ตอนที่ 1853 ได้พบกับสหายเก่า
เวลานี้ บรรพบุรุษของพวกเขากลับแสดงความคารวะเต็มรูปแบบกับหลี่ชิเย่เช่นนี้ กระทั่งเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เยาว์ พลันทำให้เผิงเย่และเผิงยวี่ทั้งสองคนตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
เป็นที่ทราบกันดีว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคือระดับจอมเทพคนหนึ่ง กระทั่งสามารถมีศักดิ์ศรีเท่ากันกับจอมราชันเซียนหวัง เวลานี้กลับอยู่ในฐานะของผู้เยาว์ เช่นนั้นแล้ว หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ามีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่?
เมื่อเผิงยวี่นึกมาถึงจุดนี้แล้ว ถึงกับเหงื่อไหลเย็นรินออกมา เกรงว่าหลี่ชิเย่คงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดที่มาท่องอยู่บนโลกหล้าแล้ว
โดยทั่วไป ผู้ยิ่งใหญ่ระดับเช่นนี้จะไม่มาท่องอยู่บนโลกมนุษย์อยู่แล้ว แต่ เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมาท่องอยู่บนโลกมนุษย์เช่นนี้ เมื่อคิดตกถึงจุดนี้ ทำเอาเผิงเย่และเผิงยวี่ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
โดยเฉพาะเผิงยวี่นั้น สองวันที่ผ่านมาเขาได้ทำตัวเป็นพี่เป็นน้องกับหลี่ชิเย่ตลอดเวลา แต่เวลานี้แม้แต่บรรพบุรุษของพวกเขายังต้องอยู่ในฐานะผู้เยาว์ เป็นไงล่ะตอนนี้ กลายเป็นว่าเขามีฐานะเหนือกว่าบรรพบุรุษของเขาเสียอีก
เมื่อเผิงยวี่นึกถึงข้อนี้แล้ว ถึงกับเหงื่อเย็นไหลออกมาตลอดเวลา ขาทั้งสองข้างไม่ค่อยจะเอาไหนเอาแต่สั่นเทา จะไปโทษเผิงยวี่ใจฝ่อก็ไม่ได้ บอกได้แต่เพียงเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น มันน่าตกใจมากเหลือเกิน
นับว่าเผิงยวี่นั้นมีความกล้าหาญแล้ว ไม่ได้ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยความตกใจก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
ในเวลานี้หลี่ชิเย่และจอมเทพท่าซิงนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูจอมเทพท่าซิงจะดีใจมากเป็นพิเศษ เขากับหลี่ชิเย่ไม่ได้มีฐานะเป็นศิษย์อาจารย์ในนาม แต่กับเป็นศิษย์อาจารย์กันจริงๆ การที่เขามีวันนี้ได้ล้วนแล้วแต่ได้การชี้แนะจากหลี่ชิเย่ โดยเฉพาะศึกล่าราชันในครั้งนั้นเขาได้ติดตามอยู่เคียงข้างซ้ายขวารถศึกของหลี่ชิเย่ บุกตะลุยศัตรูให้กับหลี่ชิเย่
เรียกได้ว่าในบรรดาจอมเทพด้วยกันแล้ว จอมเทพท่าซิงคือหนึ่งในจอมเทพที่ติดตามหลี่ชิเย่นานที่สุดคนหนึ่ง ครั้งนั้นหลี่ชิเย่ได้เดินทางกลับไปเก้าแดนแล้ว จอมเทพท่าซิงก็ไม่ได้พบกับหลี่ชิเย่ อีกเลย เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมาพร้อมกับร่างแท้จริง แล้วจะไม่ให้จอมเทพท่าซิงรู้สึกยินดีปรีดาได้รึ?
