ตอนที่ 1856 ไปยังแดนแห่งการสืบค้น
เรือนิรันดรออกเดินทางตามกำหนด ขณะที่มันถอนสมอขึ้นมา บนเรือนิรันดรได้บรรทุกยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนเรือนหมื่น
เนื่องจากเรือนิรันดรคือเรือเพียงหนึ่งเดียวในท่าเรือและสนามบินที่เดินทางไปยังไกลกันดาร เส้นทางของมันเรียกได้ว่าได้แล่นไปตลอดเส้นทางที่เป็นที่รู้จักกันของแดนแห่งการสืบค้น ณ เวลานี้ มันไม่เพียงแล่นไปถึงไกลกันดารที่เป็นจุดสุดท้าย ขณะเดียวกัน มันยังได้แล่นผ่านแหลมเฮ่าว่าง และเมืองตี้ฮว่าเป็นต้น ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับความนิยมสูงในการมาผจญภัย ณ แดนแห่งการสืบค้น ดังนั้น ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญตนที่มีฐานะล้วนแล้วแต่นิยมโดยสารไปกับเรือนิรันดร
นอกเหนือจากเรื่องของเส้นทางการเดินเรือแล้ว เรือนิรันดรได้ชื่อว่าเป็นเรือที่มีความปลอดภัยมากที่สุดของเส้นทางการเดินเรือสายนี้ เรือนิรันดรได้ชื่อว่าผ่านการสร้างและปลุกเสกโดยจอมราชันเซียนหวัง และเทพโบราณ และเป็นความจริงที่มันไม่ได้แอบอ้าง เนื่องจากเรือนิรันดรถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือของจอมราชันเซียนหวัง และเทพโบราณจริงๆ ลำเรือทั้งลำของเรือนิรันดรขึ้นชื่อว่าสามารถรองรับการโจมตีระดับจอมราชันเซียนหวังได้
ด้วยเหตุนี้เอง เรือนิรันดรจึงได้กลายเป็นเรือลำที่มีความปลอดภัยมั่นคงแข็งแรงที่สุดสำหรับเส้นทางเดินเรือสายนี้
อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดคิดร้ายต่อเรือนิรันดร ในแดนแห่งการสืบค้นมีโจรผู้ร้ายที่คอยดักปล้นบรรดาผู้บำเพ็ญตนที่มาผจญภัย แต่ ไม่เคยมีใครกล้าคิดร้ายต่อเรือนิรันดร
เล่าลือกันว่า เบื้องหลังของเรือนิรันดรมีจอมราชันเซียนหวังหลายคนคอยให้การสนับสนุนอยู่ และเรือนิรันดรลำนี้มีจอมราชันเซียนหวังหลายคนเป็นเจ้าของร่วม และเคยถูกจอมราชันเซียนหวังนำมาใช้โดยสารไปมาในแดนแห่งการสืบค้นแห่งนี้มาก่อน
จากการที่เรือนิรันดรมีจอมราชันเซียนหวัง และเทพโบราณหลายคนให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนี่เอง ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าคิดร้ายต่อเรือนิรันดร
กัปตันเรือของเรือนิรันดรเคยพูดด้วยบุคลิกลักษณะอันห้าวหาญให้การรับประกันต่อผู้โดยสารทุกคนว่า ขอเพียงผู้โดยสารนั่งอยู่บนเรือนิรันดร โดยไม่ได้ออกไปจากตัวเรือนิรันดร พวกเขากล้ารับประกันว่าสามารถนำพาบุคคลผู้นั้นเข้าไปยังแดนแห่งการสืบค้น จากนั้นก็ส่งกลับไปยังที่เดิมได้อย่างปลอดภัยไม่มีบุบสลายแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน
สืบเนื่องจากความปลอดภัยที่มีของเรือนิรันดร จึงทำให้ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากถือเอาเรือนิรันดรเป็นเรือท่องเที่ยวชมวิว พวกเขาไม่ได้มาเพื่อผจญภัย เพียงแค่นั่งอยู่บนเรือนิรันดรเที่ยวชมวิวของแดนแห่งการสืบค้นเท่านั้น
“ลาก่อน…” ขณะที่เรือนิรันดรเริ่มออกเดินทาง ผู้คนจำนวนมากทยอยกันโบกมืออำลาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่มาส่ง
บรรดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่มาส่งยังคงยืนอยู่ที่ท่าเรือและสนามบิน มองดูเงาหลังเรือนิรันดรที่จากไปไกล ยังคงโบกมือไม่หยุด เนื่องจากเมื่อไหร่ที่เหยียบย่างเข้าไปในแดนแห่งการสืบค้นเพื่อผจญภัยล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองจะได้รอดกลับมาอีกหรือไม่ จะอย่างไรเสียสถานที่แห่งนี้กระทั่งจอมราชันเซียนหวังยังมีโอกาสร่วงหล่นลงมาได้ ไม่แน่นักนี่อาจะเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเขากับบรรดาญาติมิตรก็เป็นได้
ถึงแม้จะมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยไม่อยากลาจากญาติมิตรของตน แต่ว่าพวกเขายังคงตัดสินใจก้าวสู่เส้นทางของแดนแห่งการสืบค้นอย่างเด็ดเดี่ยว จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว แดนแห่งการสืบค้นเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนใจมากมายเหลือเกิน
แม้ว้าเรือนิรันดรจะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก มันเสมือนหนึ่งเป็นผืนแผ่นดินที่มีขนาดใหญ่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แต่ว่า ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันน่ากลัวยิ่งนัก ซึ่งเป็นดั่งที่เรือนิรันดรเรียกตัวเองว่าพวกเขาเดินทางด้วยความเร็วระดับจอมราชันเซียนหวัง
แน่นอน ในด้านความหมายที่เข้มงวดจริงๆ แล้ว เรือนิรันดรยังมีความเร็วที่ห่างชั้นกับความเร็วของจอมราชันเซียนหวังอยู่มากทีเดียว แต่สามารถกล่าวได้ว่ามันคือเรือที่แล่นได้เร็วที่สุดบนเส้นทางเดินเรือสายนี้แล้ว
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวัน เรือนิรันดรก็ได้เริ่มต้นเข้าสู่เขตของแดนแห่งการสืบค้นแล้ว
“ผู้โดยสารทุกท่านโปรดทราบ พวกเราได้เข้าสู่แดนแห่งการสืบค้นแล้ว ขอทุกคนต่างเตรียมตัวให้พร้อม หากผู้ใดรู้สึกไม่สบายโปรดอย่าได้เดินลมปราณผ่อนพลังขมุกขมัวเข้าออก แม้ว่าเรือนิรันดรของเราจะได้ทำการหลอมกลั่นพลังขมุกขมัวที่ลอยเข้ามาภายในลำเรือ แต่ไม่กล้ารับประกันว่าจะเป็นพลังขมุกขมัวที่เหมาะแก่การฝึกเต็มร้อย หากยังคงมีผู้ใดดึงดันจะทำการฝึกต่อไป หากปรากฎมีธาตุไฟเข้าแทรกต่างๆ เกิดขึ้น ทางเรือนิรันดรของเราจะไม่รับผิดชอบ” ทันทีที่เรือนิรันดรแล่นเข้าไปในเขตของแดนแห่งการสืบค้น ลูกจ้างที่อยู่ภายในเรือนิรันดรก็ได้ประกาศเตือนผู้โดยสารทุกคน
“ดูนั่นสิ แดนแห่งการสืบค้นอยู่ตรงหน้าเอง!” ผู้บำเพ็ญตนที่เพิ่งจะได้มาแดนแห่งการสืบค้นเป็นครั้งแรกดูจะดีใจมากเป็นพิเศษ วิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็ว ยืนอยู่บริเวณกาบเรือมองดูแดนแห่งการสืบค้นจากระยะห่างไกล
มองไปข้างหน้าเห็นเป็นหมอกหนาทึบ ท่ามกลางหมอกนี้ยากจะมองเห็นประกายจากดวงดาวแล้วในขณะนี้ ต่อให้บนท้องฟ้ามีดวงดาวอยู่ก็ดูจะอับแสงไร้ประกายเสียแล้ว
ท่ามกลางหมอกหนาทึบสามารถมองเห็นสภาพของแสงสีมากหมายหลายหลากที่พิลึกกึกกือ เมื่อมองจากระยะห่างไกลเหมือนมีสิ่งบางสิ่งที่คล้ายก้อนเมฆตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น มันเหมือนมีสภาพอยู่ท่ามกลางระหว่างความจริงกับมายา ที่ตรงนั้นก็มีดินสีดำอยู่ ขนาดของมันกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง แต่ดินสีดำนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหุบเหวลึกอย่างนั้น เหมือนว่าหากเหยียบลงบนดินสีดำจะทำให้คนถูกดูดลงไปทันที และตกลงไปยังหุบเหวลึกไม่ได้ผุดได้เกิดอีก ขณะเดียวกันก็มีดวงดาวและเมฆที่ดูลึกล้ำ เมื่อมองจากระยะไกล เหมือนว่ามันอยู่ห่างจากทุกคนหนึ่งล้านๆปีแสงอย่างนั้น เหมือนว่ามันไม่ได้อยู่ในศักราชนี้ แต่เป็นเงาที่ตกกระทบลงมาจากศักราชที่ยาวไกล ทำให้แลดูเหมือนเป็นความจริง แต่ก็ห่างไกลเหลือเกิน…
หลังจากที่ได้เข้าไปยังแดนแห่งการสืบค้นแล้ว ผู้ที่สามารถมองเห็นภาพนี้ต่างรู้สึกว่ามันคือเรื่องของแสงสีมากหมายหลายหลากที่พิลึกกึกกือ กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าไปอยู่ท่ามกลางระหว่างมายากับความจริง ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือจริงหรือเท็จ อีกทั้งสิ่งที่มองเห็นนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนสามารถสะกดจิตวิญญาณของผู้คนได้ ดุจดั่งทั่วทั้งแดนแห่งการสืบค้นมีสัตว์และมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลับใหลอยู่ในแดนแห่งการสืบค้น หากเข้าไปใกล้ก็จะถูกกลืนกินวิญญาณจนสิ้น!
นอกจากสภาพที่เป็นแสงสีมากหมายหลายหลากที่พิลึกกึกกือแล้ว ทั่วทั้งแดนแห่งการสืบค้นยังตลบอบอวลไปด้วยพลังขมุกขมัว กระทั่งเรียกได้ว่าทั่วแดนแห่งการสืบค้นล้วนแล้วแต่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังขมุกขมัวอย่างนั้น
ทอดสายตามองออกไป เต็มไปด้วยพลังขมุกขมัวทุกหนทุกแห่ง เหมือนว่าฟ้าดินแห่งนี้ยังไม่เคยได้รับการบุกเบิกมาอย่างนั้น ไม่เคยถูกบริหารจัดการมาก่อน
แต่ว่า ผู้บำเพ็ญตนที่มีประสบการณ์เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่าพลังขมุกขมัวที่อยู่ในบริเวณแดนแห่งการสืบค้นแตกต่างกับโลกภายนอก พลังขมุกขมัวของที่ตรงนี้จะออกเป็นสีม่วงดำ ดูแล้วให้ความรู้สึกประหลาด เหมือนว่ามันตกตะกอนนานเกินไป เลยกลายเป็นพลังขมุกขมัวที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปแล้ว
“พลังขมุกขมัวเข้มข้นมากเหลือเกิน หากสามารถรั้งอยู่ที่แดนแห่งการสืบค้นเพื่อฝึกฝนมิได้ผลเกินคาดรึ” กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งได้มายังแดนแห่งการสืบค้นเป็นครั้งแรกเมื่อได้เห็นพลังขมุกขมัวที่เข้มข้นเพียงนี้ถึงกับกล่าวด้วยความดีใจ
อาจกล่าวได้ว่า พลังขมุกขมัวที่มีอยู่ในแดนแห่งการสืบค้นเข้มข้นมากกว่าพื้นที่บรรพชนของสายสำนักราชันเซียนจำนวนมากด้วยซ้ำ พลังขมุกขมัวของที่นี่เข้มข้นจนแทบแยกไม่ออก
“เจ้าทึ่มเอ้ย พลังขมุกขมัวของที่นี่ไม่สามารถใช้ในการฝึกได้” ผู้อาวุโสส่ายหัวและกล่าวว่า “แม้แต่พลังขมุกขมัวที่ผ่านการหลอมกลั่นมาแล้วบนเรือนิรันดรยังไม่เหมาะแก่การฝึกเลย ผู้คนส่วนใหญ่ที่ฝึกนานแล้วก็ต้องส่งผลกระทบในระดับหนึ่ง แม้ว่าพลังขมุกขมัวของที่นี่สามารถทำให้การฝึกรุดหน้าได้รวดเร็วมาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็มีมากเป็นพิเศษ เบาคือธาตุไฟเข้าแทรก หนักถึงขั้นเสียชีวิต”
“เป็นเพราะอะไร…” กลุ่มคนรุ่นใหม่ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“รายละเอียดนั้นใครก็บอกได้ไม่ชัดเจนนัก เล่าลือกันว่าพลังขมุกขมัวของที่นี่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยของพวกเรา มันคือพลังขมุกขมัวที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ เคยผ่านการทำลาย กัดเซาะมาแล้ว ซึ่งแตกต่างจากพลังขมุกขมัวที่อยู่โลกภายนอกซึ่งเปี่ยมด้วยพลังชีวิต” ผู้อาวุโสได้กล่าวขึ้นช้าๆ
“ซ่าาา ซ่าาา ซ่าาา…” ในเวลานี้ ได้ยินเสียงคลื่นดังขึ้นเป็นระลอก เรือนิรันดรแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นเป็นลูกๆ
หลายคนเพิ่งจะได้มาที่แดนแห่งการสืบค้นเป็นครั้งแรก ดังนั้น จึงทยอยกันวิ่งไปบริเวณกาบเรือ ทุกคนต่างต้องการเห็นว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร
มองเห็นภาพของเรือนิรันดรในเวลานี้กำลังแล่นอย่างรวดเร็วบนทะเล แต่ว่า มันหาใช่ทะเลในความหมายดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา ทะเลในที่นี้คือเศษประกายดวงดาวที่ระยิบระยับเหมือนทะเลที่กำลังไหลริน เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนมีขนาดเล็กมาก เหมือนผ่านการบดอัดมานับไม่ถ้วน ละเอียดจนยิ่งกว่าเม็ดทรายเสียอีก
เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้กลับมีสภาพเหมือนน้ำทะเลที่ไหลรินอย่างนั้น โดยได้กลับกลายเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล เหมือนหนึ่งคือทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่เป็นประกายดาว
สิ่งนี้หาใช่ประกายดาว แม้ว่ามันจะส่งแสงระยิบระยับเหมือนดั่งประกายของดาว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประกายของดวงดาวแล้ว มันกลับปรากฏเป็นประกายสีเหลืองดึกดำบรรพ์ เสมือนหนึ่งเป็นวันเวลาที่ไหลผ่านไป ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กลายเป็นประกายที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากวันวานอย่างนั้น
ถ้าหากจ้องมองประกายระยิบระยับที่ยังคงหลงเหลืออยู่ไปนานๆ จะเป็นเป็นภาพมายาบางอย่างขึ้นมา ทันใดนั้นเหมือนได้มองเห็นโลกๆ หนึ่งที่แตกต่างออกไป ฉับพลันนั้นเหมือนมองเห็นสัตว์ที่แปลกประหลาดและวิหคเซียน ฉับพลันกลับมองเห็นภาพของสงครามที่ยิ่งใหญ่…ภาพมายาเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นตำราประวัติศาสตร์ที่ถูกพลิกไปทีละหน้าๆ อย่างนั้น
“อย่าจ้องมองประกายที่ยังหลงเหลืออยู่ของน้ำทะเลตลอดเวลา มองนานไปจะทำให้เจ้าไม่สามารถออกมาได้อีก” มีผู้เยาว์ที่จ้องมองน้ำทะเลที่มหัศจรรย์จนเหม่อลอย กระทั่งผู้อาวุโสต้องดึงตัวเขากลับมาทันที และกล่าวเตือนออกไปว่า “นี่มันคือเศษชิ้นส่วนของสายน้ำแห่งกาลเวลา เจ้าดูอย่างไรก็ไม่มีจบไม่มีสิ้น หากมองดูนานเกินไปวิญญาณของเจ้าก็จะหายเข้าไปอยู่ในนั้น และไม่สามารถกลับออกมาได้ตลอดกาล”
เมื่อผู้เยาว์ได้ยินคำเตือนเช่นนี้แล้วถึงกับเหงื่อเย็นไหงริน เวลานี้พวกเขาจึงรับรู้ถึงความรุนแรงของเรื่องราว
หลังจากที่เรือนิรันดรออกเดินทางแล้ว หลี่ชิเย่ได้นั่งเข้าฌาน และขับเคลื่อนเคล็ดวิชา ผ่อนพลังขมุกขมัวเข้าออกตลอดเวลา
ในขณะนี้ พลังขมุกขมัวดุจดั่งน้ำในแม่น้ำที่ไหลจากทุกทุศทุกทางมาบรรจบที่ตรงนี้ ทั้งหมดถูกหลี่ชิเย่กลืนและเก็บเอาไว้ในลัคนา นาทีนี้หลี่ชิเย่ที่เสมือนดั่งปลาวาฬกลืนกินเหยื่อกลืนกินพลังขมุกขมัวที่ไหลมาบรรจบกันเอาไว้ทั้งหมด
ในเวลานี้ ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่สามารถเก็บรวบรวมพลังขมุกขมัวเอาไว้ได้นับหมื่นลิตร ทำให้หลี่ชิเย่ก้าวจากระดับกิมิชาติสัจธรรมเข้าสู่ระดับเทียรฆชาติสัจธรรม
เมื่อพลังขมุกขมัวรวมกันอยู่ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่ ได้ไหลเวียนดั่งน้ำในแม่น้ำ ได้ยินเสียงดัง “แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์” ลัคนาทั้งสิบสามของหลี่ชิเย่ได้ส่งประกายสว่างไสวขึ้นมา
การได้ครอบครองพลังขมุกขมัวนับหมื่นลิตรในสิบสามทวีปไม่ถือเป็นอะไรได้ อาจกล่าวได้ว่าผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในระดับเทียรฆชาติสัจธรรมมีจำนวนมากดั่งดอกเห็ด นับกันไม่หวั่นไม่ไหวทีเดียว
แต่ทว่า กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดแล้ว ระดับเทียรฆชาติสัจธรรมกลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นครั้งแรกที่ผู้บำเพ็ญตนได้บุกเบิกสร้างลัคนาขึ้นเป็นครั้งแรก กล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ในระดับนี้
ทุกคนต่างมีลัคนาหนึ่งหลังมาแต่กำเนิด เมื่อก้าวไปถึงระดับเทียรฆชาติสัจธรรมแล้ว ก็จะได้ต้อนรับลัคนาที่จะได้รับการบุกเบิกสร้างขึ้นมาใหม่
การฝึกของสิบสามทวีปกับการฝึกของเก้าแดนมีส่วนใกล้เคียงกันมาก ขอเพียงผู้บำเพ็ญตน สามารถก้าวไปถึงระดับทิพยสัจธรรม ก็จะมีโอกาสร้างลัคนาได้สามครั้ง
ขณะที่ระดับเทียรฆชาติสัจธรรมเป็นการสร้างลัคนาครั้งแรก การสร้างลัคนาในครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าสามารถสร้างได้เพียงลัคนาเดียว รายละเอียดสามารถสร้างลัคนาได้จำนวนเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ กำลังความสามารถ และจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของแต่ละคนเป็นตัวกำหนด
ลัคนาที่สามารถบุกเบิกและสร้างขึ้นในระดับเทียรฆชาติสัจธรรมมีตั้งแต่หนึ่งถึงสี่ลัคนา ผู้ที่มีความแข็งแกร่งจะสามารถสร้างลัคนาได้สามถึงสี่หลัง แต่ก็มีผู้ที่สามารถสร้างได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้บำเพ็ญตนที่สามารถสร้างลัคนาได้เพียงหนึ่งแสดงว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ
แน่นอน หากประสบความล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรกของการสร้างลัคนาล่ะก็ ย่อมเป็นการบ่งชี้ว่าบุคคลผู้นี้มีจุดบกพร่องมาแต่กำเนิด ผู้บำเพ็ญตนลักษณะเช่นนี้จะมีขีดจำกัดในการฝึกไปตลอดชีวิต
……………………………………………………..