ตอนที่ 1857 ความลับของวัตถุสิ่งนั้น
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่มีสิบสามลัคนาอยู่ในครอบครองแล้ว เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของมันแล้ว ไม่สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้อีก อย่างน้อยที่สุดบนเส้นทางสายนี้ไม่มีใครสามารถทำได้เช่นหลี่ชิเย่ที่มีถึงสิบสามลัคนาได้อีกแล้ว การที่จะก้าวทะลวงตัวเองนั้นเกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ยากมาก
แม้ว่าหลี่ชิเย่ไม่สามารถบุกเบิกเพื่อสร้างลัคนาขึ้นมาใหม่เป็นลัคนาที่สิบสี่ แต่ว่า จะการที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวมาจนถึงระดับเทียรฆชาติสัจธรรมแล้ว ลัคนาที่อับแสงได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง สิบสามลัคนาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักได้ค่อยๆ กลับคืนสู่ปรกติอีกครั้งความลึกซึ้งพิสดารของสิบสามลัคนาได้มีการวิวัฒนาการไม่หยุดนิ่งขึ้นมาอีก
อาจกล่าวได้ว่าสิบสามลัคนาทำให้หลี่ชิเย่ได้ประโยชน์อย่างยิ่ง เหมือนดั่งที่เวลานี้เขาได้ผ่อนพลังขมุกขมัวเข้าออกอย่างนั้น
พลังขมุกขมัวของแดนแห่งการสืบค้นไม่เหมาะสำหรับใช้ในการฝึก เรือนิรันดรเรียกได้ว่าเป็นเรือที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง มันมีค่ายกลสำหรับการชุบกลั่นที่ยิ่งใหญ่ปราศจากผู้เทียบเทียม สามารถชุบกลั่นพลังขมุกขมัวของแดนแห่งการสืบค้นได้ แต่ว่า ต่อให้เป็นพลังขมุกขมัวที่ผ่านการชุบกลั่นแล้วก็ยังไม่เหมาะสำหรับการฝึกของผู้บำเพ็ญตนส่วนใหญ่
ผู้บำเพ็ญตนผ่อนพลังขมุกขมัวเข้าออกจำนวนน้อยอาจไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่หากผ่อนเข้าออกมากเกินไป จะส่งผลกระทบนานัปการ กระทั่งธาตุไฟเข้าแทรก
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่รับเอาพลังขมุกขมัวเข้าไปเสมือนหนึ่งปลาวาฬกลืนกินเหยื่อ แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ สิ่งนี้นอกจากความทรงพลังของเคล็ดวิชากลับคืนสู่ปุถุชนในการชุบกลั่นแล้ว ที่สำคัญมากกว่านั้นต้องยกให้เป็นผลงานของสิบสามลัคนา
สิบสามลัคนาสามารถออกจากพันธนาการทุกๆ ข้อจำกัด มันมีความหมายที่ลึกซึ้งยากจะหาได้เทียม มันทรงพลังถึงขั้นสามารถชุบกลั่นพลังขมุกขมัวของแดนแห่งการสืบค้นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ขณะที่หลี่ชิเย่กลืนกินพลังขมุกขมัวปริมาณมหาศาลเข้าไปจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อีกทั้งหลังจากผ่านการชุบกลั่นของสิบสามลัคนาแล้ว พลังขมุกขมัวของที่นี่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพลังขมุกขมัวที่อยู่ด้านนอกเลย
หลี่ชิเย่ไม่ได้บอกว่าตนเองจะต้องกลืนกินพลังขมุกขมัวของที่นี่อย่างบ้าคลั่ง และเขาก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยความพิเศษของแดนแห่งการสืบค้นมาเพิ่มความเร็วให้การฝึกของตน ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ หลี่ชิเย่ต้องการทดสอบอานุภาพสิบสามลัคนาของตนว่า สามารถหลุดออกจากการพันธนาการทุกประเภทในแดนแห่งการสืบค้นได้หรือไม่
หลังจากผ่านการทดสอบมารอบแล้วรอบเล่า หลี่ชิเย่รู้สึกพอใจในลี้ลับพิสดารของสิบสามลัคนาเป็นอันมาก เรียกได้ว่าสิบสามลัคนาจะไม่ถูกพันธนาการจากสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว นอกเหนือจากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตัวเขาแล้ว สิบสามลัคนามีค่ายิ่งกว่าของวิเศษใดๆ หรือเคล็ดวิชาใดๆ ทั้งสิ้น การได้ครอบครองสิบสามลัคนาเท่ากับบ่งบอกว่าทุกสิ่งกลับกลายเป็นมีความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด!