“พวกเจ้าสองคนเข้ามา รีบคารวะต่อใต้เท้า วันนี้มีโอกาสได้คารวะใต้เท้าถือเป็นบุญของพวกเจ้า” หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จอมเทพท่าซิงได้กวักมือสั่งการให้เผิงเย่และเผิงยวี่ที่กำลังยืนเหม่อ
เมื่อเผิงเย่และเผิงยวี่ได้ยินเสียงเรียกหาของบรรพบุรุษจึงได้สติกลับมา พวกเขารีบเร่งเข้าไปและคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยท่าทีตัวสั่นงันงกว่า “ข้าน้อยคารวะใต้เท้า…” เผิงเย่และเผิงยวี่ต่างก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่คือผู้ใดกันแน่ เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนไหน แต่ทว่า การคุกเข่าลงคารวะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแน่นอน
ยิ่งเผิงยวี่ด้วยแล้ว ถูกทำให้ตื่นตระหนกจนตัวสั่นงันงก เขาก้มกราบกับพื้นอยู่เป็นเวลานานไม่กล้าลุกขึ้นมา และกล่าวว่า “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามาถึง ได้ล่วงเกินเอาไว้มาก…” ในขณะนี้เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
นึกถึงสองวันที่ผ่านมาเคียงข้างหลี่ชิเย่ตลอด แถมเรียกขานเป็นพี่เป็นน้อง เมื่อนึกถึงระดับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่ข้างกายของตนนี่เอง แต่ตัวเองกลับไม่รู้อะไรเลย สร้างความหวาดหวั่นจนเหงื่อเย็นไหลรินไปทั่วร่าง
“ลุกขึ้นมาเถอะ ผู้ไม่รู้ไม่ผิด” หลี่ชิเย่มองดูเผิงยวี่แล้วยิ้มกล่าวขึ้นมา
เมื่อเผิงเย่และเผิงยวี่ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วถึงกับโล่งอก เหมือนยกภูเขาออกจากอก ดีที่ผู้ใหญ่ใจกว้างไม่ได้ถือสาเอาโทษพวกเขา
“ลูกหลานส่วนใหญ่อกตัญญู” จอมเทพท่าซิงที่มองดูเผิงเย่และเผิงยวี่แล้วต้องส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ตระกูลเผิงก็ถึงคราวอาทิตย์อัสดงแล้ว ยากจะรั้งความเสื่อมเอาไว้ได้”
แม้ว่าจอมเทพท่าซิงจะมีความแข็งแกร่งมาก แต่ว่าผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นเขานั้นไม่อาจรั้งอยู่บนโลกมนุษย์ได้นาน เขาจำเป็นต้องหลบเข้าไปอยู่ในแดนแห่งการสืบค้น ดังนั้นต่อให้เขามีใจผูกพันอยู่กับตระกูลเผิง แต่ก็ไม่มีเวลาและกำลังไปดูแลตระกูลเผิงได้
พวกของเผิงเย่ต่างละอายใจจนต้องก้มหน้าลง เมื่อถูกบรรพบุรุษประเมินเช่นนี้ ตระกูลเผิงของพวกเขามีทรัพยากรที่ไม่เลวนัก โดยเฉพาะยังมีบรรพบุรุษที่ยังคงมีชีวิตอยู่ สำนักทั่วไปต่างไม่กล้ามายุ่งกับตระกูลเผิงของพวกเขา และตระกูลเผิงของพวกเขาก็มีสงครามระหว่างสำนักต่างๆ น้อยมาก
แต่ว่าในหลายรุ่นที่ผ่านมา ตระกูลเผิงกลับไม่ปรากฏอัจฉริยะบุคคลขึ้นมา จากการที่รุ่นอาวุโสร่วงโรยไป กลุ่มคนรุ่นใหม่ยากจะทำอะไรได้ ทำให้ตระกูลเผิงดั่งอาทิตย์อัสดง ไม่ได้มีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนก่อน
หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะกับการประเมินค่าเช่นนี้ของจอมเทพท่าซิง และกล่าวว่า “เผิงยวี่นั้นยังพอจะบ่มฝักขึ้นมาได้ พรสวรรค์ของเขาอาจจะต่ำไปนิด แต่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรยังไม่ได้รับการขัดเกลา แต่ว่า รู้กาลเทศะ รู้อะไรควรไม่ควร หากได้รับการบ่มฟักสักหน่อย ต่อให้ไม่ได้มีผลงานที่น่าทึ่งในวิถีของสัจธรรม อนาคตหากได้กุมบังเหียนตระกูลเผิงยังมีโอกาสรุ่งเรืองได้”
เป็นความจริงที่เผิงยวี่ไม่ได้มีอะไรที่น่าทึ่งด้านการฝึก แต่ว่าการทำงานของเขาสามารถรับรู้สถานการณ์ และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้ดี มีความเป็นผู้นำ เพียงแต่ประสบการณ์น้อยเกินไป ยังดูอ่อนเยาว์ไป
“แม้แต่ใต้เท้ายังมองเช่นนี้ ย่อมคุ้มค่าแก่การเจียระไนอยู่บ้าง” จอมเทพท่าซิงพยักหน้าและสั่งการกับเผิงยวี่ว่า “เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน ข้าจะทำการเจียระไนเจ้าด้วยตัวเอง! อย่าทำให้ต้องผิดหวัง ภารกิจยิ่งใหญ่ของตระกูลเผิงอยู่บนบ่าของเจ้าแล้ว!”
