ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1827 โลกที่นั่งรอความตาย

ตอนที่ 1827 โลกที่นั่งรอความตาย

ณ นอกเมืองที่รกร้างยากจะมีผู้คนอาศัยอยู่ ที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สูงเปลี่ยวและลับตาคน พื้นดินไม่มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอยู่อาศัยและเพาะปลูก

ที่ตรงนี้มีแต่ต้นจำพวกขวากและหนามขึ้นอยู่เต็มไปหมด เถาวัลย์ที่มีหนามแหลมเลื้อยไปตามพื้นดิน เนื่องจากพื้นดินบริเวณนี้ปราศจากความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ทำให้ใบไม้ต้นไม้เถาวัลย์แก่ล้วนแล้วแต่มีส่วนปลายของกิ่งและใบที่ไหม้เกรียม

พื้นที่นอกเมืองที่อยู่ห่างไกลและเปลี่ยวลับตาผู้คนเช่นนี้ ยามที่พระอาทิตย์ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ หรือเถาวัลย์ไม้เลื้อยต่างก็มีลักษณะเหี่ยวเฉา ต่อให้บางครั้งมีสัตว์เดินเท้าหรือจำพวกวิหคปรากฏขึ้นโดยบังเอิญ พวกมันก็จะหลบอยู่บริเวณที่เป็นร่มเงาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

ณ สถานที่ที่เป็นพื้นที่นอกเมืองลับตาผู้คนเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก มีแต่ความเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา แม้ว่าจะมีกิ่งเขียวของเถาวัลย์ป่าที่คอยประดับประดาอยู่ แต่ก็ขาดซึ่งความมีชีวิตชีวาที่แท้จริง เหมือนว่าทุกๆ ชีวิตที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ล้วนได้แต่นอนรอความตายอย่างนั้น

ที่ตรงนี้ให้ความรู้สึกแก่ผู้คนถึงความเหี่ยวเฉา ทุกชีวิตที่กำเนิดอยู่ที่ตรงนี้ก็จะรู้สึกว่าไม่มีความหมายที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มันก็เพียงเท่านี้เอง ไม่มีอะไรคุ้มค่ากับการมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่มีสิ่งใดคุ้มค่ากับการต้องไปเสาะแสวงหา

ยามที่ดวงตะวันแผดร้อนอยู่เหนือศีรษะ ยามที่มองเห็นความแห้งเหี่ยวอับเฉาของต้นไม้และเถาวัลย์ป่า ยามที่มองเห็นความไหม้เกรียมของยอดไม้ มองเห็นไอความร้อนที่ลอยขึ้นมายามเที่ยงวัน จะบังเกิดความรู้สึกขึ้นอย่างหนึ่ง การมีชีวิตอยู่ต่อไป ณ ที่ตรงนี้ มิสู้ฝังร่างของตนเองไว้ที่นี่ ตายเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป อย่ามีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลย!

ด้วยพื้นที่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองลับตาผู้คนที่หมดอาลัยตายอยากนี่แหละ บริเวณกลางเขาจะมีพื้นที่ที่เป็นที่ราบขนาดเล็กอยู่ผืนหนึ่ง พื้นที่ราบเรียบเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ที่มีหนามแหลมและจำพวกหญ้าคาที่มีขอบใบแหลมคมขึ้นอยู่รอบด้านเต็มไปหมด

บริเวณที่เป็นพื้นที่ราบเรียบเล็กๆ แห่งนี้ปรากฏบ้านหลังเล็กๆ ปลูกอยู่หลังหนึ่ง โดยอาศัยไม้แก่เป็นโครงของตัวบ้าน จากนั้นนำเอาดินมาโปะทับเอาไว้ทั้งหลัง เป็นบ้านน้อยแบบโบราณดั้งเดิม แม้แต่หลังคายังสร้างขึ้นโดยอาศัยเปลือกไม้แก่มาปูทับเอาไว้

อาศัยบ้านหลังน้อยลักษณะเช่นนี้ย่อมสามารถมองออกได้ว่า เจ้าของบ้านหลังนี้จะมีความยากจนข้นแค้นเพียงใด พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ท่ามกลางความขาดแคลนซึ่งอาหารการกิน

ประตูไม้ของบ้านหลังน้อยแง้มเอาไว้นิดหนึ่ง ยามที่ลมพัดมาเฉื่อยๆ ประตู้ไม้ก็จะส่งเสียงดัง “เอี๊ยด…เอี๊ยด….เอี๊ยด” ขึ้นมาแผ่วเบา

หน้าบ้านมีถนนเล็กๆ เส้นหนึ่ง เรียกมันว่าถนนเล็กๆ ชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน เนื่องจากทางเล็กๆ ที่ว่าปรากฏพืชที่มีหนามแหลมคมขึ้นอยู่เต็มไปหมด มองไม่เห็นกระทั่งร่องรอยของความเป็นถนน บอกได้แต่เพียงเคยมีคนเดินผ่านไปมาเท่านั้นเอง พอจะเรียกมันว่าถนนได้อย่างฝืนๆ กระมัง

อาศัยถนนเล็กๆ เส้นนี้ดูออกว่า ที่ตรงนี้ไม่มีใครมา ยกเว้นเจ้าของบ้านหลังน้อยที่อาศัยเดินผ่านขึ้นเขาลงเขาบ้างเป็นบางครั้ง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีใครเดินบนถนนเล็กๆ เส้นนี้อีกเลย

ด้วยถนนเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่ออกว่าเป็นถนนเส้นนี้แหละ มาวันนี้กลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ปีนขึ้นมา ชายหนุ่มผู้นี้ได้แหวกหญ้าและพืชที่มีหนามแหลมออก ปีนขึ้นจากตีนเขาเรื่อยมากระทั่งขึ้นมาจนถึงพื้นที่ราบเรียบทีอยู่กลางเขา ไปจนถึงหน้าบ้านหลังน้อยหลังนั้น

ชายหนุ่มที่ปีนเขาขึ้นมาก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง เมื่อเขามองเห็นบ้านหลังน้อยๆ หลังนั้นแล้ว เขาถึงกับยิ้มเล็กน้อย

ด้านข้างของบ้านหลังน้อยมีพื้นที่ว่างขนาดเล็กอยู่แปลงหนึ่ง พื้นที่ตรงนี้ได้มีการปลูกผักเอาไว้เล็กน้อย นอกจากผักที่ปลูกเอาไว้เล็กน้อยแล้วยังได้ปลูกมันเทศเอาไว้นิดหนึ่ง

ในขณะนี้ มีผู้เฒ่าผู้หนึ่งกำลังทำงานอยู่บริเวณแปลงผักน้อยๆ นั่น ความจริงแล้ว ผู้เฒ่าผู้นี้ก็นับว่ามีอายุไม่มากนัก หากประเมินตามอายุของมนุษย์ปุถุชนแล้ว น่าจะมีอายุราวห้าสิบปีประมาณนั้น

แม้ว่าถ้าดูจากอายุแล้วเขาเหมือนมีอายุราวๆ เพียงแค่ห้าสิบปีเท่านั้น แต่ลักษณะของเขาดูจะอัปลักษณ์อยู่บ้าง ดูเหมือนแก่ ดูเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดสีเทาทั้งชุด ชุดของเขาสีเทาค่อนไปทางขาวซีด ดูออกว่าชุดที่สวมใส่ผ่านการซักแล้วซักอีก แม้ว่าจะมีการซักอยู่เป็นประจำ แต่ผ่านมาชั่วนาตาปีออกจะดูเก่าและขาด และมีความสกปรกที่สะสมอยู่บนนั้น

ต่อให้เสื้อผ้าชุดนี้จะมีการซักอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้สะอาดมากนัก อีกทั้งผู้เฒ่าต้องทำงานเกษตร จึงมีดินโคลนเปรอะเปื้อนอยู่

รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของผู้เฒ่าผู้นี้มีอยู่ไม่มากนัก แต่ว่าใบหน้าออกเป็นสีเหลือง ผิวหนังของมือทั้งสองดำเมี่ยม มองรู้ว่านอกจากผู้เฒ่าจะมีความเป็นอยู่และอาหารการกินที่ไม่ดี อีกทั้งทำงานหนักมายาวนาน เห็นได้ชัดว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ

ผมเผ้าของผู้เฒ่าเป็นสีดอกเลา และดูบางหลุดร่วงไปบ้าง แม้ว่าเขาจะหวีเรียบร้อยทุกวัน แต่ระหว่างที่ทำงานหนักก็ทำให้มันต้องดูยุ่งเหยิงอยู่บ้างโดยไม่ตั้งใจ

ขณะที่ผู้เฒ่าอ้าปากออกมา จะพบว่าฟันที่ยังคงเหลืออยู่ในปากมีไม่มาก ยังคมมีฟันที่ขึ้นอยู่อย่างกะหร็อมกะแหร็มอยู่ไม่กี่ซี่ แม้ว่าจะมีฟันเหลืออยู่แค่ไม่กี่ซี่ แต่ก็ออกเหลืองๆ ดำๆ ทั้งยังปรากฎร่องรอยฟันผุขึ้นมา

ผู้เฒ่าลักษณะเช่นนี้แหละที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นอกเมืองที่ลับตาผู้คนแบบนี้ ทำงานยามรุ่งอรุณ และพักผ่อนยามอาทิตย์อัสดง ปรกติแล้วจะอาศัยผลผลิตทางการเกษตรที่เพาะปลูกได้เล็กๆ น้อยๆ มาแก้ความหิวโหย ฝืนไม่ทำให้ตนเองต้องอดตายไปวันๆ

ลองนึกภาพดู ผู้เฒ่าลักษณะเช่นนี้ พักอาศัยอยู่ในที่รกร้างลับหูลับตาผู้คนโดยลำพังคนเดียว ไม่มีลูกหลาน ปรกติก็ไม่มีญาติสนิทมิตรสหายมาเยี่ยมเยียน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีเพื่อนบ้านอีกด้วย กลางวันหน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้าทำงานอย่างหนัก ตกกลางคืนนอนอยู่ท่ามกลางความมืดบนเตียงไม้ ช่างเป็นชีวิตความเป็นอยู่ที่แร้งแค้นยิ่งนัก เป็นชีวิตที่อ้างว้างโดดเดี่ยวยิ่งนัก

ในขณะนี้ ผู้เฒ่ากำลังลงจอบด้วยจอบที่เก่าแก่ เพื่อขุดเอามันเทศที่อยู่ใต้ดินขึ้นมา ด้วยอายุที่มากแล้ว การขุดแต่ละครั้งดูจะกินแรงไปไม่น้อย หากเป็นคนหนุ่มแค่ลงจอบหนึ่งถึงสองครั้งก็สามารถขุดเอามันเทศที่อยู่ในดินขึ้นมาได้แล้ว สำหรับเขาแล้วอย่างน้อยก็ต้องแปดถึงสิบครั้งจึงจะขุดเอามันเทศนั้นขึ้นมาได้

หลังจากที่ขุดเอามันเทศขึ้นมาแล้ว เขาก็จะนั่งยองๆ ลงเคาะเอาดินที่ติดอยู่กับมันเทศออกให้สะอาด จากนั้นหยิบมันเทศใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่ที่ขาดเป็นรูเล็กๆ ใบนั้น

ทุกๆ ครั้งที่ขุดและเก็บมันเทศหัวหนึ่ง ดูผู้เฒ่าจะเหนื่อยจนหอบอยู่ตรงนั้น

หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มๆ เมื่อเห็นผู้เฒ่าลงจอบขุดดิน จึงเดินเข้าไปหาและไม่ได้พูดอะไร ก้มโค้งหยิบเอามันเทศที่ขุดออกมา เคาะเอาดินออก แล้วใส่ลงไปในตะกร้าไม้ไผ่

ผู้เฒ่าขุดดินอย่างกินแรง ขณะที่หลี่ชิเย่คอยเก็บมันเทศอยู่อย่างนี้แหละ หลังจากที่ผู้เฒ่าลงมือขุดติดต่อกันราวสามถึงห้าครั้งก็ต้องวางจอบลงและพักหายใจหอบครู่หนึ่ง ขณะที่หลี่ชิเย่มีท่าทีอิสระเสรีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบมันเทศขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และเคาะเอาดินที่ติดอยู่ออกไปอย่างเป็นจังหวะจะโคน

ทั้งสองคนร่วมมือกันได้อย่างไร้ที่ติ แต่ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เหมือนว่ามันเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลเป็นปรกติอยู่แล้ว

หลังจากเสียเวลาไปครึ่งค่อนวัน ในที่สุดผู้เฒ่าก็ได้ขุดเอามันเทศขึ้นมาได้หกถึงเจ็ดหัว ในเวลานี้ ผู้เฒ่าได้อุ้มตะกร้าไม้ไผ่และแบกเอาจอบขึ้นมาแล้วเดินกลับเข้าบ้านน้อยหลังนั้นไป

หลี่ชิเย่ก็เดินตามเข้าไปในบ้านหลังน้อยโดยไม่ต้องได้รับการเชื้อเชิญจากผู้เฒ่า ข้างในดูจะทึบๆ นิดหนึ่ง ต่อให้เป็นช่วงกลางวัน เมื่อเข้าไปข้างในแล้วก็เห็นแต่ความมืดอยู่ตรงหน้า ไม่ง่ายนักกว่าจะคุ้นเคยกับมันได้

ภายในบ้านหลังเล็กมีสิ่งของอยู่ไม่มาก กระทั่งเรียกได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เกินกว่าความจำเป็น ด้านซ้ายของบ้านมีเตียงไม้หลังหนึ่งตั้งวางอยู่ ผ้าห่มที่อยู่บนเตียงแม้จะผ่านการซักมาแล้ว แต่ก็ออกเป็นสีหม่นๆ ด้านขวาเป็นเตา มีหม้อเหล็กอยู่ใบหนึ่งที่กำลังจะเป็นสนิมแล้ว

บริเวณที่ใกล้กับหน้าต่างมีโต๊ะไม้อยู่ตัวหนึ่ง โต๊ะไม้เล็กๆ สำหรับนั่งได้สองถึงสามคนเท่านั้น ทานข้าว ดื่มน้ำชาอะไรต่างๆ ล้วนแล้วแต่อาศัยโต๊ะตัวนี้

เวลานี้ หลี่ชิเย่ นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะที่เรียบง่ายน่าเกลียดยิ่งตัวนี้ มองดูพื้นที่รกร้างด้านนอก มอดูต้นไม้และเถาวัลย์ป่าที่เหี่ยวเฉา เขาถึงกับเอามือเชยคางเอาไว้ ท่าที่เหนื่อยอ่อนเหมือนนั่งหลับไปแล้ว

เวลานี้ ผู้เฒ่าเริ่มติดไฟเพื่อย่างมันเทศ เห็นเปลวไฟที่แลบแปลบๆ ในเตา บางทีสิ่งนี้อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกนี้ที่ยังคงคึกครื้นอยู่ เมื่อเห็นเปลวไฟที่แลบแปลบ อย่างน้อยที่สุดทำให้ผู้คนรู้ว่าตนเองยังคงมีชีวิตอยู่

ผู้เฒ่านั่งนิ่งอยู่หน้าเตา เติมหญ้าคาเข้าไปในเตาอยู่เป็นระยะๆ เขานั่งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ชีวิตชีวา เหมือนว่าเป้าหมายเดียวที่เขามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็คือรอความตาย

ท่ามกลางความหมดอาลัยตายอยาก ในที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก มีกลิ่นหอมจากมันเทศลอยมา เป็นการนำมาซึ่งพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ให้กับโลกใบนี้ อย่างน้อยยามที่ท้องร้องจ๊อกๆ เมื่อได้กลิ่นหอมเช่นนี้แล้ว พลันจะต้องรู้สึกมีพลังขึ้นทั้งตัวโดยทันที

ขณะนี้ แม้แต่หลี่ชิเย่ที่นั่งหลับด้วยความเหนื่อยอ่อนก็ลืมตาสองข้างขึ้น และนั่งตัวตรง

เวลานี้ ผู้เฒ่าได้นำเอามันเทศที่สุกแล้วใส่ลงไปในกระด้ง ยกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ขณะที่มันเทศถูกยกมาวางโดยที่ผู้เฒ่ายังไม่ทันได้นั่งลง หลี่ชิเย่ไม่เกรงใจคว้ามาก่อนหนึ่งหัว ปอกเปลือกออกอย่างรวดเร็ว และนั่งกินอย่างช้าๆ

