ครั้นธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้ของอู่ฟ่งหยิ่งแล้วถึงกับทำอะไรไม่ถูก ความพาลของอู่ฟ่งหยิ่งใช่ว่านางจะเพิ่งเคยประสบพบเจอเป็นครั้งแรก ความพาลของนางเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาในชิงโจวอยู่แล้ว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง ไม่ให้ความสนใจต่อนาง หันหลังเดินจากไป
แต่ทว่า อู่ฟ่งหยิ่งกลับไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี ร้องเสียงดังออกไปว่า “ไอ้หนูบ้า รีบบอกมาไวๆ เจ้าสิ่งนั้นมันเป็นอะไรกันแน่?”
หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจนาง แต่อู่ฟ่งหยิ่งกลับตามตอแยไม่เลิก มองเห็นสองคนที่คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ตาม ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่กล้าตามเข้าไป ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ที่พวกเขาไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้
ระหว่างที่หลี่ชิเย่มุ่งหน้ากลับที่พักนั้น อู่ฟ่งหยิ่งไม่ยอมเลิกรา ตามทันหลี่ชิเย่ได้อย่างรวดเร็วและเดินตีคู่ไปกับหลี่ชิเย่ กล่าวว่า “ทางที่ดีเจ้าบอกข้ามาแต่โดยดีจะดีกว่า สิ่งที่อยู่ภายในลัคนาคืออะไรกันแน่ ไม่งั้นล่ะก็ ระวังข้าจะอัดเจ้าจนน่วม” กล่าวพลางท่าทางเหมือนคันไม้คันมืออยากลองเต็มทีแล้ว ท่าทางที่หยาบคายเช่นนั้น นับว่าเสียทีที่นางเกิดมาด้วยรูปโฉมที่สวยหยาดเยิ้มขนาดนั้น
“เจ้าเมืองอู่ มีอะไรสามารถขอคำชี้แนะจากคุณชายดีๆ ก็ได้ อย่าใจร้อน” ธิดาราชันฉีหลิน รีบกล่าวเตือนอู่ฟ่งหยิ่งว่า “เรื่องแบบนี้ต้องมีความอดทน ข้าเชื่อว่าขอเพียงเจ้าเมืองยินดีขอคำชี้แนะอย่างจริงใจ จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน”
แม้ว่าอู่ฟ่งหยิ่งจะมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก และมีชื่อเสียงในชิงโจว แต่ว่าภายในใจของธิดาราชันฉีหลินรู้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้อู่ฟ่งหยิ่งแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้วก็ดูเปราะบางไม่สามารถรับมือได้เลย
การที่ธิดาราชันฉีหลินต้องกล่าวเตือนอู่ฟ่งหยิ่งเช่นนี้ก็เพื่ออู่ฟ่งหยิ่ง จะอย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองถือว่าไม่เลวนัก และหลงเฉินกับตระกูลราชันฉีหลินก็มีการไปมาหาสู่กัน
ภายในลัคนาของเจ้าต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ รีบบอกมาเร็วไว” อู่ฟ่งหยิ่งยังไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ จ้องเขม็งกล่าวกับหลี่ชิเย่
“สายตานับว่าใช้ได้” หลี่ชิเย่มองดูอู่ฟ่งหยิ่งทีหนึ่งและกล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้า อีกอย่าง เป็นผู้หญิงต้องอ่อนโยนสักหน่อย หยาบคายเช่นเจ้าระวังจะแต่งไม่ออก”
“เจ้า…” อู่ฟ่งหยิ่งถูกหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ นางจ้องหน้าด้วยความโกรธ “ไอ้หนูบ้า อย่ายกยอตัวเองหน่อยเลย ทำไมข้าจะต้องแต่งกับผู้ชายงี่เง่าอย่างพวกเจ้า ผู้ชายงี่เง่าอย่างพวกเจ้ามีอะไรดี! ข้าเทียบกับผู้ชายงี่เง่ามีแต่เก่งกว่าไม่มีด้อยกว่าอยู่แล้ว!”
“ผู้ชายก็ไม่ได้มีอะไรดีหรอกนะ” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “แต่ว่า หากไม่มีผู้ชายแล้วผู้หญิงมาจากไหนกัน หรือว่ากระโดดออกมาจากก้อนหินหรือไง? ดังนั้น ต่อให้เจ้าทำปากแข็งโหวกเหวกว่าไม่ต้องการผู้ชายงี่เง่า ในอนาคตเจ้ายังคงต้องการผู้ชายสักคนอยู่ดี”
“เจ้า…” อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับอึดอัดจนพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้
ส่วนธิดาราชันฉีหลินที่อยู่ด้านข้าง ได้ยินคำพดูดของพวกเขาแล้วอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่เหมาะที่จะหัวเราะ ได้แต่เก็บเอาไว้ภายในใจ
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะอัดเจ้าจนน่วม!” เมื่อปากพูดไม่ทันหลี่ชิเย่ สุดท้าย อู่ฟ่งหยิ่งส่งสายตาทั้งสองที่น่าเกรงขามออกมา กล่าวด้วยท่าทีที่โหดร้ายอำมหิต
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า หากข้าต้องการสังหารเจ้า อาศัยนิ้วเพียงนิ้วเดียวก็สามารถสังหารเจ้าได้แล้ว!” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยออกมา
อู่ฟ่งหยิ่งแทบกระอักเป็นเลือดออกมา เมื่อได้ยินคำพูดที่อวดดีชองหลี่ชิเย่ นางไม่ยอมรับและกล่าวว่า “อย่าทำลำพองใจ เมื่อครู่ข้าไม่ได้มุ่งร้ายเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชา มิฉะนั้นล่ะก็ไหนเลยที่เจ้าจะสยบข้าได้!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้มุ่งร้าย ดังนั้นจึงได้ละเว้นชีวิตให้เจ้า ต่อให้เจ้าระวังตัว มีชุดของจอมราชันเซียนหวังอยู่บนตัว หากข้าจะสังหารเจ้าก็แค่อาศัยนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย
“เจ้า…” อู่ฟ่งหยิ่งจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ แต่ นางกลับสามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้เอาไว้อย่างเหนือความคาดคิด และกล่าวว่า “ข้าจะไม่ถือสาหาความในเรื่องนี้กับเจ้า ขอเพียงเจ้าบอกข้าถึงสิ่งที่อยู่ภายในลัคนาแก่ข้า ข้าก็จะลืมเรื่องนี้ให้หมด!”
“เห็นท่าเจ้านี้น่าสนใจมากเลยนี่” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวออกมาตามอารมณ์
“ในลัคนาของเจ้าต้องมีอะไรแน่ ข้ามองเห็นเสาแห่งชีวิตของเจ้า ไม่เช่นนั้นล่ะก็เสาแห่งชีวิตไม่สามารถรองรับกับสายฟ้าแลบเช่นนี้ได้อยู่แล้ว บางทีถ้าเป็นจอมราชันเซียนหวังอาจพอมีโอกาสอยู่บ้าง!” อู่ฟ่งหยิ่งจ้องมองหลี่ชิเย่ฮึดฮัดด้วยความโกรธ ดูจากท่าทีของนางแล้วเหมือนต้องการลอกคราบหลี่ชิเย่จนสิ้นอย่างนั้น
คนอื่นอาจมองไม่ออกถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ของหลี่ชิเย่ แต่ อู่ฟ่งหยิ่งกลับมองเห็นเส้นสนกลในอะไรบางอย่าง เพียงแต่อู่ฟ่งหยิ่งไม่สามารถรู้ละเอียดถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ภายในเท่านั้นเอง ดังนั้น นางจึงรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่อยู่ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่เป็นอันมาก
“ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “บอกเจ้าแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร?”
อู่ฟ่งหยิ่งจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างไม่ลดละ ตะโกนเสียงดังออกมาว่า “เจ้าต้องการอะไร? ขอเพียงเสนอราคาที่สมเหตุสมผล ข้าตกลงทั้งนั้น”
หลี่ชิเย่พินิจพิเคราะห์ตัวของอู่ฟ่งหยิ่งรอบหนึ่ง ในเวลานี้เองอู่ฟ่งหยิ่งได้จ้องเขม็งหลี่ชิเย่แล้วกล่าวว่า “นี่ เจ้าจ้องมองข้าด้วยสายตากรุ้มกริ่มเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าติดใจในความงามของข้านะ”
หลี่ชิเย่มองหน้านางด้วยท่าทีเอ้อระเหย และกล่าวว่า “ความงามพอจะมีอยู่หลายส่วน แต่หยาบเกินไป แค่แม่เสือตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่สิ เรียกว่าเป็นหญิงถึกจะเหมาะสมกว่า ประสาทหยาบเกินไป มีลักษณะของห้าใหญ่สามหนา(1)ไม่ตรงกับรสนิยมของข้า”
“เจ้า…” อู่ฟ่งหยิ่งจ้องมองหน้าหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ และกล่าวว่า “หลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่รู้จัดหัดดูตัวเองเสียบ้าง ข้ายังไม่มองเจ้าอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“โชคดีที่เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “หากเจ้าเกิดถูกใจข้าขึ้นมาล่ะก็ มันคือภัยพิบัติแท้ๆ แต่หากว่าเป็นที่พอใจของแม่นางเมิ่งหยิง นั่นแหละเป็นการเสพสุขในความรักอย่างหนึ่ง แต่หากเป็นที่พึงพอใจของเจ้าล่ะก็แย่แล้ว นับว่าโชคร้ายโดยแท้! ข้าเชื่อว่าไม่มีผู้ชายคนไหนคาดหวังให้ได้รับความพึงพอใจจากเจ้าหรอกนะ”
“เจ้ารนหาที่ตาย…” เวลานี้ อู่ฟ่งหยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาทั้งสองเผยให้เห็นถึงประกายแห่งความดุร้าย หมัดทั้งสองกำแน่น ได้ยินเสียงที่เกิดจากการกำหมัดทั้งสองจนแน่นของอู่ฟ่งหยิ่ง ย่อมประเมินได้ว่าหมัดนี้จะทรงอานุภาพเพียงใดแล้ว
หลี่ชิเย่ยังคงเอ้อระเหยเหมือนไม่รู้ไม่เห็นกับท่าทีที่ดูดุร้ายของอู่ฟ่งหยิ่ง ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“แต่ว่า ข้าจะไม่ถือสาหาความกับเจ้า” แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินยังเข้าใจว่าอู่ฟ่งหยิ่งจะต้องอาละวาดแน่ แต่จู่ๆ อู่ฟ่งหยิ่งกลับเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มออกมา ยามที่นางเผยรอยยิ้มออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ด้วยรูปโฉมที่งดงามของนางเรียกได้ว่างามหยาดเยิ้มโดยแท้จริง ทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องจิตใจหวั่นไหว
“ข้าได้ตัดสินใจแล้ว เวลานี้ขอประกาศอย่างจริงจังว่า ข้าจะแต่งกับเจ้า!” ท่าทีของอู่ฟ่งหยิ่งในเวลานี้ยโส อันธพาล ประกาศต่อหลี่ชิเย่
“เอิกก…” แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินก็รู้สึกงุนงงไปหมดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แม้ว่านางจะเคยเห็นผู้หญิงตามจีบผู้ชายมาก่อน แต่ว่า อาศัยวิธีการที่หยาบคายง่ายๆ แบบนี้ นางเพิ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรก
ถ้าหากไม่เป็นเพราะนางรู้จักนิสัยของอู่ฟ่งหยิ่งเป็นอย่างดี รับรองว่าจะต้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“แต่งกับข้า?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “อาศัยหลงเฉิน ยังไม่มีปัญญาแต่งกับข้า ต่อให้เจ้าอยากแต่งกับข้า ข้ายังมีอารมณ์เลย!”
อู่ฟ่งหยิ่งไม่ใส่ใจคำพูดเช่นนี้ เวลานี้นางถึงกับเลียนแบบท่าทางของหลี่ชิเย่ ส่ายหัวไปมาและกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ไม่มีปัญหา ข้ามีความอดทน ในเมื่อเจ้ากล้าหาว่าข้าเป็นแม่เสือ ไม่ เป็นหญิงถึก งั้นข้าก็จะสยบเจ้าเอาไว้ ให้เจ้ามีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของข้าไปชั่วชีวิต”
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นท่าทางของอู่ฟ่งหยิ่งที่เลียนแบบหลี่ชิเย่ เวลานี้นางเองก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า การที่อู่ฟ่งหยิ่งสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าเมืองหลงเฉินเป็นเพราะอาศัยกำปั้นคู่นั้นของนาง ขอเพียงมีใครไม่ยอมรับนางก็จะอัดคนผู้นั้นจนหมอบกับพื้น! มิฉะนั้นล่ะก็ อาศัยนิสัยเช่นนี้ของนาง สามารถรับตำแหน่งเจ้าเมืองนับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก
“ต้องการแต่งกับข้ารึ?” หลี่ชิเย่มองหน้าอู่ฟ่งหยิ่งทีหนึ่งและกล่าวว่า “สารรูปอย่างเจ้าเกรงว่าคงไม่มีทาง คิดจะแต่งกับข้าหัดรู้จักอ่อนโยนให้ได้เสียก่อน”
เวลานี้ พวกเขาได้กลับมาถึงที่พักแล้ว หลังจากที่หลี่ชิเย่ พูดขาดคำแล้วก็เดินเข้าบ้านปิดประตูลงกลอนเสีย
“หัดมีความอ่อนโยน ข้าจะแย่งชิงเจ้ามาก็สิ้นเรื่อง” อู่ฟ่งหยิ่งตอบโต้กลับหลี่ชิเย่อย่างไม่เกรงใจ เมื่อหลี่ชิเย่ได้ปิดประตูแล้วนางจึงนึกถึงเรื่องที่เป็นงานเป็นการได้ ร้องตะโกนออกไปว่า “นี่ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าสิ่งที่อยู่ในลัคนาเจ้าคืออะไร”
อย่างไรก็ตาม ภายในบ้านเงียบกริบ หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจต่อนางอีกต่อไป”
“หากเจ้ายังไม่ยอมเปิดประตู เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจัดการรื้อบ้านนี้ทิ้งไป” ท่าทางของอู่ฟ่งหยิ่งเวลานี้มีอารมณ์ที่เดือดพล่าน กล่าวด้วยท่าทีอันธพาลยิ่ง
“เจ้าเมือง เย็นไว้ มีเรื่องอะไรนั่งลงค่อยๆ พูดกัน” ธิดาราชันฉีหลินรีบปรามอู่ฟ่งหยิ่งเอาไว้ ที่นางเป็นห่วงไม่ใช่หลี่ชิเย่ แต่เป็นอู่ฟ่งหยิ่ง
ไม่ง่ายนักกว่าธิดาราชันฉีหลินจะเตือนสติอู่ฟ่งหยิ่งเอาไว้ได้ อู่ฟ่งหยิ่งให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ภายในลัคนาของหลี่ชิเย่เป็นอันมาก เนื่องจากเขามองเห็นเสาแห่งชีวิตของหลี่ชิเย่ที่กำลังกลืนกินสายฟ้าแลบ ดังนั้นจึงต้องการรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
แน่นอน สำหรับปัญหาข้อนี้ธิดาราชันฉีหลินเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน อีกอย่าง ในสายตาของธิดาราชันฉีหลินมองว่า เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่อยู่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้ สามารถกลืนกินสายฟ้าแลบไม่นับเป็นอะไร มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
อู่ฟ่งหยิ่งเป็นคนที่มีนิสัยดุดันมุทะลุอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องที่นางสนใจ นางก็จะต้องถามและรู้ให้ถึงที่สุด เป็นคนที่มุ่งมั่นมากคนหนึ่ง ดังนั้น นางจึงคิดจะรั้งอยู่ที่ตรงนี้ไม่ยอมไปไหน
ธิดาราชันฉีหลินเกรงว่าอู่ฟ่งหยิ่งจะทำให้หลี่ชิเย่ โกรธจริงขึ้นมา แล้วสังหารอู่ฟ่งหยิ่งเสีย นางเองไม่อยากเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้น ดังนั้น นางจึงต้องอาศัยความพยายามอย่างยิ่งจึงกล่อมให้อู่ฟ่งหยิ่งจนยอมกลับไปได้
เรือนิรันดรยังคงแล่นไปข้างหน้าต่อไป หลี่ชิเย่ไม่ได้สนใจเรื่องราวด้านนอก ดังนั้นระหว่างการเดินทางหลี่ชิเย่จึงไม่ค่อยเปิดเผยหน้า ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกวิชา
ธิดาราชันฉีหลินเองก็ไม่ได้ออกไป ติดตามปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่
“นักท่องเที่ยวคนที่มากับเรือลำนี้เป็นคนประเภทไหน?” วันนี้หลี่ชิเย่เพิ่งเสร็จจากการนั่งกรรมฐานถึงกับขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมา”
“เรื่องนี้ไม่ชัดเจนนัก บนเรือลำนี้มีผู้คนนับล้าน มีทุกประเภท ผู้บำเพ็ญตนธรรมดาก็มี ในขณะเดียวกันผู้ยิ่งใหญ่ของสายสำนักราชันเซียนก็มี” ธิดาราชันฉีหลินพูดไปตามจริง
“บนเรือลำนี้มีสิ่งชั่วร้าย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา ก่อนหน้านี้ไม่นาน ขณะหลี่ชิเย่เข้าฌานอยู่ ทันใดนั้นจิตเทพได้กระตุกทีหนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่า จิตเทพของเขาทรงพลังมากจนปราศจากผู้เทียบเทียม ต่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดก็ยากจะหลบเลี่ยงจิตเทพของเขาไปได้
“สิ่งชั่วร้าย? สิ่งชั่วร้ายแบบไหนกัน?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
สามารถออกจากปากของหลี่ชิเย่ว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่ ต้องเป็นสิ่งที่สยองขวัญอย่างแน่นอน หาไม่แล้วทั่วๆ ไป ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว
“เป็นสิ่งชั่วร้ายที่แข็งแกร่งมาก” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ “อยู่ใต้ดาดฟ้าเรือนี่ มีคนจงใจปิดบังซ่อนเร้นกลิ่นอายของมัน”
………………………………………………………………….
( 1 ) ห้าใหญ่ : มือใหญ่ เท้าใหญ่ หูใหญ่ ไหล่กว้าง ก้นจ้ำม่ำ สามหนา : เอวหนา น่องหนา คอหนา