จอมเทพท่าซิงรู้ว่าใต้เท้าเป็นผู้มองทะลุหมื่นชาติ การที่เผิงยวี่ได้รับการประเมินค่าเช่นนี้ เป็นการบ่งบอกว่าเผิงยวี่มีศักยภาพแฝงอยู่ โดยเหตุนี้เองจอมเทพท่าซิงจึงให้เผิงยวี่มาอยู่ข้างกายตนเพื่อทำการเจียรไน ในอนาคตตระกูลเผิงยังต้องการบุคลากรที่มาสร้างความเจริญรุ่งเรือง!
ตัวเผิงยวี่เองหวั่นไหวจนตะลึงอยู่ตรงนั้นไม่สามารถเรียกสติกลับมาในเวลานี้ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เมื่อได้สติกลับมาแล้ว ด้วยความตกใจระคนกับดีใจ เขารีบคุกเข่าก้มกราบกับพื้น กล่าวด้วยท่าทีที่เคารพยิ่งว่า “ได้รับการส่งเสริมจากท่านบรรพบุรุษ ลูกหลานจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ!”
กล่าวสำหรับเผิงยวี่แล้ว ความสุขนี้มาได้กะทันหันเหลือเกิน เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตนนั้นจะมีโอกาสได้รั้งอยู่ข้างกายบรรพบุรุษของตน อีกทั้งสิ่งนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะคำๆ เดียวของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง
เมื่อเผิงเย่ได้เห็นภาพนี้แล้วก็ให้ดีใจไปกับเผิงยวี่ด้วย เนื่องจากการจะได้รั้งอยู่ข้างกายบรรพบุรุษนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก มีเพียงศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงเยี่ยมจึงมีโอกาสได้ฝึกฝนอยู่ข้างกายของบรรพบุรุษ เวลานี้ บรรพบุรุษกลับยอมให้เผิงยวี่ได้อยู่ข้างกายเป็นกรณีพิเศษ สิ่งนี้กล่าวสำหรับเผิงยวี่แล้วคือโชควาสนาใหญ่สุดประมาณทีเดียว
“ออกไปเถอะ” จอมเทพท่าซิงกล่าวพร้อมกับโบกมือเบาๆ
เผิงยวี่และเผิงเย่ทั้งสองคนแสดงคารวะอีกครั้ง จากนั้นล่าถอยกลับออกไปด้วยความเคารพ
หลังจากที่เผิงยวี่และเผิงเย่ได้กลับออกไปแล้ว จอมเทพท่าซิงได้กล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “ร่างแท้จริงของใต้เท้ามาที่แดนสิบเที่ยวนี้ คิดจะทำการใหญ่อีกครั้งใช่หรือไม่? เตรียมเปิดศึกกับเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่ารึ?”
