ตอนที่ 1822 เซียนหวังเย่หลิน
เซียนหวังเย่หลินเป็นชื่อที่ทำให้สิบสามทวีปต้องตกใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง มีสิบเอ็ดลัคนา สิบเอ็ดชะตาฟ้าในครอบครอง นางเคยเกรียงไกรไปทั่วสิบสามทวีป เคยท้าสู้กับบรรดาเทพและเหล่าราชัน นางเคยเย้ยหยันต่อสิบสามทวีป!
ในขณะนี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิล้วนแล้วแต่คุกเข่าก้มกราบกับพื้น แม้แต่ศิษย์และยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินก็ทยอยกันคุกเข่าก้มกราบกับพื้น บรรดาระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็จ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสะเทือนหวั่นไหว พวกเขาต่างไม่รู้ในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เซียนหวังของพวกเขาสำแดงเดชขึ้นมา
แน่นอนเซียนหวังเย่หลินที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เซียนหวังเย่หลินที่แท้จริง ถ้าหากเซียนหวังเย่หลินตัวจริงมาล่ะก็ยังจะเหลือรึ
เซียนหวังเย่หลินที่เห็นอยู่ตรงหน้าเกิดจากการสร้างขึ้นมากับมือของหลี่ชิเย่ แรกทีเดียวหลี่ชิเย่เพียงอาศัย “แวบหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์สรรพสิ่ง” สร้างร่างดงามของเซียนหวังเย่หลินขึ้นมา
ในเวลานี้ พลังที่ร่างเงานี้สำแดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นปณิธานของหลี่ชิเย่ เมื่อจอมเทพเชียนจวินได้นำชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันออกมาใช้แล้ว หลี่ชิเย่จึงนำเอาปณิธานและจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้ามาประทับสลักลงบนร่างเงานี้โดยตรง ทำให้พลังของร่างเงานี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายในชั่วพริบตาเดียว ภายใต้ปณิธานที่ไม่ยอมให้ผู้ใดขัดขืนได้อย่าง เด็ดขาดของหลี่ชิเย่ ทำให้ร่างเงานี้มีชีวิตขึ้นในทันที
จังหวะที่หลี่ชิเย่ได้ระเบิดพลังที่ไม่ยอมให้ผู้ใดขัดขืนได้อย่าง เด็ดขาดนั้น พลันสามารถเชื่อมต่อกับปณิธานและจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินได้ จึงสามารถเรียกร่างเงานี้มาได้ และทำให้ร่างเงานี้มีปณิธานและจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินในทันที
สมควรจะทราบว่าเซียนหวังเย่หลินคือเซียนหวังของตระกูลราชันฉีหลิน สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่นางเกิด สถานที่ที่เลี้ยงดูนาง และเป็นสถานที่ที่นางได้ฝึกและเจริญเติบโต พื้นที่ทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่ได้ฝากรอยเท้าของเซียนหวังเย่หลินเอาไว้ ช่องว่างทุกตารางนิ้วของที่นี้ล้วนแล้วแต่เคยได้รับการปลุกเสกป้องกัน่จากเซียนหวังเย่หลินเอาไว้
เรียกได้ว่า ในตระกูลราชันฉีหลินทุกแห่งหนล้วนแล้วแต่มีปณิธานของเซียนหวังเย่หลินทิ้งเอาไว้ ทุกๆ ที่ล้วนแล้วแต่ มีจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินทิ้งเอาไว้ สถานที่ลักษณะเช่นนี้แหละไม่มีจุดไหนที่ไม่มีร่อยรอยของเซียนหวังเย่หลินที่ได้ทิ้งเอาไว้
เมื่อปณิธาน และจิตที่ยึดติดของเซียนหวังเย่หลินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในพริบตาเดียว พลังทั้งหมดที่นางได้คงเอาไว้ในตระกูลราชันฉีหลินพลันถูกเสกลงบนตัวร่างเงานั้นทันที พลังที่ปราศจากผู้ต่อกรของเซียนหวังเย่หลินจึงได้กลับกลายเป็นชะตาฟ้าสิบเอ็ดสาย แขวนอยู่เหนือศีรษะของร่างเงานั้น
นาทีนี้จึงเปรียบประดุจเซียนหวังเย่หลินมาด้วยตนเองอย่างนั้น ทุกการเคลื่อนไหวจึงปราศจากผู้ต่อกร ขณะที่ลืมตาหรือหลับตาก็คือสุริยันจันทราทิวาราตรี! ภายใต้พลังของนาง ต่อให้เป็นจอมเทพก็ดูเล็กจิ๋วยิ่งนัก!
เมื่อจอมเทพหนานหยางมองเห็นภาพนี้แล้วให้รู้สึกหวั่นไหวในใจอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้ที่เคยเห็นเซียนหวังเย่หลินมาก่อน มาวันนี้ได้พบเห็นอีกครั้ง ท่าทางที่ล้ำเลิศของนางยังคงสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนอย่างนั้น
ดวงตาทั้งสองของเซียนหวังเย่หลินที่เพ่งไปข้างหน้า เสมือนหนึ่งดวงดาวที่ส่งประกายเจิดจ้า ส่องแสงสว่างไสวไปตลอดกาล เวลานี้ พลันที่มือขาวๆ ที่เรียวยาวกางออก ปรากฎเป็นท้องฟ้าที่คลาคล่ำด้วยดวงดาวแต่ละแห่งขึ้นบนฝ่ามือของนาง นาทีนี้ ม่านราตรีไม่เพียงแค่ปกคลุมกาลเวลาบริเวณนี้เท่านั้น ยามเมื่อม่านราตรีตกลงมาได้ครอบคลุมกาลเวลานับล้านล้านกาลเวลา ครอบคลุมยุคแล้วยุคเล่า สายน้ำแห่งกาลเวลาทั้งสายก็ถูกครอบคลุมเอาไว้โดยม่านราตรีของนาง
ม่านราตรีที่วางซ้อนกันไปมาหลายชั้นได้ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ครอบคลุมตรีสหัสโลกธาตุ ขณะที่ม่านราตรีที่วางซ้อนกันไปมาหลายชั้นได้ปรากฏขึ้นมากลับกลายเป็นหนาและหนักมากจนไม่สามารถประเมินได้ ยามที่ม่านราตรีนี้ตกลงมา เหล่าสวรรค์และเทพมารล้วนแล้วแต่ถูกบดขยี้จนกลายเป็นเถ้าธุลีไป
“ไม่” จอมเทพเชียนจวินคำรามเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นการลงมือของเซียนหวังเย่หลิน นาทีนี้เขาถึงกับเผาผลาญเลือดวัฒนะของตน เผาผลาญพลังขมุกขมัวของตน
แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ ลองนึกภาพดู พลังปลุกเสกปกป้องของเซียนหวังเย่หลินบวกกับปณิธานที่ไม่ยอมให้ผู้ใดขัดขืนได้อย่างเด็ดขาดของหลี่ชิเย่ มันคือพลังที่เด็ดขาดซึ่งสามารถบดขยี้ทุกสิ่งบนโลกนี้ได้ ความน่ากลัวของพลังลักษณะเช่นนี้คือระดับจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด หาใช่จอมเทพที่ไม่มีแม้กระทั่งการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงสามารถต้านทานเอาไว้ได้
“คร๊ากก” เสียงแตกร้าวดังขึ้น ในเวลานี้เรื่องที่เหลือเชื่อได้บังเกิดขึ้นแล้ว ชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันถึงกับปรากฎรอยร้าวเป็นริ้วๆ ขึ้นมา
เวลานี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของจอมเทพเชียนจวินปรากฎเลือดที่ซึมออกมา ร่างกายของเขาก็ปรากฎรอยแยกเป็นริ้วๆ เช่นกัน มองดูแล้วก็เหมือนเครื่องปั้นดินเผาที่แตกลายงาอย่างนั้น
เสียง “ปัง” ดังขึ้น นาทีนี้แม้แต่ชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่ จึงแตกละเอียดไปทันที
“อ๊ากก” เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น ขณะชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันแตกละเอียดไป ต่อให้จอมเทพเชียนจวินมีอภินิหารที่ยอดเยี่ยมมากไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ ถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไปในพริบตา สุดท้ายหมอกเลือดค่อยๆ ล่องลอยกระจายออกไป ไม่เหลือแม้แต่ซาก
จอมเทพที่สง่างามคนหนึ่ง ต้องมาตายอย่างอนาถเช่นนี้ ไม่เหลือแม้แต่ซาก
บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ทำให้พวกเขาตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างโดยพลัน
นี่มันคือชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันเลยนะ ถึงกับถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดไปดื้อๆ จอมเทพที่แข็งแกร่งยิ่งซึ่งมีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงก็ถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไป มันช่างเป็นภาพที่น่ากลัวอะไรปานนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตของพวกเขาคงยากจะลืมเลือนภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไปได้ ซึ่งจะเป็นความเจ็บปวดในใจที่ไม่อาจลบเลือนไป