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้เรียกคืนสิบสามลัคนา และไม่กลืนกินพลังขมุกขมัวอีกต่อไป
เวลานี้หลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ ยามที่เขาได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น เหมือนเป็นการเปิดหน้าต่างออกมาสองบานอย่างนั้น หน้าต่างทั้งสองบานเหมือนเชื่อมต่อไปยังสถานที่สูงและไกลที่สุดของโลกหล้า เหมือนว่าในพริบตาเดียวนี้เอง คู่ดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่สามารถส่องสว่างทุกหนทุกแห่งบนโลกได้ สามารถแอบมองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้
เหมือนหนึ่งว่า ชั่วพริบตาเดียวนี้เองเมื่อหลี่ชิเย่ลืมตาคู่นี้ขึ้นมาแล้ว หลี่ชิเย่ก็ไม่ใช่หลี่ชิเย่คนเดิมอีกต่อไป เขาเสมือนหนึ่งได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาดุจดั่งเป็นสวรรค์ เขาคือผู้บงการทุกสิ่งในโลก สิ่งใดๆ ความลี้ลับพิสดารใดๆ ความลับใดๆ ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นคู่สายตาคู่นี้ของเขาไปได้
แอบส่องสวรรค์! หลี่ชิเย่ได้ตั้งชื่อให้กับเคล็ดวิชานี้ ยามที่ดวงตาคู่นี้ของเขาได้ลืมตาขึ้นมา ก็เหมือนหนึ่งสวรรค์ที่กำลังแอบมองสรรพสิ่งและสรรพชีวิตอย่างนั้น ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า “แอบส่องสวรรค์”
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้พบกับราชันเซียนมู่จั๋วแล้ว ก่อนจากเขาได้มอบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งให้กับหลี่ชิเย่ ซึ่งได้บันทึกประสบการณ์กับความลี้ลับมหัศจรรย์บางอย่างจากการแอบดูสวรรค์ของราชันเซียนมู่จั๋ว
หลังจากหลี่ชิเย่ได้พบกับราชันเซียนมู่จั๋วแล้ว ก่อนจากได้มอบกระดาษสีเหลืองให้หลี่ชิเย่แผ่นหนึ่ง โดยกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้ได้บันทึกประสบการณ์และความลี้ลับมหัศจรรย์บางอย่างจากการแอบสังเกตสวรรค์มา
หลี่ชิเย่ได้อาศัยบันทึกประสบการณ์ของราชันเซียนมู่จั๋วใช้วิธีการที่ล้ำเลิศไปทำการพัฒนา บวกกับสติปัญญาที่ปราศจากผู้เทียบเทียมและประสบการณ์ที่มี ในที่สุด สามารถสร้างสุดยอดวิชาแขนงนี้ขึ้นมาได้ ตั้งชื่อว่า “แอบส่องสวรรค์”
ในเวลานี้ สภาพภายในดวงตาของหลี่ชิเย่มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ๆ บางครั้งปรากฎเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านยิ่งนัก บางครั้งเป็นตระกูลขุนนางโบราณที่น่าเกรงขามปราศจากผู้เทียบเทียม บางครั้งปรากฏเป็นสถานที่ลึกลับ…
เหมือนว่าหลี่ชิเย่ในขณะนี้สามารถแอบมองสถานที่ทุกแห่งในสิบสามทวีปได้ เวลานี้ขอเพียงลืมตาทั้งสองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แห่งใด เรื่องใด เหมือนว่าเขาสามารถมองเห็นสิ้น
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้ละสายตานั้นกลับมา หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงภาพที่มองเห็นเป็นฉากๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า พอลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดวงตาคู่นี้ของเขาก็กลับคืนสู่ปรกติ เขาถึงกับยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ข้ากลับต้องการทดสอบอานุภาพของมันสักครั้ง”
