ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1868 บูชายันต์

ตอนที่ 1868 บูชายันต์

“บูชายันต์…” ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินบังเกิดลางสังหรณ์ที่รู้สึกไม่เป็นสุข เมื่อได้ยินศัพท์คำนี้ มันไม่ใช่ศัพท์ที่ดีอย่างแน่นอน นางถึงกับรู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจ และกล่าวว่า “อาศัยชีวิตมาบูชายันต์รึ?”

“แล้วมันน่าแปลกตรงไหน” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงยุคสมัยที่ไม่สามารถไล่เรียงได้ เอาแค่ยุคสมัยที่พวกเราอยู่กันนี่แหละ ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน เคยมีการบูชายันต์มาแล้วกี่ครั้งกันหละ เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกเลย กล่าวสำหรับบางคนที่ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งมากแล้ว ชีวิตก็เหมือนดั่งมดปลวก จะจำนวนเป็นล้านหรือสิบล้านมันก็แค่เพียงตัวเลขเท่านั้น ไม่ได้มีข้อแตกต่างแต่อย่างใด”

คำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลี่ชิเย่ ทำให้ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินถึงกับเย็นวาบ สร้างความรู้สึกไม่เป็นสุขขึ้นในใจของนางอยู่บ้าง มีตำนานบางตำนานนางเคยได้ยินมาตั้งแต่ยังเด็กมาก แต่นั่นมันเป็นเพียงการฟังในลักษณะของนิทานเท่านั้น แต่ว่า เวลานี้ออกมาจากปากของผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่แล้ว ทุกอย่างก็ดูจะไม่เหมือนกัน บางสิ่งที่เคยเป็นเพียงเรื่องราวที่อยู่ในนิทาน แต่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ

“บูชายันต์ด้วยชีวิตเป็นสิบล้านอย่างนั้นรึ?” ธิดาราชันฉีหลินบ่นพึมพำออกมา

“เรื่องที่ร้ายแรงมากไม่เคยหยุดนิ่ง ในอดีตเป็นเช่นนี้ อนาคตก็จะเป็นเช่นนี้ บางที่ในช่วงจังหวะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่อาจจะได้พบเห็นเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา

“เรื่อง เรื่องนี้ไม่มีใครห้ามปรามรึ?” ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินรู้สึกหดหู่และเอ่ยถามขึ้นมา แม้ว่าทุกคนต่างก็รู้ว่า เมื่อผู้บำเพ็ญตนแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว สงครามที่เกิดขึ้นเพียงครั้งก็เท่ากับทำลายล้างฟ้าดิน แต่ว่า สงครามลักษณะเช่นนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนอากาศ

อย่างไรก็ตาม บูชายันต์กับสงครามมันคนละเรื่องกัน การอาศัยชีวิตเป็นสิบล้านมาบูชายันต์ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองเพียงใด และเป็นเรื่องที่ทารุณโหดร้ายเช่นใด

“เรื่องบางเรื่องเมื่อก้าวถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ทุกคนก็เพียงรักษาตัวรอดเท่านั้น เมื่อตัวเองยังยากจะเอาตัวรอด แล้วจะมีใครที่ต้องการไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นแค่มดปลวกเท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “สำหรับบรรดาผู้ที่ยืนอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว มนุษย์ปุถุชนธรรมดาหนึ่งล้านคนกับสิบล้านคนมันมีข้อแตกต่างรึ? มันก็มดปลวกทั้งนั้นและเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น เหมือนดั่งเช่นเจ้าจุดไฟเผาป่าสักแห่งหนึ่ง เจ้าจะไปสนใจรึว่ามันจะเผามดปลวกตายไปล้านตัวหรือสิบล้านตัวหรือไม่?” คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินถึงกับต้องนิ่งเงียบ ถ้าหากว่านางได้วางเพลิงเผาป่าขึ้นมาจริงๆ นางจะไปสนใจหรือไม่ว่าจะเผามดปลวกต้องตายเป็นล้านตัวหรือสิบล้านตัวหรือไม่?

“แต่ว่า ที่นำมาบูชายันต์เป็นมนุษย์” หลังจากธิดาราชันฉีหลินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ และกล่าวว่า “เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ เหมือนกับพวกเรา ถ้าหาเปลี่ยนเป็นข้า ข้าต้องคิด”

“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้ายังไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั่น นี่มันก็คล้ายดั่งเผามดให้ตายอย่างนั้น ถ้าหากเจ้าเป็นมดตัวหนึ่ง แน่นอนที่สุดเจ้าจะต้องใส่ใจเรื่องการเผามดจำนวนหนึ่งล้านตัว หรือจำนวนสิบล้านตัวอย่างแน่นอน แต่ว่าเวลานี้เจ้าคือมนุษย์ เจ้าจะไม่ไปคิดคำนึงว่าจำนวนมดที่จะถูกเผาจนตายจะมีจำนวนเป็นล้านตัวหรือสิบล้านตัว”

“ถูกต้อง” หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำเช่นนี้จากหลี่ชิเย่แล้วไม่อาจไม่ยอมรับ

คำพูดเช่นนี้แม้ว่าดูจะทารุณโหดร้าย แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่า การจุดไฟเผาป่าสักป่าหนึ่ง เป็นความจริงที่นางจะต้องไม่ไปคิดถึงว่ามดที่จะถูกไฟคลอกมีจำนวนหนึ่งล้านหรือสิบล้านตัวกันแน่ แต่ว่า หากผู้ที่ถูกนำมาบูชายันต์เป็นมนุษย์ นางต้องใส่ใจอย่างแน่นอน เนื่องจากนางเป็นมนุษย์

ถ้าหากว่ายามที่ยืนอยู่จุดสูงสุด เกรงว่าผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับสูงสุดจะมองผู้บำเพ็ญตนเช่นนี้เป็นเพียงมดปลวดเท่านั้น แล้วจะมีใครเล่าที่ไปใส่ใจว่ามดปลวกจะตายไปเป็นจำนวนเท่าไร?

“บูชายันต์สิบล้านก็แค่เรื่องเล่นจิ๊บๆ เท่านั้นเอง ยามเมื่อยุคๆ หนึ่งกำลังจะสิ้นสุดลง ชีวิตไม่มีค่าแม้แต่นิดเดียว เจ้าจะเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาก็ดี เป็นผู้บำเพ็ญตนก็ช่าง กระทั่งเป็นระดับจอมราชันเซียนหวัง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ดูจะเล็กจิ๋วเหลือเกิน ในเวลานั้นอย่าว่าแต่สิบล้านเลย ต่อให้เป็นหนึ่งล้านล้านก็แค่ตัวเลขเท่านั้นเอง…”

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินด้วยท่าทีเฉยเมย แล้วกล่าวต่อไปว่า “…เพื่อความอยู่รอดของตนเอง จะมีผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนั้นบูชายันต์ฟ้าดินทิ้งไป บูชายันต์เหล่าสรรพชีวิต เก้าแดนก็ดี สิบสามทวีปก็ช่าง มันก็แค่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ สำหรับพวกเขาที่จะได้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้นเอง และเป็นวิธีการที่พวกเขาเสี่ยงกับได้อยู่ต่อของพวกเขาเท่านั้น”

“นี่ นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้กระมัง…” คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้จิตใจของธิดาราชันฉีหลินถึงกับสะท้านทีหนึ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “บูชายันต์ฟ้าดินทิ้งไป บูชายันต์สรรพชีวิต บูชายันต์เก้าแดน และสิบสามทวีป นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”

“ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวเฉยเมยว่า “มองดูความโหดร้ายทารุณในแดนแห่งการสืบค้นนี่สิ พวกมันเป็นเพียงเศษชิ้นส่วนของยุคสมัยหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ข้าได้พูดไปเมื่อครู่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในยุคสมัยที่ไม่สามารถไล่เรียงได้นั้น เคยมีผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนั้นทำการบูชายันต์ไปทั้งโลก และเรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาธิดาราชันฉีหลินเย็นวาบไปทั้งร่าง นางถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง บูชายันต์โลกทั้งโลก สรรพชีวิตเป็นล้านล้านชีวิตเป็นเพียงสิ่งบูชายันต์เท่านั้นเอง เมื่อนึกถึงภาพนี้แล้ว ธิดาราชันฉีหลินถึงกับหวาดกลัวจนขนลุกซู่

“นี่ นี่มันทารุณโหดร้ายเกินไปแล้ว” สุดท้าย ธิดาราชันฉีหลินได้พูดขึ้นแผ่วเบา ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของสายสำนักราชันเซียน นางย่อมเข้าใจถึงความทารุณโหดร้ายของโลกนี้ และเข้าใจถึงสัจธรรมที่ไร้ซึ่งความปราณี ความตายเป็นเรื่องที่ปรกติมาก

กระทั่งเรื่องการทำลายล้างสำนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นรายวันในสิบสามทวีป แต่ว่านั่นเป็นเพียงปลาใหญ่กินปลาเล็กระหว่างผู้บำเพ็ญตนด้วยกัน แต่ การนำเอาโลกทั้งโลกมาเป็นเครื่องบูชายันต์ เรื่องเช่นนี้ธิดาราชันฉีหลินไม่กล้าแม้แต่จะคิด

สัจธรรมไร้ซึ่งความเมตตาอยู่แล้ว อารมณ์ความรู้สึกก็แค่จิตใจของมนุษย์” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวต่อธิดาราชันฉีหลินช้าๆ ว่า “จำเอาไว้ โลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก อย่าได้ฝากความหวังเอาไว้กับพระเจ้า คิดจะกระโดดออกจากโลกนี้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น!”

ธิดาราชันฉีหลินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายนางเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองดูหลี่ชิเย่ ท่าทางจริงจังมาก และกล่าวว่า “หากว่ายุคสมัยกำลังจะล่มสลายลง คุณชายจะทำเช่นใด?” ท่าทางที่ดูจริงจังของธิดาราชันฉีหลินทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “ความจริงแล้วเจ้าสามารถพูดให้ตรงประเด็นมากกว่านี้ เจ้าสามารถพูดขึ้นมาตรงๆ ว่า ถ้าหากยุคสมัยกำลังล่มสลายลง ข้าจะทำการบูชายันต์โลกทั้งใบทิ้งหรือไม่”

หลี่ชิเย่เล่นพูดตรงๆ ขนาดนี้ทำให้ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกเก้อเขิน แต่นางไม่พูดอะไรยังคงจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างจริงจัง

“วางใจเถอะ ข้าจะไม่บูชายันต์โลกนี้ไป” หลี่ชิเย่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้แต่ต่อสู้จนถึงที่สุด ความตายกล่าวสำหรับข้าแล้วไม่มีอะไรน่ากลัว สำหรับข้าถ้าหากข้าล้มเหลวความตายถือเป็นความหลุดพ้น ข้าไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไฉนจะต้องบูชายันต์โลกทั้งโลกเสีย”

คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้ธิดาราชันฉีหลินแอบทอดถอนใจออกมา เนื่องจากกระทั่งปฐมบรรพบุรุษของพวกเขายังคงให้ความเคารพต่อผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่ ไม่แน่นักเขาอาจมีความสามารถเช่นนี้ก็เป็นได้

แต่ทว่า คำพูดของหลี่ชิเย่ได้ทำให้ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินต้องสะท้านทีหนึ่งก็คือ การที่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดคนหนึ่ง เป็นเพราะได้ผ่านประสบการณ์อะไรมา จึงทำให้เขารู้สึกว่าความตายคือการหลุดพ้นอย่างหนึ่งเล่า? ทันใดนั้น นางรู้สึกว่าข้างในมีความหนักหน่วงที่ไม่สามารถรองรับได้ซึ่งนางไม่อาจเข้าใจได้!

“ไม่ต้องดีใจ” ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินหายใจด้วยความโล่งอก หลี่ชิเย่ได้ยิ้มกล่าวจางๆ ออกมาว่า “ต่อให้ข้าไม่บูชายันต์โลกนี้ แต่หากยุคสมัยกำลังจะล่มสลายก็ต้องมีคนที่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว”

“มัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมา ถึงกับหลุดปากออกมาว่า “เกรงว่าคงไม่มีใครบนโลกนี้ไปทำเรื่องเช่นนี้ ต่อให้เป็นพวกของราชันซื่อตี้พวกเขาก็ต้องเฝ้าปกป้องเผ่าพันธุ์ของตนเองอยู่แล้ว”

การที่ธิดาราชันฉีหลินหลุดปากพูดเช่นนี้ออกมาใช่จะไม่มีเหตุผล ถ้าหากจะกล่าวว่ามีใครจะบูชายันต์เก้าแดนสิบสามทวีปล่ะก็ เกรงว่าคงมีเพียงจอมราชันเซียนหวัง ประเภทที่ยืนอยู่เหนือสุดยอดเหล่านั้นเท่านั้น

เป็นต้นว่าราชันซื่อตี้ เป็นต้นว่าเสวียนตี้ หรือเซียนหวังอิเย่…หรือบางทีคงมีเพียงจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายร่วมมือกันจึงมีกำลังความสามารถเพียงพอ

แต่ว่าในสายตาของธิดาราชันฉีหลิน มองว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นราชันซื่อตี้ก็ดี หรือว่าเซียนหวังอิเย่ พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คนแบบนี้ แม้ว่าจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร และเผ่าสวรรค์ทั้งสามเผ่าจะเคยระเบิดศึกสงครามกับเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์มาก่อน แต่ว่า พวกเขาต่างทำเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตน

เรียกได้ว่า พวกของราชันซื่อตี้ล้วนแล้วแต่ทำสงครามเพื่อชาติพันธุ์ของตนเอง พวกเขาต่างปกป้องชาติพันธุ์ของตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำการบูชายันต์ชาติพันธุ์ที่ตนเฝ้ารักษาเอาไว้นั่น

ความมืดมิดของโลกใบนี้หาใช่เป็นสิ่งที่ระดับอย่างเจ้าจะมองเห็นได้ และไม่ใช่ระดับจอมราชันเซียนหวังทั่วไปสามารถมองเห็นได้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องต่อให้ตาเฒ่าเฉี่ยนก็ไม่สามารถบงการได้ ต่อให้เขาคิดจะปกป้องชาติพันธุ์ของตน เรื่องบางเรื่องเขาก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้”

“เพราะอะไร?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง เรื่องนี้หาใช่ว่านางอยู่ในกะลาครอบ แต่ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะราชันซื่อตี้นับว่าปราศจากผู้ต่อกรในหล้าแล้ว นอกเหนือจากสวรรค์ลงทัณฑ์ เกรงว่าคงไม่มีสิ่งใดสามารถทำอะไรเขาได้แล้ว

“สิ่งนี้หาใช่ระดับอย่างเจ้าสามารถรับรู้ได้ ต่อให้มีสักวันเจ้าสามารถเป็นจอมราชันเซียนหวังแล้วก็ตาม ก็ไม่แน่ว่าจะมีสิทธิ์รับรู้ ยกเว้นเจ้าจะแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว หรือเข้าร่วมขบวนการอำนาจสวรรค์แล้วเจ้าอาจจะพอรู้อะไรบ้าง แน่นอนที่สุด จอมราชันเซียนหวังของตระกูลราชันฉีหลินของพวกเจ้าไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมกับขบวนการอำนาจสวรรค์” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว

“ขบวนการอำนาจสวรรค์…” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินชื่อนี้แล้วถึงกับใจหายใจคว่ำ นางเคยได้ยิน “ขบวนการอำนาจสวรรค์” มาก่อน มันคือองค์กรที่น่ากลัวและแข็งแกร่งที่สุดของสิบสามทวีป

ตามตำนานเล่าว่า ขบวนการอำนาจสวรรค์เป็นหนึ่งในองค์กรที่เก่าแก่ที่สุดของเผ่าสวรรค์ ส่วนเรื่องที่ว่าองค์กรนี้ดำรงอยู่ในลักษณะเช่นใดไม่สามารถรู้ได้ ธิดาราชันฉีหลินเคยได้ยินบรรพบุรุษของตระกูลพูดถึง ต่อให้เป็นจอมราชันทั่วไปของเผ่าสวรรค์ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมอยู่ในขบวนการอำนาจสวรรค์ เล่าลือกันว่ามีเพียงจอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบสายขึ้นไปจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมในขบวนการอำนาจสวรรค์ได้!

ขบวนการอำนาจสวรรค์เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าสวรรค์ เมื่อศิษย์ของเผ่าสวรรค์แข็งแกร่งจนได้ในระดับหนึ่งก็จะปรากฎตราสัญลักษณ์นี้ขึ้นมา

ขณะเดียวกัน ขบวนการอำนาจสวรรค์ถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดในสิบสามทวีป มันคือหนึ่งในองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสิบสามทวีป กระทั่งกล่าวได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่า และน่ากลัวกว่าสายสำนักราชันเซียนใดๆ ในสิบสามทวีป

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท