ตอนที่ 1846 เก้าสัญลักษณ์ชี้ขาดกับสิบสัญลักษณ์
ลำแสงสองสายที่ยิงออกมาจากดวงตาทั้งสอง กลับกลายเป็นหยิงหยาง ตัดขาดการเวียนว่ายตายเกิด หากว่าถูกยิงด้วยลำแสงลักษณะเช่นนี้ล่ะก็ เกรงว่าต่อให้เป็นกายเนื้อของจอมเทพก็มีสิทธิ์กลายเป็นเถ้าธุลีไปได้
พลันลงมือก็กลับกลายเป็นหยินหยาง ตัดขาดการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก และมีเพียงระดับจอมเทพมีอันดับเท่านั้นจึงมีความสามารถเช่นนี้ได้ การโจมตีลักษณะนี้เพียงครั้งเดียวสามารถทำลายล้างแคว้นเจ้าลัทธิใดลัทธิหนึ่งได้ทันที และสามารถยิงจนพื้นดินทะลุ นี่แหละจึงเป็นการเข่นฆ่าที่สยองขวัญยิ่งนัก
“เปิด…” เมื่อจอมเทพท่าซิงต้องเผชิญกับลำแสงหยินหยางที่ยิงเข้ามาก็ไม่ได้หลบเลี่ยงไปไหน เขาคำรามเสียงยาวออกมา มือข้างหนึ่งทำท่าคว้าและบิดออกไป ถึงกับนำเอาทางช้างเผือกสายหนึ่งมาขดเข้าหากัน กลายเป็นโล่ขนาดยักษ์ขวางอยู่ด้านหน้าของตนโดยพลัน
ทางช้างเผือกสายหนึ่งที่มีความยาวพาดผ่านท้องฟ้าที่คลาคล่ำไปด้วยดวงดาวนับหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านล้านลี้ อาศัยเพียงมือข้างเดียวก็สามารถนำมาขดให้กลายเป็นโล่ยักษ์ได้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสยองขวัญเหลือเกิน
“ตูม ตูม ตูม…” ลำแสงหยินหยางอาศัยท่วงท่าที่ยากจะหาผู้ใดเทียมยิงใส่โล่ขนาดยักษ์นั่น ในเวลานี้เสียงยิงถล่มดังก้องไปทั่วอวกาศที่คล่าคล่ำด้วยดวงดาวนั่น พลังเสียงอันน่ากลัวที่ดังออกมาสามารถทำลายอุกาบาต และดวงดาวที่อยู่รอบๆ รัศมีสิบล้านลี้จนแตกละเอียดไป เป็นอานุภาพทำลายที่สามารถทำลายล้างฟ้าดินได้
ท่ามกลางเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก มองเห็นสะเก็ดของดวงดาวที่ปลิวกระจายไปทั่วภายใต้การโจมตีของลำแสงหยินหยาง ทำให้โล่ยักษ์ที่ถูกขดมาจากทางช้างเผือกถูกยิงจนแหลกลาญ ทางช้างเผือกสายนี้มีดวงดาวในนั้นเป็นพันเป็นหมื่น ภายใต้การยิงของลำแสงหยินหยางที่ดั่งพลังไฟฟ้า ทำให้ดวงดาวแต่ละดวงถูกยินจนแหลกเป็นผุยผง
มองดูเศษของดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่แตกกระจาย ภาพนั้นช่างอลังการยิ่ง เป็นที่สะเทือนหวั่นไหวยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นจักรวาลขนาดยักษ์ที่พวยพุ่งเอาเศษสะเก็ดของดวงดาวไปในอวกาศที่คล่าคล่ำด้วยดวงดาว ต่อให้เป็นเพียงเศษเสี้ยวนิดเดียวของสะเก็ดดวงดาวเหล่านั้นก็สามารถท่วมพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจนมิด ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันอลังการและน่าสะเทือนหวั่นไหวเพียงใดแล้ว
มองดูโล่ขนาดยักษ์ที่นำเอาทางช้างเผือกมาขดเข้าด้วยกันถูกพลังไฟฟ้าที่น่ากลัวยิงจนทะลุ จอมเทพท่าซิงคำรามเสียงยาวออกมา ขว้างโล่ขนาดยักษ์ในมือออกไป เสียงดัง “ตูม” โล่ยักษ์พุ่งกระแทกแหวกอากาศทะลุผ่านหลุมดำโดยพลัน แล้วไปปรากฏอยู่ด้านหน้าจอมเทพเสินกง และลอยเข้าไปฟาดใส่ศีรษะของจอมเทพเสินกงอย่างแรง
การโจมตีในลักษณะเช่นนี้สามารถทำลายโลกๆ หนึ่งได้ ต่อให้ยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมมากกว่านี้ก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีเช่นนี้ได้
นี่แหละคือช่วงห่างระหว่างระดับสวรรค์สัจธรรมกับจอมเทพ เมื่อทั้งสองฝ่ายห่างกันจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะไม่สามารถก้าวข้ามช่วงห่างนี้ไปได้อีกแล้ว โดยที่ช่วงห่างลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถนำเอาจำนวนคนมาชดเชยทดแทนกันได้
“ตูม ตูม ตูม…” เสียงยิงถล่มดังขึ้นเป็นระลอก จอมเทพเสินกงไม่หวั่นไหวต่อโล่ขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้ามา ประกายตาทั้งสองเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม เสมือนหนึ่งการระเบิดตัวของดวงตะวันเป็นสิบล้านดวง พลังงานไฟฟ้าหยินหยางพลันยิงสวนออกไป ในชั่วพริบตาเดียวกันนั้นถึงกับระเบิดโล่ยักษ์นั้นจนกลายเป็นจุณไป
“รับมือข้าหนึ่งกระบวนท่า” จอมเทพท่าซิงคำรามเสียงยาวออกไป พลันลงมือด้วยเจ็ดดวงดาว ยันต์เจ็ดดวงดาวลอยล่อง บทคัมภีร์คลุมฟ้าดินดั่งม่านแห เข้าโจมตีต่อจอมเทพเสินกงทันที
“มาได้เหมาะเจาะ” เมื่อจอมเทพเสินกงเผชิญกับการโจมตีสังหารของจอมเทพท่าซิง ได้ร้องคำรามเสียงยาวเช่นกัน มือทั้งสองสำแดงท่ามุทราเป็นมังกร กางนิ้วสิบนิ้วออกมา “กรรร…” เสียงมังกรคำรามดังไม่ขาดสาย มังกรแท้จริงสิบตัวโผออกจากถ้ำ โจมตีใส่เจ็ดดาวของจอมเทพท่าซิง
เสียง “ปัง ปัง ปัง” ดังสนั่น มองเห็นมังกรเจ็ดตัวเข้าโจมตีเจ็ดดาว ส่วนมังกรแท้จริงอีกสามตัวคำรามเสียงยาว แยกเขี้ยวกางเล็บพุ่งเข้าโจมตีจอมเทพท่าซิง กรงเล็บมังกรแท้จริงสามารถฉีกทางช้างเผือกสายหนึ่งได้ในพริบตาเดียว
“ไสหัวไป…” เมื่อจอมเทพท่าซิงต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของมังกรแท้จริงสามตัว เขาคำรามเสียงดังออกมา “ตูม” บังเกิดเสียงดังสนั่น นาทีนี้เขาได้ลงมือจริงจังแล้ว ดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวงปะทุขึ้นไป ปรากฏดวงดาวดึกดำบรรพ์เก้าดวงอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวทุกดวงแทนสุดยอดสัจธรรมสูงสุดหนึ่งสาย ดวงดาวทั้งเก้าดวงต่างเสริมส่งกันและกัน เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เสมือนหนึ่งเป็นดาวซือโต่วที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าที่สูงเด่น
ดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวง ทั้งเก้าดวงประสานเข้าด้วยกัน นี่แหละคือกำลังที่แท้จริงของจอมเทพท่าซิง
“ปัง ปัง ปัง” ฉับพลันที่ดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวงปรากฏขึ้นมา จอมเทพท่าซิงพลันสังหารมังกรแท้จริงเก้าตัวในทันที และจอมเทพท่าซิงพกพาพลังดวงตราสัญลักษณ์เก้าด้วงบุกเข้าโจมตีจอมเทพเสินกง
อานุภาพรุนแรงเหลือเกิน พลันทำลายหลักกฎเกณฑ์ ทำลายมิติกาลเวลา และเข้าถึงตัวจอมเทพเสินกงในทันที ด้วยอานุภาพเช่นนี้สามารถทำลายโลกๆ หนึ่งได้อย่างง่ายดาย!
“ทำลาย…” จอมเทพเสินกงไม่ได้หวั่นเกรงต่อการโจมตีสังหารลักษณะเช่นนี้ ร้องคำรามเสียงยาว ปรากฏเสียงดัง “ตูม” ที่สั่นคลอนต่อโลกหล้า ดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงปะทุขึ้นสู่เบื้องบน ดวงตราสัญลักษณ์ทั้งสิบมีทั้งงูเจียวเสอ มีต้นไม้ดึกดำบรรพ์ มีสุริยันจันทรา…
ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ทีสูงเสียดฟ้า งูเจียวเสอที่พันเกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ สุริยันจันทราที่ปรากฎหมุนเวียนอยู่ตรงนั้น…นี่คือดวงตราสัญลักษณ์ของทั้งสิบของจอมเทพเสินกง อีกทั้งดวงตราสัญลักษณ์ประสานเข้าด้วยกัน ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ต่างเสริมส่งซึ่งกันและกัน เหมือนหนึ่งเป็นโลกๆ หนึ่งของตน
“ปัง ปัง ปัง…” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ทั้งจอมเทพเสินกงและจอมเทพท่าซิงต่างแลกหมัดซึ่งหน้าไปหลายร้อยกระบวนท่า ทั้งคู่ลงมือได้รวดเร็วเหลือเกิน แม้แต่ผู้ได้รับการเคารพสูงสุดระดับสวรรค์สัจธรรมก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เสียง “ปัง…” จากการโจมตีครั้งสุดท้ายที่ดังขึ้น ทั้งสองฝ่ายได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเถ้าธุลี ในเวลานี้เอง บริเวณอวกาศที่คลาคล่ำด้วยดวงดาวที่ที่พวกเขายืนอยู่กลับกลายเป็นว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นวันเวลาหรือช่องว่าง ล้วนแล้วแต่ถูกบดขยี้จนแหลกลาญไป
หลังจากการโจมตีนี้แล้ว จอมเทพท่าซิงก้าวถอยหลังตึงตึงตึงไปหลายก้าว ขณะที่จอมเทพเสินกงเพียงแค่หัวไหล่สั่นไหวทีหนึ่งเท่านั้น
ย่อมไม่เป็นที่กังขา การต่อสู้กันอย่างดุเดือดทั้งสองฝ่าย จอมเทพท่าซิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ขณะที่จอมเทพเสินกงเป็นผู้ได้เปรียบ จะอย่างไรเสียต่างก็เป็นดวงตราสัญลักษณ์ที่ประสานเข้าด้วยกัน จอมเทพเสินกงมีสิบดวงตราสัญลักษณ์ในครองครอง ขณะที่จอมเทพท่าซิงมีเก้าดวงตราสัญลักษณ์ในครอบครอง ต่างกันหนึ่งดวงตราสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นพลังการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริง หรือว่าพลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ และหรือพลังขมุกขมัว จอมเทพท่าซิงล้วนแล้วแต่เทียบไม่ได้กับจอมเทพเสินกง
ระดับผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสถึงกับพึมพำออกมาว่า “สิบดวงตราสัญลักษณ์ย่อมเป็นสิบดวงตราสัญลักษณ์” หลังจากได้มองเห็นภาพนี้แล้ว
ระดับบรรพบุรุษ และศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณตงกงที่โชคดีได้มองเห็นภาพนี้แล้ว ต่างแอบถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก อย่างน้อย ณ ตอนนี้จอมเทพของพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ส่วนระดับบรรพบุรุษ และศิษย์ของตระกูลเผิงที่สามารถมองเห็นภาพนี้ พวกเขารู้สึกเป็นกังวลเพราะจอมเทพของพวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา หากบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ตระกูลเผิงพวกเขาก็จบเกม
“เอาใหม่…” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ จอมเทพท่าซิงร้องคำรามเสียงยาวออกมา ก้าวไปข้างหน้าก้าวเดียวสิบล้านลี้ พลันไปปรากฏอยู่ตรงหน้ากับจอมเทพเสินกง
“คิดว่าข้าจะกลัวท่านรึ…” จอมเทพเสินกงเองก็มีความอหังการ พวกเขาที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นประเภทดุดันและอหังการทั้งสิ้น องอาจห้าวหาญ ยามอยู่ในสนามรบไม่เคยหวั่นเกรงต่อผู้ใด
“ตูม ตูม ตุม…” ทันใดนั้น จอมเทพท่าซิงกับจอมเทพเสินกงทั้งสองที่ดั่งเสือปะทะสิงห์ ทั้งสองคนต่างลงมือแลกหมัดกันดั่งจ้าวพายุ แต่ละท่วงท่ากระบวนท่าล้วนสามารถทำลายล้างฟ้าดินทั้งสิ้น เพียงพริบตาเดียวก็แลกกันหลายร้อยกระบวนท่า รวดเร็วจนกระทั่งแม้แต่ผู้ได้รับการเคารพสูงสุดระดับสวรรค์สัจธรรมก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่สามารถจับความลึกล้ำพิสดารของแต่ละกระบวนท่าของพวกเขาได้
นี่แหละคือข้อแตกต่าง การต่อสู้ชี้ขาดระหว่างจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวงกับดวงตราสัญลักษณ์สิบดวง คงมีเพียงระดับจอมเทพเท่านั้นที่สามารถมองเห็นความลึกซึ้งพิสดารของแต่ละกระบวนท่าได้ ขณะที่ระดับผู้ได้รับการเคารพสูงสุดระดับสวรรค์สัจธรรมได้แต่มองดูด้วยความสนุกคึกครื้นเท่านั้นเอง
ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ทั้งคู่แลกหมัดกันไปมาหลายพันกระบวนท่า จอมเทพท่าซิงมีลักษณะของการเข่นฆ่าสังหารที่เด็ดขาด ทุกๆ กระบวนท่าล้วนแล้วแต่หวังผลถึงตาย มีประสบการณ์สูงมาก ขณะที่จอมเทพเสินกงได้อาศัยพลังมาเป็นตัวชดเชยสิ่งที่ตนขาดหายไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงไม่สามารถเอาชนะกันได้หลังจากผ่านไปหลายพันกระบวนท่า เพียงแต่จอมเทพท่าซิงมีทีท่าว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเท่านั้น
เสียง “ปัง…” ที่ดังสนั่น ทั้งสองเข้าโจมตีมือกันอีกครั้งและแยกจากกัน เป็นอีกครั้งที่จอมเทพท่าซิงต้องก้าวถอยหลังตึงตึงตึงติดต่อกันหลายก้าว ขณะที่จอมเทพเสินกงยังคงนิ่งดั่งหินผา
ย่อมไม่เป็นที่กังขา ยังคงเป็นจอมเทพเสินกงที่เป็นฝ่ายได้เปรียบในการห้ำหั่นกันอีกครั้ง ขณะที่จอมเทพท่าซิงยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นเคย
ในเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันอีกครั้ง และไม่ได้รีบร้อนที่จะลงมือต่อกัน
“สหายเสินกงเข้าฌานมาหลายแสนปี ความลึกซึ้งของสัจธรรม ความแข็งแกร่งด้านพลัง หาใช่ข้าสามารถเทียบเคียงได้ พลังของสหายต่อเนื่องยาวไกลและบริสุทธิ์ ต่อให้ข้าโจมตีอีกเป็นแสนกระบวนท่าก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้” จอมเทพท่าซิงถึงกับพูดทอดถอนใจด้วยความจริงออกมาขณะมองดูจอมเทพเสินกง
เป็นคำพูดที่จอมเทพท่าซิงพูดออกมาจากใจหาใช่เป็นการยกยอ พวกเขาที่ก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว ในการต่อสู้ท่ามกลางความเป็นความตาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งหลอกลวงอีกต่อไป
“แม้ว่าพลังของสหายจะอ่อนกว่าข้า แต่วิชาการต่อสู้ของสหายเยี่ยมยอดมาก เปี่ยมด้วยประสบการณ์ ทำให้ข้ารู้สึกละอาย การเปลี่ยนแปลงของสัจธรรมข้าสู้ท่านไม่ได้” จอมเทพเสินกงก็พูดด้วยความใจกว้างออกมา
เป็นความจริงที่ในด้านประสบการณ์การสู้รบเข่นฆ่าสังหารนั้น จอมเทพเสินกงเทียบไม่ได้กับจอมเทพท่าซิง จอมเทพท่าซิงเคยเข้าร่วมการศึกหลายครั้ง โดยเฉพาะศึกล่าราชันส่งผลกระทบต่อเขาเป็นอันมาก เขามีโอกาสได้เห็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายต่อสู้ชี้ขาดกันด้วยตาตนเอง ทำให้จอมเทพท่าซิงได้เปิดหูเปิดตา และเป็นการสั่งสมประสบการณ์ที่สมบูรณ์ยิ่ง
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระหว่างการต่อสู้ชนิดความเป็นความตาย เรียกว่าหากไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย แต่ เมื่อก้าวมาถึงระดับอย่างพวกเขาแล้ว การพูดคุยกลับแลดูมีความเป็นมิตรเหลือเกิน ยังคงเหมือนสหายเก่าอย่างนั้น
“เคล็ดวิชากระบี่ที่แท้จริงหาใช่อาศัยความคมของกระบี่ แต่ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญตนของบุคคลผู้นั้น” จอมเทพท่าซิงหัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “เมื่อกำลังต่างกันหนึ่งดวงตราสัญลักษณ์ ฝีมือไม่สามารทดแทนส่วนต่างของพลัง”
จอมเทพท่าซิงก็ยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้านว่าพลังของตนนั้นไม่เท่าจอมเทพเสินกง แรกเริ่มทีเดียวเขาไม่ยอมรับ คิดจะสู้อีกสักครั้ง หวังอาศัยประสบการอันโชกโชนของตน และเคล็ดวิชาการสู้รบของตนมาชดเชยช่วงห่างระหว่างดวงตราสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันหนึ่งดวงของตนกับจอมเทพเสินกง
แต่ว่า หลังจากทดลองมาแล้วครั้งหนึ่ง เขารู้สึกว่ายังคงยากจะทดแทนกันได้ พวกเขาทั้งสองต่างได้พึ่งพาสิ่งที่อยู่นอกกาย และไม่ได้อาศัยพลังจากภายนอก อาศัยพลังของตนล้วนๆ ที่มีอยู่มาต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างกันเพียงแค่ดวงตราสัญลักษณ์หนึ่งดวงก็ตัดสินความแข็งแกร่งและความอ่อนด้อยออกมาทันที หนึ่งดวงตราสัญลักษณ์ที่ต่างกันนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยประสบการณ์และเคล็ดวิชาการสู้รบได้
แม้ว่าดูไปแล้วต่างกันเพียงแค่ดวงตราสัญลักษณ์ดวงหนึ่งเท่านั้น แต่ ในความจริงแล้วต่างกันด้วยสัจธรรมสายหนึ่ง ต่างกันที่ลัคนาหนึ่งหลัง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือต่างกันที่พลังขมุกขมัวปริมาณสุดเปรียบเปรย
ดังนั้น ภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจากที่สองฝ่ายปะทะกันหลายพันกระบวนท่าแล้ว จอมเทพท่าซิงจึงรู้อย่างชัดเจนว่า ลำพังอาศัยพลังของตนไม่สามารถเอาชนะจอมเทพเสินกงได้อยู่แล้ว
ดวงตราสัญลักษณ์เก้าดวงไม่อาจเทียบได้กับดวงตราสัญลักษณ์สิบดวง มันเป็นความจริงที่แน่นอน ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ผู้ที่มองเห็นภาพนี้แล้ว ได้ทำให้ทุกคนได้รู้จักถึงความแตกต่างระหว่างจำนวนดวงตราสัญลักษณ์ได้อย่างลึกซึ้ง เพิ่มขึ้นหนึ่งดวงก็จะทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น เป็นความจริงที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
………………………………………………………………