ในเวลานี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิทั้งหมดที่อยู่นเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่ก้มกราบอยู่กับพื้น สยบทั้งกายใจ แทบจะอัมพาตอยู่ตรงนั้น กระทั่งความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองยังไม่มี
แม้แต่จอมเทพหนานหยางเองก็มีสีหน้าที่ขาวซีด เขารู้ดีถึงกำลังความสามารถของจอมเทพเชียนจวิน บวกกับบนตัวของเขาที่ได้สวมชุดตัวอ่อนอินทนิลจอมราชันเข้าไปอีก กล่าวได้ว่าต่อให้จอมเทพเชียนจวินแม้ไม่ได้มีการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงอยู่ในครอบครอง แต่เขายังคงแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ว่า เวลานี้กลับถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไป
เวลานี้ ทั่วฟ้าดินเสมือนหนึ่งตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ มองดูภาพเหตุการตรงหน้าอย่างเงียบๆ แต่ว่า ผู้คนจำนวนมากเมื่อแอบมองแวบหนึ่งแล้วก็รีบก้มศีรษะลง ไม่เว้นแม้กระทั่งระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลิน
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนอาสน์ราชัน มองดูเซียนหวังเย่หลินที่มีสุดยอดบุคลิก ภาพเหตุการณ์แต่ละฉากได้ผุดขึ้นกลางใจของเขา รอยยิ้มและท่าทางขมวดคิ้วที่ผ่านมา เหมือนดั่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานอย่างนั้น
แต่ว่า ทุกสิ่งกลับกลายเป็นอยู่ห่างไกลยิ่งนัก ห่างกันคนละฟากฟ้าไม่สามารถพบกันได้อีกนับจากนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาที่มีวิธีการที่ไม่มีผู้ใดเทียมก็ตาม หรือว่าเซียนหวังเย่หลินที่ปราศจากผู้ต่อกร ก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไปไม่ได้!
ร่างเงาของเซียนหวังเย่หลินในขณะนี้ก็จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ยามที่พวกเขาทั้งสองสบตากันนั้น เหมือนว่ากาลเวลาได้หยุดนิ่งอย่างนั้น แค่มองแวบเดียวนี้ก็คือพันปี ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หยุดนิ่ง สายลมแผ่วเบาไม่กล้ารบกวนพวกเขาจึงหยุดนิ่ง วันเวลาไม่กล้ารบกวนพวกเขาจึงหยุดการเคลื่อนไหว
ทั่วบริเวณตระกูลราชันฉีหลิน ก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาสักคำ กระทั่งไม่กล้าหายใจแรง เวลานี้ไม่มีใครกล้าทำลายความเงียบสงบที่เป็นนิรันดร์นี้
สุดท้าย ร่างเงาของเซียนหวังเย่หลินได้ละสายตากลับมา นางหันหลังแล้วเดินไปอย่างช้าๆ หายเข้าไปภายในตระกูลราชันฉีหลิน กลับคืนสู่ฟ้าดิน หายไปโดยไร้รองรอย จะอย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่เซียนหวังเย่หลิน นางเป็นเพียงปณิธานและจิตที่ยึดติดที่หลงเหลืออยู่ในตระกูลราชันฉีหลินเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ มองดูเซียนหวังเย่หลินที่หายเข้าไปในตระกูลราชันฉีหลิน เรื่องราวบางเรื่องบนโลกช่างเป็นเรื่องที่จนด้วยเกล้า คนบางคน เรื่องบางเรื่องไม่ทันแม้กระทั่งกล่าวคำอำลา แม้แต่โอกาสที่จะกล่าวคำอำลาก็ไม่มี
ขณะที่เซียนหวังเย่หลินหายเข้าไปภายในตระกูลราชันฉีหลิน ผู้คนจำนวนมากจึงแอบหายใจด้วยความโล่งอก ยามที่อานุภาพเซียนหวังที่มีสิบเอ็ดชะตาฟ้าตลบอบอวลอยู่ทุกๆ ตารางนิ้วของตระกูลราชันฉีหลินนั้น ทำให้ทุกคนต่างหายใจไม่สะดวก เป็นการสยบให้ทุกคนต้องก้มกราบกับพื้นโดยตรง
เสียง “ตูม” ดังสนั่น ในขณะที่ทุกคนกำลังหายใจด้วยความโล่งอกอยู่นั้น เสียงดังสนั่นที่ดังขึ้นกะทันหัน เสมือนหนึ่งกาลเวลาถูกทำลายอย่างนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียว ปรากฏภายในตระกูลราชันฉีหลินได้มีกฎเกณฑ์เซียนหวังที่ทิ้งตัวลงมา อานุภาพเซียนหวังที่น่าเกรงขามและไม่มีสิ้นสุดตลบอบอวลไปทั่วตระกูลราชันฉีหลิน อีกทั้งอานุภาพเซียนหวังที่น่าเกรงขามปราศจากผู้ต่อกรสายนี้ยังเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา มีเลือดมีเนื้อ คล้ายดั่งเซียนหวังมาด้วยตนเองอย่างนั้น
แม้ว่าทุกคนที่อยู่ในตระกูลราชันฉีหลินล้วนแล้วแต่ไม่ได้เห็นการปรากฏตัวของเซียนหวัง แต่ในความรู้สึกของทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า ในเวลานี้มีเซียนหวังองค์หนึ่งอยู่ภายในตระกูลราชันฉีหลิน
“ท่านบรรพบุรุษ” ครั้นระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลิน รับรู้ถึงอานุภาพเซียนหวังที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาแล้วนั้น ถึงกับร้องออกมาด้วยความหวาดผวา
“ปฐมบรรพบุรุษ” ในขณะนี้ ไม่รู้ว่าศิษย์และยอดฝีมือของตระกูลราชันฉีหลินจำนวนเท่าไรที่ถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหว ต่างทยอยกันคุกเขาลงกราบกับพื้น
“เซียนหวังฉีหลิน” เวลานี้ บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่บริเวณสองฟากซ้ายขวาของบันไดหินถึงกับผวา ทำเอาพวกเขาต้องตกใจจนงุนงง เพิ่งจะส่งเซียนหวังเย่หลินไปหยกๆ เวลานี้ก็ต้องมาต้อนรับเซียนหวังฉีหลินอีกองค์
เซียนหวังฉีหลินคือปฐมบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลิน เป็นเซียนหวังที่มีสิบลัคนา แปดชะตาฟ้า แม้ว่าเขาไม่นับเป็นเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็นับเป็นผู้ที่โดดเด่นในบรรดาเซียนหลัง นับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลราชันฉีหลินกระทั่งถึงปัจจุบัน เขายังคงมีชีวิตอยู่บนโลก เพียงแต่ปลีกตัวออกจากโลกภายนอกไม่ปรากฎตัวออกมาเท่านั้น เล่าลือกันว่าเป็นการปลีกตัวในดินแดนสืบค้นไม่ปรากฎตัวบนโลกมนุษย์เวลานี้
มาวันนี้ การปรากฏตัวของเซียนหวังฉีหลินอย่างกะทันหัน ไม่เพียงสร้างความตกอกตกใจให้กับบรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็ตื่นตระหนกเช่นกัน ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขามีเซียนหวังปรากฏตัวออกมาถึงสององค์ในวันเดียว ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนเหลือเกิน ในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
“หนานหยางรับราชโองการ!” บนท้องฟ้าได้ส่งเสียงที่น่าเกรงขามลงมา เซียนหวังฉีหลินไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่เขาได้ให้ความสนใจต่อตระกูลราชันฉีหลินจากระยะที่ห่างไกล และมีราชโองการลงมา
จอมเทพหนานหยางถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงที่ที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ทั้งกลิ้งทั้งคลานรีบเร่งก้าวลงจากตำหนัก และก้มกราบอยู่กับพื้น ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง และกล่าวว่า “ศิษย์อกัตตัญญูหนานหยางรับการสอนสั่งจากท่านอาจารย์!”
บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกตะลึง เมื่อได้ยินคำพูดของจอมเทพหนานหยาง ทุกคนต่างรู้ดีว่าจอมเทพหนานหยางเป็นจอมเทพองค์หนึ่ง แนต่เขาถึงกับเป็นศิษย์ของเซียนหวังฉีหลิน ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่เคยได้ยินจอมเทพหนานหยางเอ่ยถึง และไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้
ความจริงแล้ว จอมเทพหนานหยางนับเป็นศิษย์ของเซียนหวังฉีหลินแค่ครึ่งตัวเท่านั้น เพราะเซียนหวังฉีหลินไม่เคยรับจอมเทพหนานหยางเป็นศิษย์ และไม่ได้ยินยอมรับเขาเข้าเป็นศิษย์ของสำนัก เพียงแต่ในวัยหนุ่มของจอมเทพหนานหยางเคยกราบคารวะเซียนหวังฉีหลินที่ปลีกตัวจากโลกภายนอก และได้รับการชี้แนะจากเซียนหวังฉีหลิน
ดังนั้น จอมเทพหนานหยางก็ไม่กล้าประกาศกับบุคคลภายนอกว่าตัวเองเป็นศิษย์ของเซียนหวังฉีหลิน ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงนำความเสื่อมเสียมาสู่เซียนหวังฉีหลิน ภายในใจของจอมเทพหนานหยางนับถือเซียนหวังฉีหลินเป็นอาจารย์ จะอย่างไรเสียเซียนหวังฉีหลินเคยชี้แนะด้านการฝึกให้กับเขา พวกเขานับว่าเป็นศิษย์อาจารย์โดยแท้จริง