หลังจากเรียกคืน “แอบส่องสวรรค์” แล้ว หลี่ชิเย่ได้หยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ สิ่งของชิ้นนี้มีสีดำทั้งชิ้น เสมือนหนึ่งผ่านการถูกไหม้ไฟมาแล้ว มันคือของที่บินมาจากนอกโลกของตระกูลราชันฉีหลินนั่นเอง
หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมาขณะมองดูวัตถุจากนอกโลกชิ้นนั้น ภายในใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง
บุคคลภายนอกไม่รู้หรอกว่าสิ่งของสิ่งนี้มาจากที่ใด แต่ทว่า ภายในใจของหลี่ชิเย่กลับรู้อย่างละเอียด สิ่งของสิ่งนี้มาจากการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย ในบางความหมายสามารถกล่าวได้ว่าวัตถุสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งของของโลกนี้
ทุกครั้งที่มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายก็จะต้องมีวัตถุหล่นลงมา จะอย่างไรเสีย ด้วยจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนจำนวนมากเข้าร่วมสงคราม อานุภาพย่อมจะต้องยากจะหาสิ่งใดเทียม ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนที่เข้าร่วมศึกสงครามล้วนแล้วแต่ไม่ได้ตัดสินใจกระทันหัน พวกเขาได้ผ่านการวางแผนลับๆ และผ่านการเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่
ท่ามกลางศึกสงครามลักษณะเช่นนี้ ต่อให้ไม่สำเร็จก็ต้องสร้างความสะเทือนหวั่นไหวขึ้นแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองจะต้องมีสิ่งของที่ร่วงหล่นลงมาจากสุดปลายทางของโลกอย่างแน่นอน
หลี่ชิเย่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ค่อยๆ หลับตาลง มือทั้งสองได้วางบนวัตถุที่บินมาจากนอกโลกชิ้นนั้น เวลานี้เอง ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” สิบสามลัคนาของหลี่ชิเย่ปรากฏขึ้นมา เปล่งประกายจางๆ ออกมา
ในเวลานี้ สิบสามลัคนาได้มีการวิวัฒนาอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังพัฒนาความลึกซึ้งพิสดารทุกสิ่งที่โลกมี หลักกฎเกณณ์ และระเบียบที่ไม่มีสิ้นสุดได้ทำการวิวัฒนาการภายในสิบสามลัคนา มันได้กลับกลายเป็นบทคัมภีร์ที่ไม่มีสิ้นสุด กลายเป็นหลักฎเกณฑ์ที่มากมายดั่งทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล การวิวัฒนาการของมันมีความรวดเร็วจนยากจะหาใดเทียม
สุดท้าย พลังขมุกขมัวได้ม้วนตัววนอยู่รอบๆ แขนทั้งสองข้างของหลี่ชิเย่ และมันคล้ายดั่งมีชีวิตอย่างนั้น ค่อยๆ มุดเข้าไปภายในวัตถุที่บินมาจากนอกโลกผ่านแขนทั้งสองข้างของหลี่ชิเย่
หลังจากที่พลังขมุกขมัวได้มุดเข้าไปในวัตถุชิ้นนั้นแล้ว ไม่ปรากกฎความเคลื่อนไหวที่สะเทือนฟ้าใดๆ หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก ได้ยินเสียงดัง “ปุ” เหมือนเปลือกนอกของสิ่งบางสิ่งปริแตกออกอย่างนั้น จากนั้น วัตถุที่บินมาจากนอกโลกซึ่งถูกเผาไหม้จนเกรียมนั้นกลับกางออกเป็นกลีบทีละกลีบเหมือนดอกบัวสีดำที่ค่อยๆ เบ่งบานออกมาอย่างนั้น
สุดท้าย เปลือกนอกของวัตถุที่บินมาจากนอกโลกได้เปิดออกทั้งหมดด้วยตนเอง จากนั้น ได้ยินเสียงดัง “ฟู่” สายลมโชยมาสายหนึ่ง เปลือกนอกที่เปิดออกดั่งกลีบดอกพลันเหี่ยวเฉาในบัดดล จากนั้นได้กลายเป็นควันดำและถูกลมพัดพาจนหายไปไร้ร่องรอย
เมื่อเปลือกนอกถูกเปิดออก วัตถุที่บินมาจากนอกโลกปรากฏวัตถุสิ่งหนึ่ง มันเปล่งเป็นแสงแวววาวออกมา
วัตถุที่บินมาจากนอกโลก หรือที่ผู้คนเรียกว่าวัตถุจากสวรรค์ มันคล้ายกับต้วนเจียงที่จอมเทพเสินกงได้มาอย่างนั้น จอมเทพเสินกงใช้เวลาหนึ่งแสนปีได้วัตถุที่บินมาจากนอกโลกชิ้นนั้นมา จากนั้นใช้เวลาอีกหนึ่งแสนปีเพื่อเปิดวัตถุที่บินมาจากนอกโลกออกมา แล้วใช้เวลาอีกหนึ่งแสนปีเพื่อบรรลุถึงวัตถุที่บินมาจากนอกโลกชิ้นนั้น
เรียกได้ว่าจอมเทพเสินกงผู้ซึ่งเป็นจอมเทพที่มีสิบลัคนาต้องใช้เวลาหลายแสนปีกว่าจะได้ต้วนเจียงที่ถือเป็นตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบนั้นมา
แน่นอนที่สุด หลี่ชิเย่นั้นใช่ว่าคนระดับอย่างจอมเทพเสินกงสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว ไม่เพียงเพราะหลี่ชิเย่มีประสบการณ์ที่มากมายและสุดยอดมาก ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ หลี่ชิเย่ได้ครอบครองสิบสามลัคนาที่ยอดเยี่ยมหาใดเทียมในหล้า สิบสามลัคนาสามารถหลุดพ้นพันธนาการทุกอย่างสามารถวิวัฒนาการวัตถุที่บินมาจากนอกโลกชิ้นนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น และเปิดเปลือกนอกของวัตถุที่บินมาจากนอกโลกชิ้นนี้ออกมา
หลี่ชิเย่ที่มองดูวัตถุที่เปล่งประกายแวววาวออกมาแล้วถึงกับหรี่ตาลงสองข้าง ประกายแวววาวนี้ไม่ได้ละลานตาเป็นพิเศษ แต่หากคิดจะมองทะลุผ่านประกายแวววาวนี้เพื่อให้เห็นวัตถุที่อยู่ภายในหาใช้เป็นเรื่องง่ายดาย ดวงตาของหลี่ชิเย่ในเวลานี้ลึกล้ำยิ่งนัก มีสมาธิเยือกเย็นมั่นคงปราศจากผู้เทียบเทียม ยามที่เขาเพ่งตรงไปข้างหน้านั้น สามารถผ่าความขมุกขมัวออกมา
หลี่ชิเย่ได้ใช้พลังไปมากทีเดียวกว่าจะมองเห็นวัตถุที่อยู่ท่ามกลางประกายแวววาวนั้นได้ชัดเจน ลักษณะของมันแลดูไปแล้วจะว่าเป็นหินก็ไม่ใช่ บนนั้นมีร่องรอยจางๆ เหมือนว่ารอยดังกล่าวยาวนานกว่ากาลเวลาเสียอีก ดึกดำบรรพ์มากกว่าฟ้าดินเสียอีก อีกทั้งร่องรอยดังกล่าวคล้ายเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาใช่เกิดจากสิ่งใดไปทำให้มันเป็นเช่นนั้น
เมื่อจ้องมองนานไปแล้ว หลี่ชิเย่รู้สึกปวดตาทั้งสองข้างขึ้นมา จึงจำต้องละสายตากลับคืน ยื่นมือไปลูบวัตถุนั้นเบาๆ เหมือนหนึ่งรับรู้ถึงการเต้นเป็นจังหวะของมันอย่างนั้น
หลี่ชิเย่หลับตาลงเป็นเวลานาน เพื่อรับรู้ถึงวัตถุชิ้นนี้ สุดท้าย เขาทอดถอนใจเบาๆ ออกมา และพึมพำว่า “วัตถุชิ้นนี้บินกลับไปยังตระกูลราชันฉีหลินย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว”
วัตถุที่บินมาจากสวรรค์มันไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน รูปลักษณ์ของมันมักจะเกิดจากเจ้านายคนแรกของมันเสมอๆ หรือก็คือคนแรกที่บรรลุถึงมันนั่นเอง
เช่นเดียวกันกับต้วนเจียงที่อยู่ในมือของจอมเทพเสินกงอย่างนั้น ตำราครึ่งเล่มและอาวุธที่ไม่สมประกอบชิ้นนี้แรกเริ่มเดิมทีหาใช่เป็นดาบโค้ง แต่เป็นเพราะจอมเทพเสินกงขณะอยู่ระหว่างบรรลุเข้าถึงมันได้กำหนดรูปลักษณ์ของมันในที่สุด ทำให้มันกลายเป็นดาบโค้งที่ยอดเยี่ยมไร้ผู้เทียบเทียมในหล้า
“ถ้าหากจะนำมาเปรียบเทียบกับวัตถุชิ้นนั้นของวิหารเทพสงครามแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ต้วนเจียงที่อยู่ในมือของเฒ่าเสินกงเป็นเพียงวัตถุไม่สมประกอบเกรดสองเท่านั้น และหากเปรียบเทียบกับวัตถุชิ้นนี้แล้ว วัตถุชิ้นนั้นของวิหารเทพสงครามก็เป็นได้เพียงวัตถุดิบที่เป็นส่วนปลายของวัตถุดิบเท่านั้น” หลี่ชิเย่ลูบไล้วัตถุนั้นเบาๆ กล่าวทอดถอนใจออกมา
ท่ามกลางสงครามเช่นนี้ วัตถุที่ถูกสั่นคลอนจนตกลงมาใช่จะมีเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นวัตถุที่ไม่สมประกอบ กระทั่งเป็นเหมือนวัตถุดิบที่อยู่ส่วนปลายหรือริบขอบ ขณะที่วัตถุที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่นั้น ไม่เพียงมีความสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นส่วนที่มีความสำคัญอีกด้วย
สามารถจินตนาการได้ว่า วัตถุชิ้นนี้ทรงคุณค่าเพียงใด ครั้งนั้นที่วัตถุชิ้นนี้บินเข้าไปตระกูลราชันฉีหลินหาใช่เกิดจากความบังเอิญ แต่มีการวางแผนมาก่อน
ศึกสงครามลักษณะนี้ทุกๆ ครั้งจะต้องมีวัตถุที่ถูกสะเทือนหวั่นไหวจนร่วงหล่นลงมา แต่มันได้กระจายตกลงในฟ้าดินแห่งนี้ ซึ่งเดิมทีวัตถุเหล่านี้ก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่สามารถได้สิ่งนี้มายิ่งมีอยู่น้อยคน
ดังนั้น วัตถุที่บินมาจากนอกโลกบินเข้าตระกูลราชันฉีหลิน มันย่อมมีสาเหตุของมันอยู่แล้ว
เหมือนดั่งที่เซียนหวังฉีหลินได้พูดเอาไว้ว่า วัตถุชิ้นนี้รอคอยผู้มีวาสนา ขณะหลี่ชิเย่คือผู้มีวาสนาคนนั้น
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้เก็บวัตถุชิ้นนั้นขึ้นทอดถอนใจเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หวังว่าการศึกครั้งนี้เพียงแค่ทำให้วัตถุร่วงหล่นลงมาเท่านั้น หากมีสิ่งอัปมงคลลงมาด้วย ไม่แน่นักอาจเปลี่ยนแปลงยุคสมัยนี้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”
บางที การต่อสู้ครั้งสุดท้ายใช่เพียงมีวัตถุร่วงหล่นลงมาเพียงแค่นั้น บางครั้งอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งอัปมงคลหนีเข้ามาอยู่ในสิบสามทวีปก็เป็นได้ ซึ่งจะนำมาซึ่งภัยพิบัติทำให้สิบสามทวีปต้องล่มจม
สิบสามทวีปใช่จะเป็นสิบสามทวีปของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นสิบสามทวีปของร้อยชาติพันธุ์ หากมีสิ่งอัปมงคลที่ส่งผลสั่นคลอนอย่างแรงต่อเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าของสิบสามทวีปจริง เผ่าสวรรค์ เผ่ามาร และเผ่าเทพทั้งสามเผ่าย่อมได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่ ร้อยชาติพันธุ์เองก็ต้องได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักเช่นกัน
เหมือนดั่งอเวจีในครั้งนั้น ไฟสงครามลามไปทั่วทั้งสิบสามทวีป แม้แต่สำนักที่มีหนึ่งสำนักเก้าราชันยังต้องมลายกลายเป็นเถ้าธุลีไป
ถ้าหากชาตินี้เกิดเรื่องทำนองเช่นนี้ขึ้นมาอีก ย่อมทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตต้องตายเป็นเบือ ซึ่งน่าสยองยิ่งกว่าศึกสงครามครั้งไหนๆ เสียอีก
ดังนั้น การที่พวกของราชันซื่อตี้ทำการปิดกั้นโลกใช่จะไม่มีเหตุผล และไม่ใช่เพียงแค่ต้องการวางแผนเล่นงานหลี่ชิเย่เท่านั้น พวกเขามองเห็นเหตุการณ์ประหลาดฟ้าดินที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงได้ร่วมมือกับจอมราชันเซียนหวัง ราชันเซียนเก้าแดนทั้งหมดตัดสินใจทำเช่นนี้
แน่นอน พวกของราชันซื่อตี้ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เกิดขึ้นเพราะฝีมือของหลี่ชิเย่