ตอนที่ 1858 เฟิงยี่
เรือนิรันดรยังคงแล่นไปข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่หลี่ชิเย่อยู่บนยอดเขาก็หลายวันมาแล้ว ดังนั้นจึงพาธิดาราชันฉีหลินออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายเสียบ้าง
บนเรือนิรันดรมีเวทีชมวิว นั่งอยู่ข้างกาบเรือบนเวทีชมวิว ดื่มสุรา และอาหารเลิศรส มองดูคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามากระทบกับตัวเรือ รับลมทะเลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแดนแห่งการสืบค้น นับเป็นเรื่องที่สบายใจยิ่งนัก
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่และธิดาราชันฉีหลินนั่งอยู่ที่เวทีชมวิวสำหรับแขกผู้มีเกียรติ มองดูทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแดนแห่งการสืบค้น ดื่มกินอาหารและสุราเลิศรสที่ทางเรือนิรันดรจัดให้ รับลมทะเลที่โชยเข้ามา มีความสุขยิ่งนัก
หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความหดหู่กับลมทะเลที่คุ้นเคย กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ แต่ทว่า ไม่ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด แดนแห่งการสืบค้นยังคงอยู่ที่ตรงนี้
ธิดาราชันฉีหลินขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดหญิงงามแห่งยุค ในชิงโจวต่อให้นางไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่งก็ต้องอยู่อันดับหนึ่งในสาม เฉกเช่นนางที่เป็นสาวงามแห่งยุคทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมากที่จดจำนางได้
การมีสาวงามอย่างธิดาราชันฉีหลินอยู่เคียงข้าง ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความอิจฉาให้กับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากยิ่งนัก
เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง เวลานี้สายตาจำนวนมากต่างพุ่งเป้าไปที่หลี่ชิเย่ พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ เพราะเหตุใดผู้ชายตรงหน้าที่ดูธรรมดาเช่นนี้จึงได้รับการโปรดปรานจากธิดาราชันฉีหลินถึงเพียงนี้ ท่าทางดูอ่อนโยนและเชื่อฟังปฏิบัติตามทุกอย่าง สร้างไฟแห่งริษยาขึ้นภายในใจของผู้ชายไม่รู้จำนวนเท่าไร
ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีสายตาจำนวนมากกว่าที่จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธเคือง ไม้รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการจับหลี่ชิเย่มาฉีกให้เป็นชิ้นๆ
“เปรี้ยง เปรี้ยง…” ในเวลานี้เอง ปรากฏฟ้าที่แลบผ่านท้องฟ้าไปเป็นระลอก ส่งเสียงดังขึ้นมาเป็นระลอก
“ต่างคนต่างประจำตำแหน่งของตน เรือกำลังจะแล่นผ่านเขตฟ้าแลบแล้ว…” เวลานี้ เรือนิรันดรปรากฎกัปตันเรือร้องเสียงดังออกมา
“ตูม ตูม ตูม…” ทันใดนั้น เรือนิรันดรได้แล่นผ่านเข้าไปยังทะเลที่เต็มไปด้วยฟ้าที่ผ่าลงมา ที่ตรงนี้ยังคงมองเห็นประกายที่ระยิบระยับ แต่ประกายที่ระยิบระยับไม่ใชประกายที่เหมือนเช่นกาลเวลา แต่เป็นประกายที่มาจากฟ้าแลบ
มองเห็นฟ้าแลบแต่ละสายที่มีขนาดใหญ่มากวิ่งอยู่ใต้ทะเล สายฟ้าแลบแต่ละสายที่วิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลมองดูไปแล้วคล้ายเป็นมังกรขนาดยักษ์แต่ละตัวอย่างนั้น
“เปรียะ เปรียะ…” เสียงฟ้าแลบดังขึ้น เมื่อเรือนิรันดรบุกฝ่าเข้าไปในทะเลบริเวณนั้น พลันปรากฏคลื่นยักษ์สูงเป็นหมื่นจ้าง แต่คลื่นยักษ์ที่ว่าไม่ใช่น้ำทะเล มันคือสายฟ้าแลบจำนวนนับไม่ถ้วน ฉับพลันนั้น สายฟ้าแลบเหล่านี้เสมือนหนึ่งเป็นดอกไม้ไฟที่ระเบิดออกมา และมีสายฟ้าแลบจำนวนมากที่พุ่งเข้าหาเรือนิรันดร
“แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์…” จังหวะที่สายฟ้าแลบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาเรือนิรันดรนั้น ปรากฏกำแพงทองแดงผนังเหล็กลอยขึ้นมาทุกด้าน เป็นการสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปราศจากผู้ต่อกรขึ้นมา
ได้ยินเสียง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดั้งขึ้น เมื่อสุดยอดค่ายกลขนาดใหญ่ปรากฏ มันได้ทำการล่อให้สายฟ้าทั้งหมดเข้าไปอยู่ภายในค่ายกลขนาดยักษ์ มองเห็นสายฟ้าแลบกลับกลายเป็นม่านไฟฟ้าขนาดยักษ์ จากการชักนำของค่ายกลขนาดยักษ์ ในที่สุดสายฟ้าทั้งหมดได้ถูกนำเข้าไปอยู่ในขวดที่มีความประณีตงดงามและโปร่งใสใบหนึ่ง
ขวดใบนี้ผ่านการหลอมกลั่นโดยผู้ที่ยอดเยี่ยมยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้า หลังจากที่สายฟ้าทั้งหมดถูกล่อให้เข้าไปอยู่ในขวดทั้งหมดแล้ว ได้ยินเสียงดัง “ปุ” ภายในระเวลาอันสั้น สายฟ้าทั้งหมดถูกกลั่นให้กลายเป็นสายฟ้าเหลวหยดลงไปในขวดดังกล่าว
“เปรียะ เปรียะ…” เสียงฟ้าแลบดังขึ้น เรือนิรันดรบุกฝ่าเข้าไปในเขตฟ้าผ่าท่ามกลางเสียงดังตูมตาม พลันปรากฏคลื่นสายฟ้าขนาดยักษ์ มองดูสายฟ้าแลบที่เสมือนหนึ่งเป็นดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน และท้ายที่สุดถูกกลั่นเป็นสายฟ้าเหลวและถูกเก็บไว้ในขวด
ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่เพิ่งจะได้โดยสารเรือนิรันดรเป็นครั้งแรกต่างก็ตกใจจนตะลึงอยู่ตรงนั้น พวกเขามองดูภาพที่อลังการเช่นนี้จนเคลิบเคลิ้ม
แน่นอนที่สุด ทุกคนต่างรู้สึกวางใจเมื่อได้เห็นกำลังที่แข็งแกร่งดุดันของเรือนิรันดรแล้ว ในเมื่อแล่นอยู่ท่ามกลางเขตฟ้าผ่าก็ยังคงปลอดภัย คงไม่ต้องกังวลว่าเรือนิรันดรจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว
การนั่งดื่มสุราเลิศรสท่ามกลางม่านราตรีที่มีสายฟ้าเบ่งบาน รับกับลมทะเลที่พัดโชยเข้ามา บอกได้เลยว่าเป็นความโรแมนติกที่บอกไม่ถูกจริงๆ
หลี่ชิเย่ถึงกับพยักหน้าและเอ่ยชม เมื่อมองเห็นเรือนิรันดรนำเอาสายฟ้ามากลั่นให้เป็นสายฟ้าเหลว “นับว่าเป็นเรือที่ดีลำหนึ่ง มีเพียงจอมราชันเซียนหวังจึงสามารถสร้างขึ้นมาได้ กัปตันเรือลำนี้นับว่าสายตากว้างไกล ถึงกับแล่นผ่านเขตฟ้าผ่านี้เป็นการเฉพาะ ไม่เพียงทำให้ระยะทางสั้นลง ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บรวบรวมสายฟ้าเหลวทำกำไรได้อีก”
“ได้ยินว่าเรือลำนี้มีประวัติความเป็นมาไม่เบาเลย ลงมือสร้างขึ้นโดยจอมราชันเซียนหวังหลายคนด้วยกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าของเรือที่อยู่เบื้องหลัง” ธิดาราชันฉีหลินมองดูภาพที่อลังการเช่นนี้แล้วถึงกับพูดออกมาว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังคือจอมราชันเซียนหวังองค์ไหนกันบ้างนะ”
เรือนิรันดรในฐานะเรืออันดับหนึ่งที่แล่นไปมาในแดนแห่งการสืบค้น จอมราชันเซียนหวังที่อยู่เบื้องหลังมีความแข็งแกร่งจริง ไม่เพียงไม่มีใครกล้าคิดร้ายต่อมัน อีกทั้งยังเป็นเรือที่แล่นไปมาในแดนแห่งการสืบค้นที่ปลอดภัยมากที่สุด
หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ จากฝีมือการสร้างเขาย่อมดูออกว่ามาจากฝีมือของจอมราชันเซียนหวัง คนไหนบ้าง
เป็นความจริงที่เรืออย่างเรือนิรันดรสร้างความหวั่นไหวให้กับผู้คนได้จริงๆ เรือแตรสังข์ของเขาก็นับว่าแข็งแกร่งพอแล้ว และมีขนาดยักษ์มากพอ แต่เมื่อเทียบกับเรือนิรันดรลำนี้ที่อยู่ตรงหน้าแล้วยังห่างชั้นอีก
ขณะที่หลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินกำลังสบายอกสบายใจกับการชื่นชมภาพสวยงามที่อยู่ตรงหน้า จังหวะนี้เองชายหนุ่มที่ท่าทีดูอิ่มเอิบมีชีวิตชีวาสง่าผ่าเผยเดินเข้ามาหา
ชายหนุ่มผู้นี้อกผายไหล่ผึ่ง มีท่าทีของความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ พลังขมุกขมัวที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา ดูจากท่วงท่าของเขาแล้วก็รู้ได้ว่าทรงพลังยิ่งนัก พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสวรรค์สัจธรรม
ความจริงแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้จ้องมองหลี่ชิเย่มานานมากแล้ว เพียงแต่เมื่อเห็นหลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินพูดไปหัวเราะกันไปท่าทีเหมือนสนิทสนมมาก เขาจึงอดกลั้นไม่ไหวต้องเดินเข้ามาหา
หลังจากที่ชายหนุ่มผู้นี้ได้เดินเข้ามาแล้ว เขาโค้งคำนับให้กับธิดาราชันฉีหลินอย่างงาม ท่าทีดูให้ความเคารพยิ่งนัก และกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว”
ธิดาราชันฉีหลินพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “คุณชายเฟิงยี่ ไม่พบกันนานแล้ว”
“ไม่ ไม่ ไม่ ธิดาราชันกล่าวหนักไปแล้ว คำพูดเช่นนี้ของธิดาราชันจะทำให้ศิษย์ต้องลำบาก ธิดาราชันเรียกข้าว่าเสี่ยวเฟิงก็พอแล้ว” ชายหนุ่มผู้นี้รีบพูดขึ้น ท่าทางดูให้ความเคารพยิ่ง
ธิดาราชันฉีหลินไม่ได้กล่าวอะไรเพียงพยักหน้าเท่านั้น ไม่ได้แสดงท่าทีอย่างอื่นออกมา
ชายหนุ่มผู้นี้กล่าวด้วยท่าทีที่เคารพยิ่งว่า “ฝ่าบาท อาจารย์ของข้าก็อยู่บนเรือ เพียงแต่ท่านเข้าฌานฝึกวิชา ไม่ทราบว่าฝ่าบาทว่างช่วงไหน? อาจารย์ของข้ายินดีสนทนาธรรมกับฝ่าบาท”
“ฉินไป่หลี่ก็มาด้วยแล้ว!” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่อยู่บนเวทีชมวิวถึงกับใจหายใจคว่ำ เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้
“มีโอกาสข้าจะพบกับพี่ฉินสักหน่อย” ท่าทีของธิดาราชันฉีหลินเรียบเฉย เอ่ยขึ้นเบาๆ และเชื่องช้า
ชายหนุ่มรู้สึกจนด้วยเกล้าอยู่บ้างเมื่อได้เห็นท่าทีของธิดาราชันฉีหลิน เขาเบนสายตาไปที่ตัวของหลี่ชิเย่ เห็นประกายตาเต้นกระตุกนิดหนึ่ง ท่าทียังคงแลดูมีมารยาท กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าน้อยคือเฟิงยี่แห่งพรรคซั่วเทียน ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร”
“แค่ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ควรคู่แก่การเอ่ยถึง” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งด้วยท่าทีที่เรียบเฉยยิ่งกับท่าทีที่มีมารยาทของชายหนุ่ม
“เฟิงยี่ ศิษย์เอกของฉินไป่หลี่” ผู้บำเพ็ญตนบางส่วนบนเวทีชมวิวที่ไม่รู้จักชื่อของเขา เมื่อได้ยินชายหนุ่มผู้นี้แนะนำตัวเองแล้วถึงกับตกใจไม่น้อย
ในชิงโจวนั้น ฉินไป่หลี่นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง คือดาวรุ่งที่คู่คี่อยู่กับจินเก๋อ แม้ว่าภายหลังจะพ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อ แต่ยังคงไม่ทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมคลาย
ฉินไป่หลี่มีชาติกำเนิดมาจากพรรคซั่วเทียน ขณะที่พรรคซั่วเทียนนั้นคือหนึ่งสำนักสี่เซียนหวัง มีธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งมาก อีกทั้งเซียนหวังซั่วเทียนปฐมบรรพบุรุษของพรรคซั่วเทียนคือเซียนหวังองค์แรกของร้อยชาติพันธุ์ ย่อมประเมินได้ว่าพรรคซั่วเทียนนั้นมีความแข็งแกร่งปานใดแล้ว
“พรรคซั่วเทียนนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ แม้แต่ศิษย์ของเขาก็มีพลังขมุกขมัวถึงหกร้อยล้านลิตรแล้ว ลองนึกดู แล้วตัวของเขาเองจะแค่ไหน” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสถึงกับตกใจเมื่อเห็นสภาพของเฟิงยี่แล้ว
เฟิงยี่ถึงกับขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อเห็นหลี่ชิเย่มีปฏิกิริยาที่เรียบเฉย เนื่องจากในชิงโจวน้อยคนนักที่ได้ยินชื่อของพรรคซั่วเทียนแล้วมีปฏิกิริยาเรียบเฉย
“ท่านจะต้องเป็นอัจฉริยบุคคลแน่นอน เฟิงยี่เป็นผู้ใฝ่รู้เสมอมา ไม่อายที่จะขอคำชี้แนะ อยากจะร่วมสนทนากับท่าน เพื่อค้นหาสัจธรรมด้วยกัน” เฟิงยี่ไม่ได้มาเพื่อโอ้อวดกำลัง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของเฟิงยี่แล้ว เขาพิจารณาเฟิงยี่นิดหนึ่งยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ของเจ้าชอบเมิ่งหยิงรึ?”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกไป ทำให้ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่หลี่ชิเย่โบกไม้โบกมือเบาๆ นางจึงต้องหยุดอยู่แค่นั้น
“อาจารย์ของข้ากับฝ่าบาทคือคู่สร้างคู่สม” เฟิงยี่เองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ทำท่าอกผายไหล่ผึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมีพลัง
ที่แท้เฟิงยี่ต้องการออกหน้าแทนอาจารย์ เนื่องจากก่อนหน้านั้นพรรคซั่วเทียนเคยคิดจะเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลราชันฉีหลิน พรรคซั่วเทียนนั้นถือเป็นสำนักในกลุ่มของร้อยชาติพันธุ์ ขณะที่ตระกูลราชันฉีหลินก็อยู่ในกลุ่มร้อยชาติพันธุ์เช่นกัน ฉินไป่หลี่คือสุดยอดดาวรุ่งแห่งยุค ขณะที่ธิดาราชันฉีหลินก็มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นกิ่งทองใบหยก
เพียงแต่ตระกูลราชันฉีหลินต้องการให้ธิดาราชันฉีหลินขึ้นเป็นกษัตริย์ ดังนั้น ความคิดเกี่ยวดองสมรสครั้งนี้จึงไม่ประสบผลสำเร็จ
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เฟิงยี่ในฐานะผู้เยาว์มองว่า มีเพียงอาจารย์ของเขาที่เป็นสุดยอดดาวรุ่งแห่งยุคเท่านั้นที่คู่ควรกับธิดาราชันฉีหลินที่เป็นธิดาราชันยากจะหาใดเทียม!
เนื่องจากอาจารย์ของเขามุ่งมั่นในการฝึกฝน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรักหนุ่มสาวมากนัก ทำให้ตัวเขาซึ่งเป็นศิษย์ถึงกับร้อนใจแทน ศิษย์เอกอย่างเขาย่อมคาดหวังให้อาจารย์ของตนได้เคียงคู่กับสาวงามในเร็ววัน ด้วยการไปใกล้ชิดกับธิดาราชันฉีหลินให้มาก
มาคราวนี้ได้พบกันบนเรือนิรันดร อาจารย์ของเขายังไม่ได้ไปตามจีบธิดาราชันฉีหลิน ขณะที่ข้างกายของธิดาราชันฉีหลินกลับปรากฏหลี่ชิเย่ขึ้นมา อีกทั้งท่าทีของทั้งสองคนยังดูเหมือนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
ดังนั้น เฟิงยี่จึงมีอาการร้อนรนขึ้นมา คิดจะออกหน้าแทนอาจารย์ของตนด้วยการแยกหลี่ชิเย่ให้ออกจากธิดาราชันฉีหลิน
คำพูดของเฟิงยี่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินต้องขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เพียงแต่หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้นางได้พูด นางก็ขี้คร้านจะพูดอะไรออกมา เรื่องเกี่ยวดองสมรสในครั้งนั้นฝ่ายพรรคซั่วเทียนเป็นผู้เสนอเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงอาการโกรธ พยักหน้าและกล่าวว่า “สามารถคิดแทนอาจารย์ นับว่าเป็นศิษย์ที่ดีคนหนึ่งโดยแท้”
“อาจารย์ของข้าก็กระหายอยากที่จะได้ผู้มีความรู้ความสามารถ ยินดีแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้มีความรู้ทั่วหล้า เพียงแต่ท่านกำลังกักตนเข้าฌานอยู่ ศิษย์อกตัญญูเช่นข้ายินดีถกเรื่องสัจธรรมแทนอาจารย์ ไม่ทราบว่าท่านเห็นเป็นเช่นใด?” เฟิงยี่กล่าวขึ้นช้าๆ
การที่เฟิงยี่พูดออกมาเช่นนี้เพราะเขาต้องการเอาชนะหลี่ชิเย่ เพื่อให้หลี่ชิเย่รู้ว่ายากและถอยออกไป ให้หลี่ชิเย่ได้รู้ว่าผู้หญิงอย่างธิดาราชันฉีหลินมีเพียงอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่คู่ควร
………………………………………