“ทำการใหญ่นั้นแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นการเปิดศึกกับเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสำนึกตัวของพวกเขาทั้งสามเผ่าแล้ว ถ้าหากพวกเขายังคงเข้าใจว่ามีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์บงการโลกนี้ได้ เช่นนั้นแล้วสมควรให้พวกเขาได้ตื่นสักที” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเขายินยอมอยู่ร่วมกับร้อยชาติพันธุ์อย่างสันติ ข้าคิดว่าข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ที่กระหายสงคราม”
“ยาก ต่อให้พวกของราชันซื่อตี้สามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีของตนได้ แต่ว่า กับสวรรค์ที่เป็นสำนักต้นกำเนิดของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าไม่แน่ว่าจะให้การยอมรับสถานะร้อยชาติพันธุ์ของพวกเรา แม้ว่าราชันซื่อตี้จะเป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตายาวไกลคนหนึ่ง แต่อาศัยตัวเขาคนเดียวเพียงลำพังก็ไม่สามารถกำหนดสถานการณ์ของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าได้ เว้นแต่จะได้รับการสนับสนุนจากพวกเสวียนตี้ที่เป็นระดับผู้ยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นแล้ว คิดจะกระโดดออกจากการการส่งผลกระทบของสำนักต่างๆ จากสวรรค์คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก” จอมเทพท่าซิงทอดถอนใจด้วยความหดหู่ยิ่งกล่าวพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
จอมเทพท่าซิงมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในแดนแห่งการสืบค้นมานาน แต่เขายังคงมีความเข้าใจในสถานการณ์ของสิบสามทวีปอย่างแท้จริง
“ไม่มีปัญหา อย่างมากก็เข่นฆ่าครั้งใหญ่อีกสักครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะไม่ใช่ศึกล่าราชันอีกแล้ว แต่เป็นศึกเข่นฆ่าราชัน! สรุปก็คือ ก่อนที่ข้าจะก้าวสู่การเดินทางเพื่อทำสงครามครั้งสุดท้าย ข้าไม่ต้องการเห็นพวกเขี้ยวลากดินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเขี้ยวลากดินอย่างไรก็ตามข้าก็จะไถกลบมันให้ราบ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ข้าน้อยยินดีติดตามข้างกายของใต้เท้าอีกครั้ง ติดตามใต้เท้าสู้รบจนถึงที่สุด” จอมเทพท่าซิงกล่าวด้วยท่าทีดีใจหลังจากได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
“มีโอกาสนั้นอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “แต่ว่า ด้วยสถานการณ์ในเวลานี้เจ้ายังคงกลับไปยังถ้ำเซียนของเจ้าไปตั้งใจฝึกฝนจะดีกว่า เมื่อคำนวณเรื่องเวลาแล้วเจ้าเองก็ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นนานแล้ว หากปรากฎตัวออกมานานเกินไป เกรงว่าจะบังเกิดสวรรค์ลงทัณฑ์ลงมา
“ถูกต้อง ข้าก็รู้สึกว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ห่างจากข้าไม่ไกลเกินไปนัก” จอมเทพท่าซิงพูดขึ้นมาด้วยความหดหู่ว่า “ไม่อย่างนั้นแล้ว คราวก่อนที่ลอบโจมตีจินเก๋อ ข้าคงไปรีบมารีบกลับ ก็เพราะเกรงจะนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์นี่แหละ”
เมื่อพูดถึงสวรรค์ลงทัณฑ์ ใครก็ต้องหน้าถอดสี แม้แต่จอมราชันเซียนหวังระดับสูงสุดที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายก็จนด้วยเกล้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับจอมเทพอย่างพวกเขาเลย ถ้าหากสวรรค์ลงทัณฑ์ถูกส่งลงมาแล้วเขายังคงอยู่บนโลกมนุษย์ล่ะก็จะต้องตายอย่างแน่นอน ทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือหลบกลับเข้าไปยังแดนแห่งการสืบค้น
“สิ่งที่เจ้าทำมานั้นมากเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตามล้วนแล้วแต่ถือเอาเรื่องของร้อยชาติพันธุ์เป็นหน้าที่ของตน ต่อให้จากนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่กลับสู่โลกปัจจุบันอีกแล้วก็ตาม จะไม่มีใครมีสิทธิ์มาต่อว่าเจ้าได้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ
เรียกได้ว่าจอมเทพท่าซิงได้เข้าร่วมศึกสงครามมามากมาย ขอเพียงเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของร้อยชาติพันธุ์ เขาจะก้าวออกมาอย่างไม่ลังเล ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าเขาจะไม่ใช่จอมเทพที่อยู่ในระดับสูงสุด แต่ว่าเขามีฐานะที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสสูงส่งในร้อยชาติพันธุ์
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่กล้าลืมคำสั่งสอนของใต้เท้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาใต้เท้าได้ทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ถือเอาความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาเป็นหน้าที่ของตน ดังนั้น ทุกสิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องการให้ข้าช่วย ข้าก็จะช่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ” จอมเทพท่าซิงกล่าวขึ้น
“กาลเวลาผ่านไปแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์มีวิถีทางของตนที่ต้องก้าวเดินต่อไป แม้ว่าเซียนหวังและราชันเซียนจำนวนมากต่างก็สร้างคุณูปการที่เยี่ยมยอดเอาไว้ แต่ ท้ายที่สุดแล้วยังคงต้องพึ่งพาตนเอง ถ้าหากจะต้องอยู่ใต้การคุ้มครองของปรัชญาเมธีตลอดไป เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้”
“ที่ใต้เท้าพูดมาก็ถูก” จอมเทพท่าซิงถึงกับพยักหน้าและกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์เองในยุคหลังมานี้ก็ให้กำเนิดบุคลากรที่มีฝีมือมาไม่น้อย ชาตินี้บุคลากรผู้มีฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็มีอยู่ไม่น้อย เฉกเช่นเหรินเซิ่นของทวีปเจียวเหิงโจวนั้นสามารถรับภาระสำคัญได้ เสียดาย การสืบทอดชะตาฟ้าของเขาในครั้งนี้ ถูกแก้แค้นโดยเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่า ทำให้พลาดโอกาสในการสืบทอดชะตาฟ้าไป”
เหรินเซิ่นคือดาวรุ่งของทวีปเจียวเหิงโจว สามารถเทียบเคียงกับจินเก๋อได้ ครั้งนั้นศึกลอบโจมตีจินเก๋อก็มีเขาเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา ทำให้จินเก๋อพลาดจากการได้สืบทอดชะตาฟ้า ภายหลัง เมื่อถึงคราวเหรินเซิ่นต้องสืบทอดชะตาฟ้าบ้าง เสียดายเขาถูกแก้แค้โดยเผ่าสวรรค์ถูกลอบโจมตี และส่งผลให้เขาต้องพลาดจากการสืบทอดชะตาฟ้าเช่นกัน
สิ่งนี้หาใช่เป็นเรื่องแปลก เหรินเซิ่นลอบโจมตีจินเก๋อ เผ่าสวรรค์พลาดโอกาสมีจอมราชันไปองค์หนึ่ง แน่นอนเผ่าสวรรค์ย่อมไม่สามารถอดกลั้นความอัปยศนี้เอาไว้ได้ ดังนั้น เผ่าสวรรค์ก็ลอบโจมตีเหรินเซิ่นบ้าง
แต่ทว่า เหรินเซิ่นเองก็นับว่าแข็งแกร่งโดยแท้จริง สามารถเอาชีวิตรอดจากการลอบโจมตีมาได้ เสียดาย ได้สูญเสียโอกาสสืบทอดชะตาฟ้าในครั้งนี้ไป
“มีเพียงผ่านการขัดเกลาจึงคงอยู่ได้ยาวนาน” หลี่ชิเย่พูดเฉยเมยขึ้นมาว่า “จอมราชันก็ดี เซียนหวังก็ช่าง แม้กระทั่งราชันเซียนเก้าแดน เส้นทางในอนาคตล้วนยาวไกลมาก การสืบทอดชะตาฟ้าเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น การก้าวเดินมาถึงจุดนี้ จำเป็นต้องอาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงยิ่งกว่า มิฉะนั้นล่ะก็ ต่อให้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมากกว่านี้ก็หาใช่เรื่องดีในอนาคต โชคร้ายและโชคดีมักจะคงอยู่อาศัยกันและกันเสมอ”
……………………………………………………………….