือเกิน คำพูดเช่นนี้เท่ากับเป็นการชี้หน้าด่าจอมเทพหนานหยางและจอมเทพเชียนจวินตรงๆ เลย
“บังอาจ…” พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ จอมเทพเชียนจวินได้ร้องตวาดเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
“ตูม” เสียงดังสนั่น เสี้ยววินาทีนี้เอง เสมือนดั่งคลื่นพันลูกทื่โหมกระหน่ำ อานุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกรดุจดั่งพายุร้ายที่น่ากลัวปราศจากผู้เทียบเทียมพุ่งเข้ามาหา โดยที่อานุภาพที่พุ่งเข้ามาได้หอบเอาพลังที่ทำลายล้างรุนแรกมาด้วย สามารถทำลายบรรดาระดับบรรพบุรุษจำนวนมากได้ในพริบตาเดียว
เรียกได้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ระดับธรรมมังสัจธรรม และปรัชญาสัจธรรม ภายใต้อานุภาพลักษณะเช่นนี้ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปโดยพลันไม่สามารถต้านทานกับอานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อยู่แล้ว
ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษทื่มีพลังอยู่ในระดับสวรรค์สัจธรรมเมื่อต้องเผชิญกับอานุภาพเช่นนี้แล้ว ก็ต้องมีท่าทีที่หวาดผวายิ่งนัก และยากที่จะต้านทานกับอานุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้
นี่คือระดับจอมเทพเลยเชียว ยามที่เขาโกรธขึ้นมาสามารถเผาผลาญท้องฟ้าต้มน้ำทะเลจนเดือดได้ เฉกเช่นพวกเขาที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถยื่นมือคว้าดวงดาว ยกมือขึ้นทำลายฟ้าดินจนแหลกลาญได้
“ตูม…ตูม…ตูม…” เสียงที่พุ่งชนดังขึ้นเป็นระลอก ต่อให้พลานุภาพที่สามารถโจมตีต่อท้องฟ้าได้โดยตรง สามารถกวาดเอาดวงดาวบนท้องฟ้าลงมาได้ แต่ยังคงหยุดอยู่แค่เบื้องหน้าของหลี่ชิเย่ โดยไม่สามารถขยับเข้าไปได้อีกแม้เพียงครึ่งก้าว! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพุ่งเข้าถึงตัวหลี่ชิเย่เลย ต่อให้เป็นพลานุภาพที่ทรงพลังมากกว่านี้ก็ไม่สามารถทำอันตรายหลี่ชิเย่ได้แม้เพียงน้อยนิด
ความคิดแวบหนึ่งสยบ เป็นหนึ่งในหกความคิดของตำราระลึก ซึ่งหลี่ชิเย่มีพลังที่แข็งแกร่งมากพอสามารถสกัดอานุภาพปณิธานของจอมเทพเชียนจวินเอาไว้ได้ ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้
นาทีนี่ ทั้งจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินจวินต่างอาศัยจิตสัมผัสค้นหาไปทั่วฟ้าดิน พวกเขาไม่พบว่ามียอดฝีมือผู้หนึ่งผู้ใดที่คอยลงมืออย่างลับๆ และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสกัดอานุภาพของจอมเทพเชียนจวินแทนหลี่ชิเย่
สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับจอมเทพเชียนจวินและจอมเทพหนานหยาง ผู้เยาว์ที่มีพลังขมุกขมัวเพียงแค่ไม่กี่พันลิตร เขาอาศัยอะไรมาสกัดกั้นอานุภาพของจอมเทพเชียนจวินกันแน่? หรือเขาจะมีสุดยอดอาวุธวิเศษในหล้าบนตัวอย่างนั้นรึ?
ถ้าหากจะบอกว่า ผู้เยาว์คนหนึ่งที่มีพลังขมุกขมัวเพียงแค่ไม่กี่พันลิตร แต่สามารถสกัดกั้นอานุภาพของจอมเทพเชียนจวินได้ คงมีเพียงชุดตัวอ่อนเซียนแท้จริงที่อยู่ในตำนานถึงจะมีความเป็นไปได้
แต่ทว่า นับแต่อดีตกาลที่ผ่านมาชุดตัวอ่อนเซียนแท้จริงเคยปรากฏเพียงห้าชุดเท่านั้น ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่งจะมีอยู่ในครอบครองได้อย่างไร!
“ฮึ…” แม้แต่จอมเทพหนานหยางก็ส่งเสียงเย็นชาออกมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่สามารถต้านอานุภาพเอาไว้ได้
นาทีนี้ แม้ว่าจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินต่างไม่ได้ลงมือ แต่ว่า บนตัวของพวกเขาได้เปล่งประกายที่เจิดจ้าละลานตามากขึ้นมา พวกเขาทั้งสองต่างปะทุอานุภาพสูงสุดที่สามารถเกรียงไกรทั่วอาณาจักรได้ พวกเขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถบงการสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตได้
นาทีนี้ จอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินทั้งสองคนอยู่ในฐานะสูงเด่น เหนือเก้าชั้นฟ้า รอบๆ กายของพวกเขาปรากฏกฎเกณฑ์ที่ดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทิ้งตัวลงมาเหมือนน้ำตก พริบตาเดียวนี่เอง พวกเขาได้ปรากฏตราประทับที่มีเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มีอยู่ในครอบครองออกมา แม้ว่าดวงตราสัญลักษณ์ของพวกเขายังไม่ทันได้ปรากฎ แต่ นาทีนี้พวกเขาเสมือนหนึ่งได้ควบคุมกฎเกณฑ์ของฟ้าดินเอาไว้ทั้งหมด เป็นผู้ควบคุมพลังในโลกยุคดึกดำบรรพ์ทุกอย่างเอาไว้
การที่จอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินพลันระเบิดอานุภาพของพวกเขาออกมา ควบคุมสัจธรรม ส่งผลให้บรรดาบรรพบุรุษทั้งหมดที่นั่งอยู่บริเวณบันไดทั้งสองฝั่งถึงกับหวาดผวาจนหน้าถอดสี เนื่องจากนาทีนี้พวกเขาต่างเข้าใจเป็นอย่างดี และรับรู้ถึงสัจธรรมของพวกตนถูกจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินสยบเอาไว้ พลังขมุกขมัวและพลังในโลกยุคดึกดำบรรพ์ได้ถูกสยบเอาไว้ในทันที
ภายใต้การสยบในลักษณะเช่นนี้ พวกเขายากจะสำแดงพลังขมุกขมัว พลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์ออกมาได้แม้แต่น้อย นั่นเป็นการบ่งบอกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินแล้วพวกเขาไม่สามารถขัดขืนได้เลย สุดแล้วแต่จะถูกเชือดเฉือนอย่างไรก็ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวิน
แม้จะกล่าวว่า บรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในระดับสวรรค์สัจธรรมแทบทั้งสิ้น กระทั่งถูกศิษย์ภายในสำนักเรียกยกย่องว่าเป็นผู้ได้รับการเคารพสูงสุด แต่เมื่อพวกเขาต้องเปรียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริงแล้วนับว่าห่างชั้นกันมากนัก พวกเขากับจอมเทพมีช่วงห่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ความห่างตรงนี้ไม่มีสิ่งใดมาชดเชยกันได้
“นับว่ามีอภินิหารบ้างโดยแท้” ในขณะนี้ จอมเทพหนานหยางที่อยู่สูงเด่นก้มมองดูหลี่ชิเย่ ดวงตาคู่นั้นของเขาดูลึกล้ำยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นหุบเหวลึกที่สยบจิตวิญญาณของผู้คนเอาไว้อย่างนั้น
ในเวลานี้ จอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินยังไม่ทันลงมือก็สามารถสยบจิตวิญญาณ และสั่นคลอนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรตนของผู้คนได้แล้ว อาศัยอานุภาพของจอมเทพมาสยบหลี่ชิเย่
ความจริงแล้ว การอาศัยการโจมตีด้วยจิตวิญญาณชุดนี้ไม่มีผลอะไรกับหลี่ชิเย่แต่อย่างไร พูดถึงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร พูดถึงจิตวิญญาณ พูดถึงปณิธาน ในโลกนี้ยังจะมีใครสามารถแข็งแกร่งมากไปกว่าเขาอีก?
“ฝีมือเด็กๆ เท่านั้นเอง” สำหรับการสะกดจิตวิญญาณของจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหลี่ชิเย่แม้เพียงน้อยนิด เขายิ้มตามอารมณ์ออกมา
“ตูม ตูม ตูม…” พริบตาเดียวนั้นเอง เสียงดังตูมตามดังขึ้น จากการที่บังเกิดความคิดขึ้นมา บนพื้นดินปรากฏของเหลวทองคำผุดขึ้นมาช้าๆ
ทันใดนั้น บนพื้นดินพวยพุ่งเป็นน้ำพุทองค่ำขึ้นมา น้ำพุทองคำดังกล่าวค่อยๆ ยกตัวหลี่ชิเย่ให้ลอยขึ้น ๆ จนยกสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
“กรรร…” เสียงร้องคำรามจากมักรยักษ์ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน นาทีนี้เอง น้ำพุทองคำที่พวยพุ่งขึ้นมานั้นปรากฎมังกรทองขนาดยักษ์ยากจะเทียบเทียมพุ่งตัวออกมา
มังกรทองขนาดยักษ์ที่พุ่งออกมานั้นหาใช่เป็นเพียงเงาเท่านั้น แต่เป็นมังกรทองที่แท้จริง เนื้อตัวทั้งตัวของมันดุจดั่งหล่อขึ้นมาจากทองคำ “ตูม” เสียงดังสนั่น มันได้ฉีดพ่นกลิ่นอายมังกรออกมาทั้งตัว กลิ่นอายมังกรยุคดึกดำบรรพ์เก่าแก่โบราณได้ประกาศให้รับรู้ว่า มันคือกษัตราในยุคดึกดำบรรพ์!