ผู้เฒ่าก็หยิบมาหัวหน้าปอกเอาเปลือกออก ใส่ปากค่อยๆ เคี้ยวกิน เหมือนว่าฟันของเขาไม่ดีนัก จึงทานได้ช้ามาก

“มีคนบอกว่า เขาต้องการไปให้ไกลจากความวุ่นวาย แต่ไม่ว่าจะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยโลกนี้ก็ยังคงมีเขา มีตาเฒ่าที่ขายซาลาเปาคนหนึ่ง หรือบางทีเป็นยายเฒ่าที่ขายเกลือคนหนึ่ง” หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ทานมันเทศไปหัวหนึ่งแล้ว และกล่าวว่า “ความจริงแล้ว สิ่งนี้หาใช่ความโดดเดี่ยว เป็นเพียงออกห่างจากโลกใบนี้ไกลกว่าเดิมนิดหนึ่งเท่านั้น”

“เมื่อไหร่ที่โลกของเจ้าไม่มีแม้กระทั่งตาเฒ่าที่ขายซาลาเปา หรือบางทีแม้แต่ยายเฒ่าที่ขายเกลือก็ไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว โลกนี้ก็จะเหลือเพียงตัวเองคนเดียวเท่านั้น” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้น

ผู้เฒ่าเอาแต่นั่งทานมันเทศเท่านั้น เหมือนว่าเขาเป็นคนที่ไม่ช่างพูด

“อะไรคือความโดดเดี่ยว ที่ตรงนี้ก็คือความโดดเดี่ยว” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ราชันเซียนก็ดี จอมราชันก็ช่าง การหลบอยู่ในแดนแห่งการสืบค้นยังคงมีชื่อเสียงโด่งดังสิบแดน อยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า ยังคงมีอานุภาพราชันไม่มีขีดจำกัด นี่คือการหลบหลีก เพียงเพื่อหลบหลีกจากการถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เท่านั้น ขณะที่วันนี้พวกเรามานั่งทานมันเทศอยู่ตรงนี้ นี่สิ จึงจะเรียกว่าเป็นการปลีกตัวออกจากโลกปัจจุบัน”

ผู้เฒ่ายังคงไม่พูดอะไรออกมา เพียงกินมันเทศของเขาอยู่เนื่องจากเขาไม่ได้พูดมานานแล้ว เขากระทั่งจำไม่ได้ว่าครั้งก่อนหน้าเขาได้พูดตอนไหน

หลี่ชิเย่เองไม่ได้ถือสาที่ผู้เฒ่าไม่พูดไม่จาก เขาได้ปอกเปลือกมันเทศอีกหัวหนึ่ง และเคี้ยวกันอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้เงยหน้าขึ้นมองดูผู้เฒ่าทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าจะตายเมื่อไหร่?”

ผู้เฒ่ายังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา เคี้ยวทานอย่างช้าๆ ดูท่าเขาจะให้ความสำคัญกับอาหารที่ได้มาไม่ง่านนักเหล่านี้ ทานได้อย่างหมดจด ด้วยความระมัดระวังยิ่งนัก

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลังจากผ่านไปนานมาก ผู้เฒ่าจึงได้ปริปากพูด เขาดูดนิ้วเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าเองก็รออยู่ รอวันที่ต้องตายวันนั้น”

“มันก็ใช่” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “เป้าหมายหนึ่งเดียวที่เจ้ามีชีวิตอยู่ก็เพื่อรอวันตายแล้ว! ขณะที่อยู่เก้าแดน ข้าก็ได้บอกกับเจ้าหนูตระกูลหวีว่า เจ้ายังมีร้านเหล้าเล็กๆ ยังมีเหล้ารสชาติเย่ๆ ที่ดื่มยากยิ่งกว่าเยี่ยวม้าเสียอีก การรอความตายของเขาไม่นับเป็นอะไรเลย อย่างน้อยที่สุดในโลกีย์มนุษย์นั้นยังคงมีรอะไรให้เขาได้ดูได้เห็นมากมาย”

“การรอความตายของเจ้านี้ช่างยาวนานเหลือเกิน ไม่รับรู้ถึงประสาทสัมผัสทั้งหก รอความตายอยู่อย่างนี้แหละ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “คิดจะตายรึ ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น!”

……………………………………………………………………

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท