ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1845 จอมเทพเปิดศึก

ตอนที่ 1845 จอมเทพเปิดศึก

ตอนที่ 1845 จอมเทพเปิดศึก
จอมเทพสององค์ประจันหน้ากัน จอมเทพเสินกงสำแดงอานุภาพออกมาเต็มที่ ประกายที่เปล่งออกมาดั่งกระบี่เทวะที่ผ่าท้องฟ้าจนแยกออกมา หลักกฎเกณฑ์และสัจธรรมปะทุขึ้นไปบนท้องฟ้าดั่งน้ำตก ท่วงท่าของเขาเหมือนเป็นผู้บงการสวรรค์ ทุกความเคลื่อนไหวของเขาสามารถทำลายฟ้าดิน ความคิดแวบหนึ่งสามารถเผาแม่น้ำต้มทะเลให้เดือดได้

ขณะที่จอมเทพท่าซิงกลับดูธรรมดามาก ดูไปแล้วเสมือนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ข้างบ้าน ไม่มีท่าทีที่สะเทือนฟ้าแต่อย่างใด ไม่มีอานุภาพที่สยบผู้คน เขายืนตัวตรงอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนเป็นทวนเล่มหนึ่งที่ปักอยู่ตรงนั้น ร่างกายที่กำยำสูงใหญ่ของเขาดั่งภูเขาลูกหนึ่ง แค่เขายืนตามอารมณ์อย่างนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้

“เห็นทีวันนี้การต่อสู้ระหว่างข้ากับสหายท่าซิงคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว” จอมเทพเสินกงพูดขึ้นมาช้าๆ ทุกถ้อยคำที่เตือนด้วยความหวังดี ทำถ้อยคำหนักแน่นจริงจังเปี่ยมด้วยพลัง

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จอมเทพท่าซิงยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “สหายเสินกงก็คิดที่จะได้ตาเฒ่าอย่างข้ามาทดสอบฝีมือมิใช่รึ เพื่อทดสอบเคล็ดวิชาใหม่ที่สหายเพิ่งจะบรรลุขึ้นมาใหม่”

“ดูท่าสหายท่าซิงมีข่าวคราวที่รวดเร็ว” เสียงของจอมเทพเสินกงดั่งเสียงฟ้าร้อง กล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้สหายถึงกับรับรู้ได้รวดเร็ว ช่างเป็นผู้ที่ช่างสังเกตและวิเคราะห์ได้ดี”

“เรื่องนี้หาใช่เป็นความลับแต่อย่างใด” จอมเทพท่าซิงกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ครั้งนั้นท่านเข้าไปยังพื้นที่ดึกดำบรรพ์ ไม่อยู่ในถิ่นของตัวเองอีกต่อไป และหายสาบสูญไร้ข่าวคราวนับแต่นั้นเป็นต้นมา วันนี้กลับสู่โลกปัจจุบันอีกครั้งย่อมบ่งบอกว่าสหายคงได้รับวาสนาประหลาด ได้รับดอกผลมาแน่นอน สามารถทำให้สหายกลับสู่โลกีย์มนุษย์อีกครั้งได้ สหายจะต้องได้วาสนาประหลาดมาไม่น้อย สหายคงต้องการสำแดงความสามารถออกมาให้ประจักษ์!”

บรรดาผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน หลายคนแอบรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดโต้ตอบระหว่างจอมเทพท่าซิงและจอมเทพเสินกง ที่แท้ การที่จอมเทพเสินกงหายสาบสูญไปนานเป็นเพราะได้พานพบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เข้า

เป็นที่ทราบกันดีว่า จอมเทพเสินกงคือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงอยู่ในความครอบครองแล้ว อีกทั้งยังเป็นดวงตราสัญลักษณ์ที่ประสานเข้าด้วยกัน ในฐานะที่เป็นจอมเทพมีอันดับ เคล็ดวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นมา หรือของวิเศษที่เขาหลอมสร้างขึ้น คงไม่ด้อยไปกว่าของจอมราชันเซียนหวังทั่วไป!

เวลานี้ จอมเทพเสินกงกลับได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่าต้องมีความยอดเยี่ยมมากเท่าไร? มิฉะนั้นล่ะก็ ทั่วๆ ไปแล้วคงไม่อยู่ในสายตาของเขา! สิ่งนี้แหละที่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ มันคืออะไรกันแน่นะที่คู่ควรให้จอมเทพองค์หนึ่งไต้องไปฝึกฝนอย่างหนักเช่นนี้เล่า

“เอาเถอะ บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเราสองตระกูลสมควรจะชำระกันได้แล้ว” จอมเทพเสินกงได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรมันออกจะเล็กไปนิดหนึ่ง ภาษิตว่าไว้ว่า เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้ การศึกระหว่างข้ากับท่าน ผู้ชนะกินเรียบ ส่วนบุญคุณความแค้นที่ผ่านมาก็ปล่อยให้มันผ่านไปก็แล้วกัน”

“ก็ดี วันนี้ก็คิดบัญชีรวมก็แล้วกัน” จอมเทพท่าซิงก็ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าหากข้าแพ้ ทุกสิ่งทุกอย่างในตระกูลเผิงเป็นของตระกูลขุนนางโบราณตงกง”

ภายในใจของทุกคนต่างกระตุกนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินคำกล่าวของจอมเทพสององค์ นี่เป็นการเดิมพันที่สูงมาก ทั้งสองฝ่ายต่างเดิมพันด้วยทรัพย์สินของสองตระกูลที่มีมาหลายแสนปี!

แน่นอน กล่าวสำหรับจอมเทพเช่นพวกเขานั้น ทรัพย์สินของตระกูลไม่นับเป็นอะไร ทั้งสองฝ่ายต้องการตัดสินใครแพ้ใครชนะเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างเหมือนเห็นสิ่งที่ชอบแล้วคันไม้คันมืออยากลอง!”

ทุกคนไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิด ศึกครั้งนี้ยังไรเสียก็ต้องเกิด เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ภาษิตว่าไว้ดีมาก เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้ ตระกูลเผิงก็ดี ตระกูลขุนนางโบราณตงกงก็ช่าง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสื่อมถอยลง ท่ามกลางเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรนี้ หากทั้งสองฝ่ายต้องการผงาดขึ้นมาอีกครั้ง จะต้องเกิดศึกขึ้นแน่ เวลานี้จอมเทพของทั้งสองฝ่ายต่างปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ย่อมมีทีท่าจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา การประลองระหว่างกันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเผิงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตระกูลขุนนางโบราณตงกงเป็นเผ่าสวรรค์ หากทั้งสองฝ่ายต้องการมีความเจริญรุ่งเรืองในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรล่ะก็ ความขัดแย้งระหว่างกันยิ่งยากที่จะรอมชอมกันได้

ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีก่อนจอมเทพท่าซิงได้สังหารจอมเทพกงเฉิงของตระกูลขุนนางโบราณตงกงกับมือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค้นยิ่งใหญ่นี้เกรงว่าตระกูลขุนนางโบราณตงกงไม่สามารถลืมเลือนได้ตลอดกาล สิ่งนี้ไม่เพียงแค้นของตระกูลเท่านั้น ยังเป็นแค้นของเผ่าพันธุ์อีกด้วย ทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับที่ไม่อาจทำใจให้สงบแล้วจับมือเลิกราต่อกันได้อีกแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของจอมเทพเสินกง หรือศิษย์ของตระกูลเผิงต่างรู้สึกหัวใจที่เต้นกระตุกทีหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดบรรพบุรุษของตน กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วไม่รู้ว่าควรจะตกใจหรือดีใจกันแน่

สงครามในครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินถึงอนาคตของพวกเขา ถ้าหากบรรพบุรุษของตนเป็นฝ่ายชนะ ย่อมเป็นการต้อนรับการผงาดขึ้นมา กระทั่งสามารถเป็นหนึ่งในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักร แต่หากว่าบรพพบุรุษของตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาจะไม่เหลืออะไรอีกเลย จะไม่มีที่ยืนในเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรสำหรับพวกเขา

ในเวลานี้ ศิษย์ทั้งสองฝ่ายต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ และแอบอธิฐานภายในใจ ขอให้บรรพบุรุษของตนสามารถเอาชนะในศึกสงครามครั้งนี้ได้

ความรู้สึกในลักษณะเช่นนี้ ทำให้ศิษย์ทั้งสองฝ่ายทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ

“สหาย พวกเราไปต่อสู้กันบนอวกาศเถอะ” หลังจากที่มีการตกลงกันแล้ว จอมเทพเสินกงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ พลันที่กล่าวขาดคำ เหินฟ้าขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

“ก็ดี บนอวกาศสงบดี แม้ไม่ทันระวังทำให้สิ่งต่างๆ เกิดความเสียหายก็คือบาปกรรมเสียแล้วหละ” จอมเทพท่าซิงถึงกับหัวเราะ และก้าวเท้าก้าวเดียวขึ้นไปบนอวกาศที่ไกลโพ้น

จอมเทพทั้งสองกำลังจะระเบิดศึกแห่งความเป็นความตายขึ้น แต่ทั้งคู่ยังคงสุภาพต่อกันยิ่งนัก ไม่มีฝ่ายไหนที่แสดงอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคนใจกว้าง การพูดการจาระหว่างกันก็สุภาพ เหมือนหนึ่งเป็นสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีอย่างนั้น

อาศัยจิตใจเช่นนี้ก็เป็นที่เคารพเลื่อมใสกันแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่การพูดการจายังคงสง่างามอะไรขนาดนี้ ท่วงท่ายังคงสุดยอดในหล้า ไม่เสียทีที่เป็นจอมเทพมีระดับ มีเพียงจิตใจเช่นนี้จึงคู่ควรและสมฐานะจอมเทพของพวกเขา

“ไป ไปดูกัน…” ในขณะนี้ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่มีกำลังแข็งแกร่งพอต่างทยอยกันเหินฟ้าตามขึ้นไป เปิดเนตรฟ้าออกมามองดูจากระยะห่างไกล พวกเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ด้วยเกรงว่าหากไม่ทันระวังแล้วถูกลูกหลง จะต้องมลายเป็นเถ้าธุลีไป

“รีบกลับไป ให้ท่านบรรพบุรุษเปิดคันฉ่องสวรรค์ขึ้นมา!” มีผู้เยาว์ที่เห็นจอมเทพเหาะขึ้นไปบนอวกาศจึงหันหลังออกวิ่งกลับสำนักตนไปทันที เพื่อให้บรรพบุรุษของตนเปิดคันฉ่องสวรรค์ไว้ดูการต่อสู้

บนอวกาศ ณ สถานที่ที่ห่างไกลและเงียบสงบบนอวกาศที่ไกลโพ้น เห็นเพียงจอมเทพสององค์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ที่ตรงนั้นมีดวงดาวขนาดยักษ์ที่ดูวิเวกวังเวงอยู่ดวงหนึ่ง และยังมีลูกอุกาบาตขนาดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยล่องอยู่ และที่ตรงนี้ยังมีทางช้างเผือกที่ล้อมรอบ ดวงตะวันจันทราที่ผ่านเข้าออก

การต่อสู้ระดับจอมเทพเช่นนี้ เป็นการต่อสู้ที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก จำเป็นต้องอาศัยอวกาศที่ห่างไกลเป็นสถานที่ต่อสู้ มิฉะนั้นล่ะก็ สถานที่เฉกเช่นเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรเกรงว่าคงไม่สามารถรองรับกับพลังของพวกเขา พร้อมที่จะถูกทำให้ต้องเสียหายได้ทุกเวลา!

เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในสถานะอย่างพวกเขา ถ้าหากไม่มีสุดยอดสนามรบโบราณล่ะก็ มีทางเดียวคือต้องไปต่อสู้ยังอวกาศ สนามรบโบราณทั่วไปก็ไม่สามารถรองรับพลังของพวกเขา ยามที่พวกเขาสำแดงพลังถึงขีดสูงสุด บางครั้งสนามรบโบราณทั่วไปอาจจะพังทลายลงได้

ในขณะนี้ ระดับผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนต่างเปิดเนตรฟ้าขึ้นมาดูชมการต่อสู้ และมีสำนัก ตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยทยอยกันเปิดคันฉ่องสวรรค์ เพื่อส่องไปยังอวกาศด้านนี้ เพื่อชมการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าซึ่งกำลังจะระเบิดขึ้นผ่านคันฉ่องสวรรค์ของพวกเขา

“สายเลือดเก้ากระถางของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นสิ่งที่เปี่ยมด้วยตำนานเสมอมา วันนี้ได้มีโอกาสรับการชี้แนะ ก็ไม่เสียทีกับการต่อสู้ในครั้งนี้แล้ว” ท่ามกลางอวกาศ จอมเทพเสินกงที่มีดวงตาซ้ายเป็นจันทรา ดวงตาข้างขวาเป็นสุริยัน ฉับพลันนั้นได้พวยพุ่งเป็นประกายที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา ประกายทั้งสองสายนี้เสมือนหนึ่งต้องการกลับกลายเป็นหยินหยางอย่างนั้น

บรรดาผู้ที่สามารถมองเห็นภาพนี้ด้วยสายตาตนเองถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ สายเลือดเก้ากระถางนับเป็นหนึ่งในแปดเลือดโบราณ ใครบ้างหละจะไม่ต้องการได้เห็นกับตาของตนเองกันเล่า ขนาดเลือดบรรพบุรุษก็นับว่ามีความปราดเปรื่องน่าทึ่งมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลือดโบราณอีกแล้ว

ที่สำคัญที่สุดก็คือ สายเลือดเก้ากระถางคือหนึ่งในสองเลือดสำคัญภายใต้สายเลือดราชามนุษย์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เนื่องจากเลือดเซียนที่เป็นของสายเลือดราชามนุษย์ปรากฎขึ้นครั้งแรกบนตัวของราชามนุษย์ลิ่วเต้า ขณะที่ราชามนุษย์ลิ่วเต้าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่าเลือดเซียนราชามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ร้อยชาติพันธุ์ก็อาจมีเลือดเซียนราชามนุษย์ที่ยู่ในกลุ่มของสายเลือดสายนี้ที่มีอยู่ทั้งหมด แต่ว่า กลุ่มของสายเลือดสายนี้ที่ทรงอานุภาพมากที่สุดยังคงปรากฎอยู่บนตัวของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เช่นเดียวกับกลุ่มของสายเลือดเสินหย่งจะเป็นสายเลือดสำหรับเผ่าเทพ กลุ่มของสายเลือดเทียนฉวนจะเป็นสายเลือดสำหรับเผ่าสวรรค์ และกลุ่มของสายเลือดหมอฟงก็จะเป็นสายเลือดของเผ่ามาร

แม้ว่าภายหลังแต่ละเผ่าหรือชาติพันธุ์จะมีการเกี่ยวดองสมรสกันและกัน ทำให้สายเลือดเกิดการไขว้กันไปมา เป็นต้นว่าบนตัวของลูกหลานมนุษย์ก็สามารถปรากฎสายเลือดที่อยู่ในกลุ่มของหมอฟง และลูกหลานเผ่าเทพก็สามารถปรากฏกลุ่มของสายเลือดราชามนุษย์บนตัวได้เช่นกัน

แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว สายเลือดดังกล่าวจะสำแดงอานุภาพได้ดีที่สุดยังคงต้องเป็นชาติพันธุ์ดั้งเดิมของสายเลือดนั้นๆ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรต่างก็เป็นสายเลือดเก้ากระถางเหมือนกัน หากเกิดบนตัวของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว จะต้องแข็งแกร่งมากกว่าที่เกิดบนตัวของชาติพันธุ์อื่นๆ แน่นอน

เวลานี้ เมื่อจอมเทพเสินกงพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ผู้ที่สามารถมองเห็นศึกครั้งนี้ด้วยตาของตนเองต้องเฝ้ารอคอย จะอย่างไรเสียเลือดโบราณนั้นพบเห็นได้ยากมาก ถ้าหากตนเองสามารถมองเห็นอานุภาพของเลือดโบราณเก้ากระถางด้วยตาของตนเองล่ะก็ นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว

“ท่านมีโอกาสเช่นนั้นอยู่แล้ว” จอมเทพท่าซิงหัวเราะ เขาทำท่ากวักมือออกไปตามอารมณ์เมื่อพูดขาดคำ

“ตูม…” เสียงดังสนั่นขึ้นมา มองเห็นดวงดาวที่มีขนาดยักษ์แต่ละดวงซึ่งลอยล่องอยู่บนอวกาศได้พุ่งเข้าชนจอมเทพเสินกง โดยหอบเอาท่วงท่าที่ดุดันยากจะหาใดเทียมมาด้วย

นี่แหละที่เรียกว่าทำลายล้าง ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งเพียงใด กับการที่ดวงดาวขนาดยักษ์แต่ละดวงพุ่งเข้าชน การพุ่งชนในลักษณะเช่นนี้สามารถชนเอาเมืองสวรรค์นอกอาณาจักรไปอยู่ที่ริมขอบอวกาศได้

“ตูม ตูม ตูม…” ขณะที่ดวงดาวทั้งหมดพุ่งเข้าโจมตีอย่างรุนแรงนั้น ทำให้อวกาศที่คลาคล่ำไปด้วยดวงดาวด้านนี้เกิดการสั่นไหวไปทั้งแถบ เหมือนว่าเมื่อดวงดาวทั้งหมดพุ่งชนเข้ามาถึงนั้น สามารถกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านนี้จนสิ้นอย่างนั้น

“แว้งค์…” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้น จังหวะที่ดวงดาวขนาดยักษ์แต่ละดวงพุ่งโจมตีเข้ามานั้น ดวงตาคู่นั้นของจอมเทพเสินกงพลันสว่างขึ้นเป็นอันมาก ประกายที่พวยพุ่งออกมาได้ทำการหลอมกลั่นหยินหยางโดยฉับพลัน มองเห็นแท่งลำแสงสองสายหนึ่งหยินหนึ่งหยางที่กวาดเข้ามาอย่างรุนแรง เสมือนหนึ่งเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ทำการผ่าอวกาศตรงนี้ออกเป็นสองส่วน

เสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าดิน “ตูม ตูม ตูม…” ดังขึ้นเป็นระลอก ภายใต้การกวาดล้างทำลายอย่างรุนแรง ดวงดาวแต่ละดวงที่พุ่งชนเข้ามาพลันระเบิดจนแหลกละเอียดไป

ลองนึกภาพดู ภาพของดวงดาวจำนวนนับพันนับหมื่นดวงที่เกิดระเบิดจนแหลก ช่างเป็นภาพที่อลังการเพียงใด เห็นควันที่ลอยขึ้นสูงสิบล้านล้านล้านจ้าง จนอวกาศถูกส่องจนสว่างไสวไปทั่ว ภายใต้แสงไฟลักษณะเช่นนี้ ทุกสิ่งล้วนกลับกลายเป็นสลดและอับแสงไปสิ้น

ภาพนี้ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับทุกคน เกรงว่าคงเป็นดอกไม้ไฟที่อลังการที่สุดและสร้างความหวั่นไหวได้มากที่สุดชั่วชีวิตของพวกเขาแล้ว เป็นดอกไม้ไฟที่จุดโดยจอมเทพสององค์

“แว้งค์…” หลังจากที่ประกายหยินหยางทั้งสองสายที่ยิงออกมาจากดวงตาทั้งสองทำการระเบิดดวงดาวทั้งหมดแล้ว ประกายทั้งสองสายได้กลับกลายเป็นกระแสไฟฟ้า ขนาดรัศมีของกระแสไฟฟ้าทุกๆ สายมีขนาดถึงพันลี้ พุ่งโจมตีเข้าหาจอมเทพท่าซิงอย่างรุนแรง!

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท