ตอนที่ 1819 ดวงตราสัญลักษณ์ของจอมเทพเชียนจวิน
“ผู้เยาว์ ออกมาสู้กัน วันนี้ไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย!” เวลานี้ จอมเทพเชียนจวินได้ก้าวออกมา แววตาทั้งสองดั่งสายฟ้า จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ ดวงตาทั้งสองพวยพุ่งประกายที่เย็นยะเยือกออกมา เขาไม่ปิดบังอำพรางปณิธานการฆ่าของตนที่มีต่อหลี่ชิเย่เลย
กล่าวสำหรับจอมเทพเชียนจวินแล้ว วันนี้เขาได้ทุ่มเททุกอย่างแล้ว เหมือนดั่งที่เขาได้พูดกับฉีหลินกว่านลี่อย่างนั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผลประโยชน์ของสำนัก เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวของเขาเอง เขาจะต้องแก้แค้นให้กับบุตรชายของตนที่ตายไปให้ได้!
เวลานี้ จอมเทพเชียนจวินท้าสู้อย่างซึ่งหน้า ทำให้บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ จอมเทพกำลังจะลงมือ จะต้องเป็นเรื่องที่สะเทือนฟ้าแน่นอน
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนอาสน์ราชัน ท่าทางอิสระและตามอารมณ์ ต่อให้เป็นจอมเทพออกมาร้องท้าสู้ เขาก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้าคิดจะไปปรโลกพร้อมกับลูกชายของเจ้า งั้นข้าจะสงเคราะห์เจ้า เจ้าคิดจะตายแบบไหนหละ?”
“ฆ่า” จอมเทพเชียนจวินคำรามเสียงดังออกมา เสียงคำรามเพียงพอที่จะทำลายสุริยันจันทราจนแหลกลาญ พลันที่เอ่ยถึงบุตรชายของเขาทำให้อารมณ์ขึ้นทันที หนึ่งก้าวหนึ่งโลกธาตุ ก้าวย่างไปก้าวหนึ่งพลันเคลื่อนย้ายดวงดาว จักรวาลกลับตาลปัตร ก้าวเดียวพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่ หนึ่งหมัดซัดออกไปทันที
“ปัง” เสียงคำรามจากหมัดที่ซัดออกไป โดยที่หมัดนี้ยังไม่ทันได้กระทบกับเป้าหมายก็ส่งเสียงร้องคำรามไม่ขาด ภายใต้หนึ่งหมัดหกภพภูมิบังเกิดวัฏสงสาร หมื่นอาณาจักรเคียงข้าง อานุภาพหนึ่งหมัดยากจะหาใดเทียม
“ตูม” เสียงดังสนั่น หมัดนี้ถูกป้องกันเอาไว้ได้ หมัดนี้อยู่ห่างจากหลี่ชิเย่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้นก็สามารถซัดใส่ศีรษะของหลี่ชิเย่ได้แล้ว ห่างเพียงแค่คืบเท่านั้น เป็นที่ทราบกันว่า ด้วยอานุภาพของหมัดๆ นี้สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็นแล้วต่างรู้สึกหวาดผวา
ห่างกันแค่เอื้อมนี้แหละ แต่กลับไม่สามารถไปต่อได้แม้เพียงน้อยนิด เสมือนหนึ่งมีมือขนาดยักษ์ได้ขวางหมัดนี้ของจอมเทพเชียนจวินเอาไว้ มือยักษ์ไร้รูปนี้มีพลังที่ต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด ต่อให้อานุภาพหมัดนี้ของจอมเทพเชียนจวินทรงพลังมากกว่านี้ ยามที่มันซัดใส่มือยักษ์ไร้รูปนี้แล้ว พลังก็ถูกสลายไปจนหมดสิ้นปราศจากร่องรอย
“เปิด” จอมเทพเชียนจวินไม่เชื่อว่าจะชั่วร้ายขนาดนี้ ร้องคำรามเสียงดังออกมา ระเบิดพลังอานุภาพขึ้นมา พลังขมุกขมัวทั้งหมดพลันพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ตูม ตูม ตูม………” จากการที่พลังขมุกขมัวของจอมเทพเชียนจวินพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง บางทีคำว่าการพวยพุ่งคำนี้อาจไม่เพียงพอต่อการเปรียบเปรยได้อีกแล้ว ยามที่พลังขมุกขมัวถูกปล่อยออกมา ก็คล้ายดั่งเป็นพลังขมุกขมัวที่ทะลักจากเขื่อนที่แตกของโลกธาตุหนึ่งอย่างนั้น เสมือนหนึ่งเป็นน้ำหลากที่ทำลายโลกได้ ฉับพลันก็ทำล้ายล้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้
ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ด้านหลังของจอมเทพเชียนจวินปรากฎดวงตราสัญลักษณ์ลอยขึ้นมาสามดวง ทุกๆ ดวงตราสัญลักษณ์ก็คือหนึ่งโลกธาตุ ทุกๆ ดวงตราสัญลักษณ์ได้สืบทอดสุดยอดสัจธรรมสูงสุดสายหนึ่ง สืบทอดพลังขมุกขมัวที่มหาศาลไร้ขีดจำกัดเอาไว้
ก่อนหน้านั้น พลังขมุกขมัวของจอมทิพย์งูหลามทองหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตรก็น่ากลัวมากพอแล้ว แต่เมื่อเปรียบกับพลังขมุกขมัวของจอมเทพเชียนจวินแล้ว ดูจะเล็กน้อยมากเหลือเกิน จอมเทพเชียนจวินมีดวงตราสัญลักษณ์อยู่สามดวง เท่ากับว่าเหมือนมีพลังขมุกขมัวของตรีโลกธาตุอยู่ในครอบครองอย่างนั้น ซึ่งยากที่จะอาศัยหน่วยลิตรมาวัดกันแล้ว
“จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวง” มีระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิถึงเหม่อลอย เมื่อเห็นดวงตราสัญลักษณ์ของจอมเทพเชียนจวินแล้ว
ทุกคนต่างก็รู้ว่าจอมเทพเชียนจวินอยู่ในระดับจอมเทพแล้ว แต่รายละเอียดคือจอมเทพลักษณะเช่นใดนั้น ทุกคนก็ไม่ชัดเจนนัก ครั้นมองเห็นดวงตราสัญลักษณ์สามดวงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหนือความคาดคิด
“ตูม” พริบตาเดียวนี่เอง อานุภาพอาละวาดขึ้นมา หนึ่งหมัดของจอมเทพเชียนจวินสืบทอดพลังของตรีโลกธาตุ และซัดหมัดที่มีพลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวออกไป
“ปัง ปัง ปัง…” เสียงแตกร้าวดังขึ้นเป็นระลอก สุดท้าย เสียงดัง “ปัง” จอมเทพเชียนจวินถึงกับทำลายแนวป้องกันไร้รูปจนแตกละเอียด ทันใดนั้น หนึ่งหมัดได้พุ่งเข้าหาศีรษะของหลี่ชิเย่
“แย่แล้ว” ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ปฏิกิริยาแรกที่ออกมาก็คือ อดที่จะร้องเสียงแหลมขึ้นมาเมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นห่วงในตัวของหลี่ชิเย่ แต่เป็นเพราะภาพนี้ดูอันตรายและน่าตกใจเหลือเกิน ช่างดึงเร้าจิตใจผู้คนเหลือเกิน
“ตูม” เสียงดังสนั่น หนึ่งหมัดนั้นได้พลาดเป้าไป แต่พลังหมัดที่ยังคงมีอยู่ยังคงอาละวาดต่อเนื่อง “ปัง ปัง ปัง” เสียงแตกละเอียดดังขึ้นเป็นระลอก ในชั่วพริบตาเดียวกันนี้เองรูปแกะสลักจำนวนมากที่ตั้งอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของลานกว้างพลันแตกหักไปในพริบตา แม้แต่ลานกว้างก็ถูกพลังหมัดซัดจนเศษหินแตกกระจาย ปรากฏร่องรอยของหมัดที่ทะลุลึกลงไปใต้ดินบริเวณลานกว้างนั่น
เป็นที่ทราบกันว่า พื้นที่ทุกๆ ตารางนิ้วของตระกูลราชันฉีหลิน ได้ผ่านการปลุกเสกจากปรัชญาเมธีแต่ละยุคสมัยมา และผ่านการปลุกเสกจากเซียนหวังมาแล้ว แต่หนึ่งหมัดของจอมเทพยังคงทำลายรูปแกะสลักหินที่ตั้งอยู่บริเวณลานกว้างนั้นไปได้
หนึ่งหมัดพลาดเป้าไป พร้อมกับร่างของหลี่ชิเย่ที่หายตัวไป นาทีต่อมา ร่างของหลี่ชิเย่ได้ไปปรากฎอยู่บนท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง เวลานี้เขายังคงนั่งอยู่กับอาสน์ราชัน และยังคงมีมังกรทองที่ขดตัวอยู่เหนือศีรษะ
ตำราระลึกคู่กับตำรานภา ทำให้หลี่ชิเย่สามารถทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา สามารถไปยังตำแหน่งใดก็ได้ตามความต้องการโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นแม้แต่น้อย
“จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวง อีกทั้งดวงตราสัญลักษณ์ไม่ได้ประสานเข้าด้วยกัน คิดจะท้าสู้กับข้ามันห่างชั้นเหลือเกิน” หลี่ชิเย่ยังคงนั่งอยู่บนอาสน์ราชัน กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้บรรดาระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน แม้แต่จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงยังไม่เพียงพอที่จะไปท้าสู้กับเขา ช่างเป็นคำพูดที่ยโสเพียงใด และพาลเช่นใด
จอมเทพนำเอาสัจธรรม ลัคนา และพลังขมุกขมัวของตนมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นดวงตราสัญลักษณ์ เมื่อมีดวงตราสัญลักษณ์นี้แล้ว ก็จะทำให้จอมเทพได้หลุดออกจากขอบเขตของระดับสวรรค์สัจธรรม ทำให้พวกเขามีต้นทุนเพียงพอที่จะท้าสู้กับจอมราชันเซียนหวังได้
ผู้ที่มีดวงตราสัญลักษณ์ถึงสิบสองดวงถูกยกย่องให้เป็นเทพโบราณ เทพโบราณนับได้ว่าเป็นผู้ดำรงอยู่ในระดับสูงสุดของผู้รับการแต่งตั้งเป็นเทพ ขณะที่ผู้ดำรงอยู่ในระดับสูงสุดของจอมราชันเซียนหวังก็มีชะตาฟ้าสิบสองสาย
ต่างก็เป็นสิบสองเหมือนกัน แต่ว่า จอมเทพไม่สามารถเทียบได้กับจอมราชันเซียนหวัง เฉกเช่นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงเมื่อเทียบกับจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสาย เมื่อเป็นเช่นนี้ จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงจะท้าสู้กับจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสายได้อย่างไรหละ
คำตอบง่ายมาก ดวงตราสัญลักษณ์ประสานเข้าด้วยกัน! ดวงตราสัญลักษณ์ประสานเข้าด้วยกันนั้นหมายความว่าดวงตราสัญลักษณ์ทั้งสามสามารถประสานเข้ากันซึ่งกันและกัน อีกทั้งดวงตราสัญลักษณ์สามดวงกลายเป็นดวงตราสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ
แน่นอนที่สุด ดวงตราสัญลักษณ์สามดวงกลายเป็นดวงตราสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบเป็นเพียงการประสานขั้นพื้นฐานเท่านั้น สามารถประสานเข้าด้วยกันเป็นสี่ดวงหรือหกดวง และหรือเก้าดวงที่สมบูรณ์แบบได้!
เพราะอะไรมีแต่จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์ประสานเข้าด้วยกันสมบูรณ์แบบจึงมีสิทธิ์ไปท้าสู้กับจอมราชันเซียนหวังหละ ในนั้นมีคำเล่าลือต่างๆ มากมาย มีเพียงจอมเทพที่ก้าวไปถึงระดับนั้นแล้วจึงจะเข้าใจถึงความแตกต่างในนั้น
เล่าลือกันว่า ยามที่ดวงตราสัญลักษณ์ของจอมเทพกลายเป็นดวงตราสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารของลัคนาจตุลักษณ์ เมื่อสามารถควบคุมความลึกซึ้งพิสดารของลัคนาจตุลักษณ์ได้อย่างแท้จริงแล้ว จึงสามารถควบคุมพลังของลัคนาจตุลักษณ์ได้อย่างแท้จริง
พลังของลัคนาจตุลักษณ์คือสิ่งที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า อีกทั้งแต่ละคนก็เป็นหนึ่งเดียวไม่มีสองในหล้า พลังของลัคนาจตุลักษณ์เช่นนี้เรียกว่าการเข้าถึงตัวตนอันแท้ตจริง
ผู้บำเพ็ญตนโดยทั่วไปแล้ว ชั่วชีวิตของพวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมพลังเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังแรกทีเดียวก็ไม่รู้จักพลังเช่นนี้ ต่อเมื่อได้ครอบครองชะตาฟ้าสามสายแล้ว จอมราชันเซียนหวังจึงสามารถควบคุมพลังของลัคนาจตุลักษณ์ได้ สามารถควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงได้อย่างแท้จริง
ขณะที่จอมเทพคิดจะควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริง คุณสมบัติขั้นพื้นฐานคือต้องมีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงอยู่ในครอบครอง อีกทั้งดวงตราสัญลักษณ์ทั้งสามดวงจะต้องประสานเข้าด้วยกันสมบูรณ์แบบ มีเพียงวิธีนี้จึงสามารถควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงได้อย่างแท้จริง
มีเพียงจอมเทพที่ควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงแล้วจึงมีคุณสมบัติที่จะท้าสู้กับจอมราชันเซียนหวังได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นล่ะก็ จอมเทพที่มีจำนวนเช่นเดียวกับจอมราชันเซียนหวังไปต่อสู้ชี้ขาดกับจอมราชันเซียนหวัง ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
“ต่อให้ยังไม่มีการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริง ก็จะสังหารเจ้าให้ได้!” แม้ว่าจอมเทพเชียนจวินถูกหลี่ชิเย่พูดเสียไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง แต่ว่า จอมเทพเชียนจวินยังคงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ความตั้งใจที่จะสังหารหลี่ชิเย่นั้นใครก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้ ไม่ใช่เขาตายก็คือหลี่ชิเย่ต้องม้วย
“ท่านทั้งสอง หากจะต่อสู้กันล่ะก็ ขอเชิญที่เวทีต่อสู้” เวลานี้ฉีหลินกว่างลี่เห็นจอมเทพเชียนจวินกับหลี่ชิเย่ประจัญหน้ากัน จึงร้องกล่าวเสียงดังออกมา
แม้ว่าพื้นที่ของตระกูลราชันฉีหลินจะผ่านปรัชญาเมธีแต่ละยุคปลุกเสกคุ้มครอง ทั้งยังได้รับการปลุกเสกคุ้มีครองจากเซียนหวังสามองค์ แต่การต่อสู้ชี้ขาดในระดับนี้ พลังการทำลายล้างสูงมากเหลือเกิน
จอมเทพเชียนจวินก้าวขึ้นไปยังเวทีต่อสู้ ชี้ไปที่หลี่ชิเย่และกล่าวว่า “ขึ้นมาต่อสู้กัน มีเจ้าไม่มีข้า ไม่ตายไม่เลิก!”
“ข้าสงเคราะห์เจ้า” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์ เขาไม่ได้มองหน้าจอมเทพเชียนจวินด้วยซ้ำ ดวงตาทั้งสองมองไปยังที่ที่ห่างไกล แววตากลับกลายเป็นเลือนลางขึ้นมา
เสียง “แว้งค์” ดังขึ้น นาทีนี้เองปรากฏสิ่งหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เดินออามาจากด้านในของตระกูลราชันฉีหลิน ก้าวเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนเวทีต่อสู้โบราณ
ขณะที่คนเช่นนี้ก้าวเดินมานั้น สายตาของทุกคนต่างเบิกว้าง เพราะคนที่เดินมาเป็นเพียงร่างเงาเท่านั้นเอง ดูเลือนรางมาก ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงได้ เพียงดูได้จากร่างที่อรชรอ้อนแอ้นว่าเป็นร่างเงาของผู้หญิง
ครั้นฉีหลินกว่างลี่มองเห็นร่างเงาที่ดูอร่ชรอ้อนแอ้นนี้เดินออกมาจากตระกูลราชันฉีหลิน และก้าวขึ้นไปบนเวทีต่อสู้โบราณ ทำให้ในใจชองเขาเต้นกระตุกทีหนึ่ง นาทีนี้ภายในใจของเขามีแนวความคิดที่ไม่ค่อยจะสงบนัก
“นี่มัน” ครั้นจอมเทพหนานหยางมองเห็นร่างที่อรชรอ้อนแอ้นเช่นนี้ก้าวขึ้นไปยังเวทีต่อสู้โบราณ ทำให้ดวงตาของเขาเต้นกระตุกทีหนึ่ง
หากจะพูดถึงเรื่องอายุ จอมเทพหนานหยางแก่กว่าจอมเทพเชียนจวิน ทั้งยังแก่กว่ามากเสียด้วย จอมเทพหนานหยางเคยผ่านมายุคแล้วยุคเล่า แม้ว่าจอมเทพหนานหยางจะไม่ได้อยู่ในระดับจอมเทพขั้นสุดยอด แต่เขาผ่านมาหลายยุคหลายสมัย กระทั่งเรียกได้ว่าเขาเคยเห็นเซียนหวังทั้งสามยุคของตระกูลราชันฉีหลิน
“ฮึ” จอมเทพเชียนจวินถึงกับส่งเสียงฮึเยือกเย็นขึ้นมา เมื่อเห็นร่างที่เป็นเพียงร่างเงาที่อรชอนอ้อนแอ้นเท่านั้น จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ กล่าวน่าเกรงขามว่า “เจ้าไม่กล้าอาศัยร่างแท้จริงขึ้นมาสู้รุ? “
จอมเทพเชียนจวินต้องการแก้แค้นให้กับลูกชายของตน เขาย่อมต้องการสู้กับร่างแท้จริงของหลี่ชิเย่ มีเพียงสังหารร่างแท้จริงของหลี่ชิเย่ได้เท่านั้น จึงจะถือว่าได้แก้แค้นให้กับลูกชายของตนได้แล้ว
“สู้กับเจ้ารึ?” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา แววตาที่เลือนลางของเขาได้กลับกลายเป็นสดใสขึ้นมาอีกครั้ง เขากล่าวเฉยเมยขึ้นว่า “ข้าอาศัยความคิดแวบเดียวก็เพียงพอแล้ว ใยต้องเป็นร่างแท้จริง ถ้าหากเจ้ามีฝีมือจริง สังหารความคิดแวบหนึ่งของข้าได้ ร่างแท้จริงของข้าจะสู้กับเจ้า!”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเสียวสันหลังแวบ ความคิดแวบหนึ่งต่อสู้กับจอมเทพ หากเป็นเช่นนี้จริง ในโลกนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย!
บางทีอาจะมีเพียงจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายเท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะอาศัยความคิดแวบหนึ่งเอาชนะจอมเทพที่มีลัคนาจตุลักษณ์สามดวงได้
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะสังหารนางก่อน” จอมเทพเชียนจวินร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมา
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสเช่นนี้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย พริบตาเดียวนี้เอง ดวงตาทั้งสองของเขาได้กลับกลายเป็นร้อนแรงยิ่งนัก ดวงตาทั้งสองเสมือนหนึ่งเป็นดวงตะวันสองดวง ประกายที่เจิดจ้าทำเอาผู้คนลืมตาไม่ขึ้น
ในพริบตาเดียวนี้เอง จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่ได้ปะทุปณิธานที่แข็งแกร่งไม่สามารถทำลายได้ขึ้นมา เรียกได้ว่าปณิธานในเวลานี้ของเขาแข็งแกร่งเพียงใด ร่างเงาที่อรชรอ้อนแอ้นนั้นก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น!